ทว่า อาถิงยังไม่ทันได้ลงมือ ร่างในชุดเขียวพลันปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
แกร่ก! ชิงอิ่งหักแขนข้างหนึ่งของเจ้าสำนักเทียนหลิงจนหัก
ผัวะ! เจ้าสำนักเทียนหลิงก็สวนกลับ เขาต่อยชิงอิ่งไปหมัดหนึ่ง
ร่างชิงอิ่งกระเด็นลอยออกไป แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย
และร่างอันเพรียวบางร่างหนึ่งก็มาถึงตัวเขาแล้ว และแน่นอนว่าหลังจากนี้ก็มีคนรอโจมตีอยู่ไม่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวเหลิ่ง เรากลับไปที่หอหมอปีศาจกันก่อนเถอะ!”
เหลิ่งหนิงจือตกใจผงะไปครู่หนึ่ง พวกเขาต้องการหนี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะพูดออกมาต่อหน้าศัตรูให้ศัตรูรู้ด้วยเช่นนี้ สาวน้อยผู้ใจไม้ไส้ระกำผู้นี้ต้องมีแผนอื่นเป็นแน่
พลังธาตุน้ำแข็งแผ่ซ่านออกมา เหลิ่งหนิงจือกล่าว “ข้าจะระวังหลังให้เอง พวกเจ้าไปก่อน!”
“ตกลง!”
“ชิงอิ่ง ไปกันเถอะ!”
มียอดฝีมืออยู่หลายคนเช่นนี้ การที่เสี่ยวเหลิ่งจะฆ่าพวกเขานั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากจะล่าถอยแล้วละก็ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางขวางได้
ความเร็วของพวกเขาเร็วมาก ไม่นานนักก็สามารถสลัดทิ้งคนที่ไล่ตามมาได้แล้ว
“ผู้อาวุโสลู่ จะทำเช่นไรดี เราตามไม่ทันแล้ว!” เจ้าสำนักเทียนหลิงกล่าวเสียงขรึม
ความแค้นที่ทำให้แขนหัก เขาต้องแก้แค้นให้จงได้!
“หอหมอปีศาจหนีไม่พ้นแน่ ข้าจะให้หัวหน้าตำหนักส่งกำลังคนมาเพิ่ม ไปตามลากตัวมันที่หอหมอปีศาจ!”
“มันจะดีเหรอ! อย่างไรเสียที่นั่นก็เป็นอาณาเขตของตำหนักเป่ยหานนะ” เจ้าสำนักเทียนหลิงกล่าว
ถึงแม้ว่าจะกอดขาพึ่งพาบารมีตำหนักตงจี๋อยู่ แต่เขาก็ไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรูกับตำหนักเป่ยหาน
“ตำหนักเป่ยหานไม่มีทางขวางแน่นอน!”
หลังจากที่สลัดทิ้งคนพวกนั้นมาได้ มู่เฉียนซีก็กลับมาถึงหอหมอปีศาจอย่างราบรื่น
เยวี่ยเจ๋อเมื่อเห็นพี่ใหญ่ของตนก็รีบกล่าว “หัวหน้าตำหนักเป่ยหานนำตัวนายน้อยอวิ๋นซิวกลับมาแล้ว ข้าจัดเตรียมห้องพักให้เขาเรียบร้อยแล้ว”
มู่เฉียนซีกลับมาถึงหอหมอปีศาจ ก็เห็นกู้ไป๋อีรอนางอยู่แล้ว
“เสี่ยวไป๋ ขอโทษด้วยที่ให้เจ้ารอนาน”
“ซีเอ๋อร์ไปวิ่งเล่นที่ใดมา?”
“นี่ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ มีชิงอิ่งกับเสี่ยวเหลิ่งอยู่ด้วย ไม่มีใครทำอะไรข้าได้หรอก”
ถึงแม้ว่าจะรีบเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่มู่เฉียนซีก็ยังรีบไปดูอาการของเฟิงอวิ๋นซิวก่อน
มู่เฉียนซีหมุนตัวไปมา เพียงชั่วพริบตาเดียว นางก็แปลงร่างเป็นอาถิงแล้ว
กู้ไป๋อีมองดูชายหนุ่มตรงหน้า มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เฟิงอวิ๋นซิวไม่รู้สถานะตัวตนนี้ของนาง แต่เขารู้
นางเชื่อใจเขามากขึ้น
กู้ไป๋อีดีอกดีใจอยู่ในใจ ส่วนอาถิงนั้นโกรธเกรี้ยวแทบจะระเบิดแล้ว
“หญิงอัปลักษณ์ นี่เจ้าหลงใหลในความงามจนสติเลอะเลือนไปแล้วเหรอ เจ้าแปลงกายต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ไม่กลัวถูกหลอกบ้างรึไง”
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ไว้ใจได้”
“ไว้ใจได้บ้าบออะไรของเจ้า ข้าว่าเจ้าหลงใหลในความงามของชายผู้นี้ไปแล้วน่ะสิไม่ว่า”
“เจ้าจะพูดพร่ำเพ้ออะไรก็ตามสบายเลยนะ ข้าจะไปดูอาการอวิ๋นซิว”
“เจ็บใจจริง ๆ ข้าเจ็บใจจริง ๆ! ท่านพี่ เหตุใดท่านพี่ไม่สั่งสอนนางบ้าง!” อาถิงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
“คนที่ซีเอ๋อร์เชื่อใจ ข้าก็เชื่อใจด้วย อาถิง เชื่อฟังหน่อยสิ”
“ข้า…” เหตุใดไฟในใจของเขาถึงยิ่งแผดเผามากขึ้นเช่นนี้
ต่อไปจะหลับใหลไปนานเหมือนครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด ท่านพี่ตามใจนางถึงเพียงนี้ ไม่มีใครคอยเตือนนางเลย
เฟิงอวิ๋นซิวนอนหมดสติอยู่บนเตียง มีซวนอีคอยเฝ้าเขาอยู่ข้างกาย
เมื่อซวนอีเห็นชายหนุ่มรูปลักษณ์ดุจดั่งทวยเทพผู้นี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านหมอปีศาจ!”
มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าว “เจ้ามารอด้านนี้เถอะ ข้าขอตรวจดูอาการของเขาสักหน่อย”
ทันทีที่ตรวจดูอาการ มู่เฉียนซีก็ขมวดคิ้วขึ้น
ตอนนี้พลังในร่างกายของเฟิงอวิ๋นซิวปั่นป่วนมาก
นางเคยเห็นเขาเพิ่มพลังมาก่อน ดูเหมือนว่าทักษะลับนั่นจะไม่ทำให้ร่างกายของเขาเกิดความเสียหาย หากไม่ได้ใช้มันบ่อย
แต่ครั้งนี้…
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่นายน้อยของเจ้าใช้ทักษะลับอะไรกันแน่ นี่เขาไม่นึกถึงชีวิตตัวเองเลยรึ”
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของซวนอี เขากล่าว “นายน้อยของข้า โง่เขลาเกินไปแล้วจริง ๆ”
“ช่างเถอะ ถามเจ้าไปก็เท่านั้น ให้นายน้อยของเจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เข็มยาเข็มหนึ่งถูกฉีดลงบนแขนของเฟิงอวิ๋นซิว
เฟิงอวิ๋นซิวลืมตาขึ้น เขานึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าวันนึงเขาจะถูกกู้ไป๋อีลอบทำร้ายเช่นนี้
แต่ตอนนี้ คนที่เขาเห็นกลับไม่ใช่กู้ไป๋อี แต่เป็นชายหนุ่มรูปงามดุจดั่งทวยเทพคนหนึ่ง
ดวงตาสีเขียวอ่อนของชายหนุ่มสดใสไร้เดียงสา ชายรูปงามผู้นั้นเข้าใกล้เขามากถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่รังเกียจเลยแม้แต่น้อย
“หมอปีศาจ!” ไม่นานนักเฟิงอวิ๋นซิวก็ตอบสนองได้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร
การประลองการหลอมยาครั้งใหญ่ของแดนตะวันออก คนตรงหน้าผู้นี้คือผู้ที่เอาชนะผู้ร่วมประลองทุกคนได้
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “นายน้อยอวิ๋นซิว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เดิมทีท่าทางเช่นนี้ของอาถิงดูเย้ายวนใจมาก รอยยิ้มนี้ทำให้ผู้คนหลงใหลจนเหม่อลอยไปได้เลย
เฟิงอวิ๋นซิวกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างคุ้นเคยและดูเป็นกันเองอย่างแปลกประหลาด
เขาไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหมอปีศาจจึงตอบกลับไปอย่างมีมารยาทว่า “อืม ไม่ได้เจอกันนานเลย!”
ไม่นานนัก รอยยิ้มอันงดงามนั้นพลันอันตรายขึ้น
“ที่ข้าทำให้นายน้อยอวิ๋นซิวฟื้นขึ้นมาก็เพราะว่าข้าอยากถามเรื่องบางอย่างกับเจ้า เจ้าอยากตาย หรืออยากมีชีวิตอยู่ต่อ?”
เฟิงอวิ๋นซิวคิดว่า หากเขาพูดว่าอยากตายออกไป ชายหนุ่มตรงหน้าต้องใช้เข็มพิษแทงเขาจนตายเป็นแน่
เหมือนกับเฉียนซีมาก…
พลันนั้นเฟิงอวิ๋นซิวก็ตกใจกับความคิดของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ! ข้ายังทำภารกิจไม่สำเร็จ ข้าไม่มีทางตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยชีวิตเจ้า นอนอยู่ตรงนี้ นิ่ง ๆ หากเจ้ากล้าคิดหนี ข้าจะหักขาเจ้าทิ้งซะ”
กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็เดินออกไป เตรียมจะปรุงยา
ดวงตาคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ซวนอี!”
ซวนอีคุกเข่าลงทันที “นายน้อย! ข้าน้อยมาขอความช่วยเหลือจากท่านประมุขน้อยเฉียนเยี่ย และนี่ก็เป็นความตั้งใจของท่านประมุขน้อยเฉียนเยี่ย”
“ข้าแค่สั่งให้เจ้าเอาของมาแสดงความยินดีกับเฉียนเยี่ย แต่เจ้ากลับทำเกินคำสั่งข้า เจ้ามันเยี่ยมจริง ๆ”
“รอให้นายน้อยกลับมาหายดีแล้ว ซวนอีจะรับโทษในความผิดนี้ทุกอย่างขอรับ”
เมื่อมู่เฉียนซีเดินออกมา กู้ไป๋อีก็กล่าวถามว่า “ซีเอ๋อร์ เป็นยังไงบ้าง?”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ากำลังจะกลายเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วนะ ปัญหาเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ไม่ยากสำหรับข้าหรอก”
กู้ไป๋อีกล่าว “ซีเอ๋อร์พักผ่อนก่อนเถอะ อย่าได้เหน็ดเหนื่อยเกินไป ให้เฟิงอวิ๋นซิวรอสักหน่อยเขาคงไม่ตายไปภายในครึ่งชั่วยามนี้หรอก”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่มีทางฝืนตัวเองหรอกน่า”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปในห้องปรุงยา กู้ไป๋อีก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน เขามองนางอย่างไม่ละสายตาเลยสักนิด
ไม่ว่านางจะขอให้เขาช่วยอะไร เขาจะพยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อช่วยนาง
อยากเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุด จำเป็นต้องมีพลังธาตุอัคคี และจะต้องมีหม้อเทพนิรันดร์นั่นด้วย
เขาเชื่อในความแข็งแกร่งของซีเอ๋อร์ ตราบใดที่นางได้ครอบครองพลังธาตุอัคคี อาศัยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์อันวิปริตของนาง ต่อให้ไม่มีหม้อเทพนิรันดร์ เขาก็เชื่อว่านางจะไปถึงจุดที่นางหวังเอาไว้ได้!
ทว่า หากมีหม้อเทพนิรันดร์ นางก็สามารถมีทางลัดมากมาย ไม่จำเป็นต้องลำบากทุกข์ทนมากเช่นนั้น!
ต้องการครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่สมบูรณ์ทั้งเล่มนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อถึงตอนนั้น หากเพิกเฉยต่อคำสั่งของเป่ยกงจั๋วก็ไม่เป็นไร
ทว่า ความน่ากลัวของจิตวิญญาณกระบี่นั้น เขาเคยเผชิญมาก่อน
หากแย่งชิงหม้อเทพนิรันดร์กับเป่ยกงจั๋ว นั่นหมายความว่าจะต้องต่อสู้กับเขาจนตายกันไปข้างหนึ่ง!
เขาไม่ได้เกรงกลัวความตายแต่อย่างใด แต่เขากลัวว่าคนที่เขาใส่ใจเพียงคนเดียวของเขาจะมีอันตราย
ชีวิตของคนคนหนึ่งจะต้องทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จ ทุกเรื่องที่ซีเอ๋อร์ปรารถนาเอาไว้ เขาจะไม่ขัดขวางนาง
กู้ไป๋อีพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างแล้ว
ตูม! และในตอนนี้เองก็ได้มีศัตรูผู้แข็งแกร่งมาโจมตีแล้ว! ที่แท้ก็เป็นแขกจากตำหนักตงจี๋กับสำนักเทียนหลิงนี่เอง
ผู้อาวุโสลู่กล่าว “ส่งตัวมู่เฉียนซีออกมาเดี๋ยวนี้!”
.