ตอนที่ 1096 ขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผู้มาใหม่คือผู้อาวุโสสามของตระกูลหนิงซึ่งมีนามว่า ‘หนิงหม่านโหลว’ ด้วยพลังในขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา แม้ไม่ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเขาก็จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของตระกูลหนิง

ครานี้เขาได้ทราบข่าวว่ามีซากปรักหักพังของต้นไม้โลกปรากฏขึ้นมานอกเมืองฝู่ฮว๋าจึงได้หารือกับผู้อาวุโสรองและนำคณะเดินทางออกมาสำรวจดู

ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสรองก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าหนิงหม่านโหลวพอสมควร ทว่าตอนนี้เขาติดธุระและกำลังหารือกับหัวหน้าคณะเดินทางจากขุมกำลังอื่น ๆ ภายในจวนเจ้าเมือง เมื่อหนิงหม่านโหลวทราบว่าหนิงยวี่ย่วน ‘ถูกรังแก’ เขาก็รีบตามนางออกมาที่นี่ทันที

หนิงหม่านโหลวรู้จักนิสัยใจคอของหนิงยวี่ย่วนเป็นอย่างดี นางมักวางท่าสูงส่งและทำตัวเผด็จการซึ่งไม่แปลกที่จะมีปัญหาขัดแย้งกับผู้คนได้ง่าย ๆ

แม้พลังอำนาจของตระกูลหนิงจะไม่แกร่งกล้านัก พวกเขาก็ยังเป็นถึงขุมกำลังระดับสองซึ่งจอมยุทธ์ทั่วไปจะเห็นแก่หน้าพวกเขาอยู่บ้างแม้ไม่ชอบการกระทำของหนิงยวี่ย่วนก็ตาม ทว่าครานี้คนทั้งสี่ตรงหน้ากลับไม่ไว้หน้าตระกูลหนิงแม้แต่น้อย

หนิงยวี่ย่วนถูกทำร้ายจนบาดเจ็บและต้องอับอายต่อหน้าคนมากมายซึ่งถือได้ว่าไม่ต่างจากการตบหน้าตระกูลหนิงอย่างจัง เพราะเหตุนั้น หนิงหม่านโหลวจึงไม่อาจนิ่งดูดายกับเรื่องนี้ได้

“เหอะ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง ขอโทษย่วนเอ๋อร์เดี๋ยวนี้และข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า มิเช่นนั้น…อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน !”

เขาแค่นเสียงในลำคอและในใจเริ่มมีความลังเลเล็กน้อย

ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริง ๆ ที่ฉินอวี้โม่และสหายสามารถปัดเป่าแรงกดดันของเขาออกไปได้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนเหล่านี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเท่านั้น สำหรับการประจันหน้ากับตัวเขาที่อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดารา อีกฝ่ายควรจะไม่มีพลังที่จะต่อต้านถึงจะถูก

ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ก็มีลักษณะท่าทางและกลิ่นอายที่ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป หนิงหม่านโหลวจึงไม่ต้องการทำให้พวกนางขุ่นเคืองใจจนเกินไป

“มิใช่เพียงแค่ว่าเราจะไม่ขอโทษหนิงยวี่ย่วนเท่านั้น ทว่าเรายังมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก…”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวตอบ หากต้องการให้พวกนางกล่าวขอโทษ นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าหนิงหม่านโหลวผู้นี้มีฝีมือมากพอที่จะทำได้หรือไม่

ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราถือว่าใกล้เคียงกับเสียอวิ๋นจากจอมยุทธ์ปีศาจก่อนหน้านี้ หากนางและสหายทั้งสามร่วมมือกัน ฉินอวี้โม่เชื่อว่าจะจัดการกับอีกฝ่ายได้โดยที่แทบไม่ต้องใช้ไพ่ตายด้วยซ้ำ

“ท่านลุงสาม อย่ามัวเปลืองน้ำลายพูดกับพวกนางเลย จัดการพวกนางเลยเจ้าค่ะ สั่งสอนให้พวกนางรู้สำนึก !”

หนิงยวี่ย่วนอดกล่าวด้วยเสียงดังไม่ได้และสีหน้าของนางในตอนนี้บิดเบี้ยวอย่างที่สุด แม้มีผ้าคลุมบดบังใบหน้า รอยแผลยาวก็ยังปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน

รอยแผลที่ฉินอวี้โม่ทิ้งไว้บนใบหน้าของนางมิใช่รอยแผลที่จะรักษาให้หายได้ง่าย ๆ

“ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายืนกรานที่จะไม่ขอโทษสินะ…”

เมื่อรับรู้ถึงการตัดสินใจของคนทั้งสี่ หนิงหม่านโหลวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสีหน้ากลายเป็นเย็นชา

“ถูกต้อง หากคิดจะลงมือก็เร็วเข้าเถอะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย”

เซิ่งเซียวกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง การที่ต้องการขอให้พวกเขากล่าวขอโทษหนิงยวี่ย่วน เกรงว่าคนตระกูลหนิงคงจะสติฟั่นเฟือนเสียแล้ว คนเหล่านี้ไม่คู่ควรได้รับคำขอโทษเลยสักนิด

“นั่นสิ เห็นกันอยู่ว่าหนิงยวี่ย่วนเป็นคนเข้ามาหาเรื่องและนำพาความอับอายไปสู่ตนเอง เราก็เพียงตอบสนองต่อความต้องการของนางเท่านั้น ทว่าพวกเจ้ากลับต้องการพึ่งพาอำนาจของการเป็นขุมกำลังระดับสองในการบีบบังคับให้เราขอโทษนาง หากกระทำผิดจริง พวกข้าก็พร้อมที่จะขอโทษ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครานี้มิใช่ความผิดของเราเลย การที่คิดจะบีบบังคับให้พวกข้าขอโทษ เชิญฝันต่อไปเถอะ !”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวเสริมและกวาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“เหอะ !”

หนิงหม่านโหลวแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นก็ออกไปสู้กันข้างนอกเถอะ ข้าไม่อยากทำลายโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ นี่”

แม้จะมาจากตระกูลเดียวกัน เขาก็มีความเป็นผู้ดีมีเกียรติมากกว่าหนิงยวี่ย่วนมากนักและไม่เลือกที่จะจู่โจมในทันทีทว่าพิจารณาถึงความปลอดภัยของโรงเตี๊ยม

หลังจากนั้น ทุกคนก็ออกจากโรงเตี๊ยมและเหาะออกไปนอกเมืองอย่างรวดเร็ว

การต่อสู้กันภายในตัวเมืองจะดึงดูดสายตาผู้คนมากจนเกินไปและฉินอวี้โม่มีความคิดที่เรียบง่ายอย่างหนึ่ง นั่นคือหากหนิงหม่านโหลวมีความคิดตุกติกและเรียกคนตระกูลหนิงมาร่วมด้วย การต่อสู้ที่นอกเมืองเช่นนี้จะช่วยให้พวกนางมีโอกาสหลบหนีได้ง่ายกว่าในโรงเตี๊ยม

แน่นอนว่าพวกนางยังไม่คิดที่จะหลบหนีในตอนนี้ หนิงหม่านโหลวเพียงผู้เดียวยังไม่มากพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อพวกนางได้

กลางอากาศเหนือพื้นที่โล่งกว้างนอกเมืองฝู่ฮว๋า จอมยุทธ์ทั้งสี่กำลังยืนประจันหน้ากับหนิงหม่านโหลวอย่างไม่เป็นกังวล

“ข้าไม่อยากรังแกพวกเจ้า ข้าจะต่อสู้กับพวกเจ้าทั้งหมดพร้อม ๆ กัน !”

หนิงหม่านโหลวกล่าวออกไปและส่งสัญญาณให้ฝ่ายของฉินอวี้โม่เริ่มโจมตีก่อน

“ท่านลุงสาม สั่งสอนพวกนางให้รู้สำนึกเลยเจ้าค่ะ พวกนางจะได้รู้ว่าชะตากรรมของผู้ที่คิดมีเรื่องกับตระกูลหนิงจะต้องลงเอยอย่างไร !”

หนิงยวี่ย่วนซึ่งยืนอยู่บนพื้นดินกล่าวเสียงดังและคณะผู้ติดตามของนางก็ส่งเสียงให้กำลังใจด้วยเช่นกัน ราวกับฉินอวี้โม่และสหายเป็นผู้ร้ายที่ทำความผิดเกินให้อภัย

“เหอะ ตระกูลหนิงนี่หน้าไม่อายจริง ๆ เป็นถึงผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราแต่กลับรังแกคนหนุ่มสาวที่ไม่มีพิษภัยเหล่านี้ พวกเจ้าทั้งหลาย…หากเอาชนะเขาไม่ได้ ข้าจะช่วยให้พวกเจ้าปลอดภัยเอง”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคนและเป็นเสียงที่มาจากคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใด

หัวหน้ากลุ่มผู้มาใหม่คือบุรุษวัยกลางคนที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงสี่สิบถึงห้าสิบปีและระดับความแข็งแกร่งของเขาก็สูงกว่าหนิงหม่านโหลวเสียอีกซึ่งเป็นระดับที่ฉินอวี้โม่ไม่อาจเทียบได้เลย คณะผู้ติดตามของเขาก็ไม่ธรรมดาเลยเช่นกันและความแข็งแกร่งโดยรวมของคนทั้งกลุ่มก็เหนือชั้นกว่าคนตระกูลหนิงอย่างเห็นได้ชัด

น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นแสดงถึงความรังเกียจในการกระทำของหนิงหม่านโหลวอย่างไม่ปิดบังซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคงจะเคยมีเรื่องบาดหมางขุ่นเคืองใจกับตระกูลหนิงมาก่อน

“คนเหล่านี้มาจากขุมกำลังระดับสองอีกแห่งหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์—ตระกูลไป๋ กล่าวกันว่าตระกูลไป๋และตระกูลหนิงไม่ถูกกันมานานแล้วและมีเรื่องขัดคอกันเป็นประจำ ผู้นำของทั้งสองตระกูลก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด ทว่าไม่เคยมีฝ่ายใดที่เอาชนะอีกฝ่ายได้”

จอมยุทธ์อิสระคนหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอ่ยปากออกมาและเปิดเผยตัวตนของกลุ่มผู้มาใหม่เหล่านี้

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านจอมยุทธ์เป็นการล่วงหน้าเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กล่าวขอบคุณไป๋เสี่ยวหลง—ผู้นำตระกูลไป๋ด้วยน้ำเสียงจริงใจและมองหน้ากันก่อนตรงเข้าไปโจมตีหนิงหม่านโหลว

แม้แรงกดดันของหนิงหม่านโหลวจะกดข่มพวกนางไม่ได้โดยสมบูรณ์ ทว่ามันก็ส่งผลกระทบต่อฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกันของพวกนางทั้งสี่ก็เพียงพอที่จะประจันหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราเพียงคนเดียว

เซิ่งเซียวและฟู่อวิ๋นซิวเข้าประจันหน้ากับหนิงหม่านโหลวอย่างซึ่ง ๆ หน้าในขณะที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเหาะออกไปรอบ ๆ และรอจังหวะปล่อยการโจมตี

พวกนางประสานงานกันอย่างสอดคล้องและสมบูรณ์แบบซึ่งทำให้หนิงหม่านโหลวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันที แม้มีความแข็งแกร่งในระดับที่สูงกว่า ทักษะในการต่อสู้ของผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลหนิงก็อยู่เพียงระดับทั่วไปเท่านั้น เมื่อถูกล้อมรอบโดยคนรุ่นเยาว์มากฝีมือทั้งสี่ จอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์หกดาราผู้นี้ก็มิอาจตอบโต้ได้เลย

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ !”

ไป๋เสี่ยวหลงอดกล่าวชื่นชมในการประสานงานและความเข้าใจที่ทั้งสี่มีต่อกันไม่ได้ ดูเหมือนว่าคนทั้งสี่จะฝึกฝนและต่อสู้ด้วยกันมานานหลายปีส่งผลให้ประสบการณ์ในการต่อสู้ของพวกนางเหนือกว่าคนทั่วไปมากนัก ไม่ว่าจะเป็นสองคนที่ประจันหน้าโดยตรงหรือสตรีสองคนที่เหาะอยู่รอบ ๆ เพื่อหาจังหวะโจมตี ทุกคนล้วนแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมโดยมีท่วงท่าการโจมตีที่แม่นยำและถูกจังหวะ ไป๋เสี่ยวหลงรู้สึกว่าต่อให้ตนเป็นคู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้ เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะเอาชนะพวกนางได้

ไป๋เสี่ยวหลงยิ่งสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของคนทั้งสี่เป็นอย่างมาก ด้วยฝีมือการต่อสู้ที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกนางมาจากขุมกำลังใด…

หากพิจารณาจากอายุที่ยังน้อย หากมาจากขุมกำลังใหญ่จริง พวกเขาก็ควรจะได้ยินชื่อเสียงของพวกนางมาบ้าง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงมีเพียงคำตอบเดียวนั่นก็คือฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามน่าจะมาจากดินแดนอื่นหรือเป็นจอมยุทธ์ที่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในภูเขาซึ่งไม่เคยปรากฏตัวออกมา

สีหน้าของหนิงหม่านโหลวกลางอากาศก็บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกเหนือจากพลังมายาเพียงอย่างเดียวที่เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสี่ คุณสมบัติอื่น ๆ ทั้งหมดของเขาก็ล้วนด้อยกว่าพวกนางทั้งสิ้น อีกฝ่ายสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าในทางตรงกันข้าม ตัวเขาไม่อาจหลบหลีกจากการลอบโจมตีในมุมอับของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนได้เลย สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขามีความคิดที่จะถอนตัวขึ้นมา