ทว่าซวีหลิงเป็นหัวหน้าเผ่าของเผ่าภูตสูญ แม้เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งก็แตกต่างจากเผ่าภูตผีทั่วไป เขาคำรามดังลั่นระเบิดปราณสีดำสายหนึ่งออกจากร่างต้านแสงสีทองไว้ได้พริบตาหนึ่งอย่างหวุดหวิด จากนั้นร่างกายโฉบวูบเดียวก็พาร่างกายอันหม่นแสงเหาะหนีจากแสงสีทองที่ล้อมอยู่

ฟุบ!

ร่างแยกของซวีหลิงปรากฏตัวห่างออกไปสิบกว่าจั้ง สีหน้าซีดเผือดดั่งกระดาษ ทว่าเมื่อเขาเพ่งสายตามองก็พบว่าลำแสงสีทองหายไปแล้ว

“แย่แล้ว!”

ยังไม่ทันที่เขาจะตอบสนอง แสงอสนีบาตสีทองหลายเส้นก็พุ่งพรวดมาจากทั่วทุกสารทิศ พุ่งวูบเดียวทะลวงผ่านจุดสำคัญต่างๆ เช่นหน้าอกและท้องน้อยของร่างแยกซวีหลิงไป

ร่างแยกของซวีหลิงบิดเบี้ยวอยู่พักหนึ่ง พลังเวทในร่างที่เพิ่งฝืนรวบรวมขึ้นมาได้ถูกแสงอสนีบาตสีทองโจมตีจนแตกซ่านอีกครั้ง

เงาคนไหววูบ หลิ่วหมิงปรากฏตัวเบื้องหน้าร่างแยกของซวีหลิง ห้านิ้วกางออก อสนีบาตสีทองหลายสายพุ่งออกมาจากมือของเขา เกิดเป็นคุกสายฟ้าขังร่างแยกของซวีหลิงเอาไว้ด้านใน

“นี่…นี่คือพลังอสนีบาตอันใด! เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่” ร่างแยกของซวีหลิงหวาดผวายิ่งนัก ร่างกายพุ่งชนคุกอสนีบาตซ้ายทีขวาที แต่ก็ถูกอสนีบาตสีทองดีดกลับมา

หลิ่วหมิงเงียบ ไม่สนใจคำถามของซวีหลิง มือข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชา ตราประทับสีทองโบราณเรียบง่ายดวงหนึ่งลอยออกมาจากหน้าอก นั่นก็คือตราประทับวิชาสายฟ้าสวรรค์ที่เขาผนึกไว้นานแล้ว

หลังจากผ่านการสร้างกายเนื้อใหม่ด้วยสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า พลังอสนีบาตยามใช้วิชาสายฟ้าสวรรค์ก็กลายเป็นสีทองเจิดจ้าทั้งหมด พลังเพิ่มขึ้นมากและยังแฝงพลังของสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าอยู่หลายส่วน

ต่อจากนั้นอสนีบาตสีทองหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา โจมตีใส่ร่างแยกของซวีหลิงเสียงดัง

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากคุกสายฟ้า ร่างแยกของซวีหลิงระเบิดกลายเป็นควันสีดำพร้อมเสียงดังกึกก้องท่ามกลางอสนีบาตสีทองแล้วหายไปอย่างสมบูรณ์

ในห้องลับลึกลงไปใต้ดินใจกลางป่าผลึกหมึก ซวีหลิงกำลังท่องมนตร์นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าดีดออกจากมือของเขาแล้วจมหายเข้าไปในหุ่นมนุษย์สีเทาที่อยู่ไม่ไกลเบื้องหน้า

ดวงตาสองข้างของหุ่นสีเทาเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ บนร่างค่อยๆ ปรากฏยันต์ยึกยือตัวแล้วตัวเล่า สัมผัสถึงลมปราณมหาศาลสายหนึ่งได้เลือนราง ใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว

ในตอนนี้เองกายของซวีหลิงพลันสะท้าน เงยหน้าขึ้นมาทันที

“เร็วเช่นนี้ก็ถูกกำจัดร่างแยกไปร่างหนึ่งแล้ว แล้วยังถูกเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นต้นที่อ่อนแอที่สุดตนนั้นสังหารอีก เดี๋ยวก่อน อสนีบาตสีทองหรือ? วิชาของเจ้าหนูคนนี้ประหลาดอยู่บ้าง…เหอะ ถึงเวลาค่อยคิดบัญชีกับเจ้า!”

ซวีหลิงแค่นเสียงหยัน จากนั้นก็จดจ่ออยู่กับการปลุกหุ่น

……

สักที่แห่งหนึ่งในป่าผลึกหมึก หลังจากหลิ่วหมิงสังหารร่างแยกของซวีหลิงแล้วเก็บคุกมืดกับแมงป่องกระดูกไป เขาก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า

ป่าผลึกหมึกแห่งนี้รบกวนจิตสัมผัสอย่างร้ายกาจ เมื่อครู่ร่างแยกของซวีหลิงร่างนั้นซุ่มซ่อนอยู่ข้างตัวก็ยังสัมผัสไม่ได้ พื้นที่ป่าผลึกหมึกแห่งนี้กว้างใหญ่จนน่าตกใจ หากค้นหาสะเปะสะปะ เกรงว่าสุดท้ายคงไม่ได้สิ่งใดกลับมาทั้งสิ้น

อีกทั้งเขายังรู้สึกอยู่รางๆ ว่าการที่ซวีหลิงนำพวกเขาเข้ามาในป่าผลึกหมึกแห่งนี้ เป้าหมายของเขาเกรงว่าคงไม่ใช่อาศัยที่แห่งนี้สลัดหนีเพียงเท่านั้น แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจในพลังของตน แต่รวมตัวกับพวกปี้เหยียนก่อนจะดีกว่า

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิ่วหมิงจึงเหาะขึ้นท้องฟ้า กวาดสายตามองรอบด้านแล้วเหาะอย่างรวดเร็วไปทางหนึ่ง

อีกด้านหนึ่งของป่าผลึกหมึก แสงสองสายสีเทากับสีฟ้ากำลังปะทะกันอย่างดุเดือดกลางท้องฟ้าไม่หยุด คลื่นพลังเวทล่องหนระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ออกไปไกล

ผู้ที่สู้รบดุเดือดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็คือเจี้ยนอู่ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่กับร่างแยกอีกร่างหนึ่งของซวีหลิง

แม้ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่จะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาลับหรือกินโอสถรักษาอาการบาดเจ็บระดับสุดยอดอันใดลงไป เวลานี้จึงดูเหมือนฟื้นพลังปราณขึ้นมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว กระบี่บินสีม่วงสองเล่มในมือบินฉวัดเฉวียน ปราณกระบี่แผ่ไปทั่วกลายเป็นตาข่ายกระบี่สีม่วงถี่ยิบจนสายลมมิอาจลอดผ่านผืนหนึ่งหยุดร่างแยกของซวีหลิงเอาไว้

หอกยาวสีดำที่มีปราณสีเทาวนเวียนในมือร่างแยกของซวีหลิงกลายเป็นมังกรสีดำตัวหนึ่งปกป้องทั้งร่างเอาไว้ ฝืนต้านการโจมตีอันดุดันของชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ไว้ได้อย่างหวุดหวิด แม้ตกเป็นรอง แต่ยังไม่ถึงขั้นแพ้พ่ายในทันทีทันใด

ในตอนนี้เองชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ก็ท่องมนตร์แล้วใช้เคล็ดกระบี่ กระบี่บินสีม่วงสองเล่มผสานเป็นร่างเดียวกันปานสายฟ้าแลบ กลายเป็นดาบมหึมาเล่มหนึ่งพาลำแสงสีม่วงส่องสว่างสายหนึ่งฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยม

ร่างแยกของซวีหลิงร่างนั้นเหมือนจะรู้ว่าฝืนรับกระบวนท่านี้ตรงๆ ไม่ง่าย ร่างกายจึงขยับวูบคิดจะหลบให้พ้น

ตอนนี้เองจู่ๆ กระจกโบราณบานหนึ่งก็โผล่มาเหนือศีรษะเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลำแสงสีขาวเส้นหนึ่งร่วงจากฟ้าล้อมร่างแยกซวีหลิงเอาไว้ด้านใน

ร่างแยกซวีหลิงชะงัก ลำแสงสีม่วงฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยมสะบั้นร่างแยกของซวีหลิงเป็นสองซีก

ร่างแยกของซวีหลิงถูกฟันเป็นสองซีกก็ยังไม่ตาย ร่างทั้งสองซีกส่งเสียงดังปังแล้วกลายเป็นปราณสีเทาก้อนหนึ่ง พุ่งหนีไปทางดงเสาหินผลึกหมึกที่อยู่ไกลๆ

แสงเปลวเพลิงส่องสว่าง วิหคอัคคีสีแดงฉานขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นระหว่างเสาหินสีเทาสองต้นด้านหน้า ขวางหน้าปราณสีดำเอาไว้ ก่อนจะอ้าปากพ่นลำเพลิงสีแดงฉานประหนึ่งดาวตกเข้าใส่ปราณสีเทา

ปราณสีเทาระเบิดดังกึกก้องแล้วกระจายไปรอบด้าน ร่างแยกของซวีหลิงกรีดร้องเหาะโซเซออกมา

วิหคอัคคีสีแดงฉานกางปีกทั้งสองข้าง เปลวเพลิงผืนใหญ่โหมกระหน่ำออกมาจากปีก บริเวณหลายสิบจั้งรอบด้านกลายเป็นทะเลเพลิงล้อมร่างแยกของซวีหลิงไว้ด้านใน

“ฟึบ!”

วงแหวนอัคคีสีแดงฉานวงหนึ่งเหาะออกมาจากทะเลเพลิงดุจสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็รัดร่างแยกของซวีหลิงไว้ด้านใน ในเวลาเดียวกันลำแสงสีขาวกลางท้องฟ้าก็ครอบลงมาอีกครั้ง ร่างแยกของซวีหลิงกระดิกไม่ได้ทันที

ตอนนี้เองกระบี่บินสีม่วงสองเล่มก็ฟันกระหน่ำลงมา แสงกระบี่สีม่วงผืนหนึ่งกลบร่างแยกของซวีหลิงไว้จนมิด เสียงกรีดร้องดังออกมาจากด้านใน ก่อนจะสลายกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

ผ่านไปครู่หนึ่งทะเลเพลิงผืนใหญ่กระจายตัวออก ข้างกายชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่มีเงาสองร่างปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็คือผู้เฒ่าชุดน้ำเงินกับบุรุษคิ้วเฉียงนั่นเอง

“พี่สือ พี่ลี่ ขอบคุณทั้งสองท่านยิ่งนักที่ช่วยเหลือ มิเช่นนั้นจะสังหารร่างแยกของซวีหลิงร่างนี้ เกรงว่าคงต้องเสียเวลาอีกไม่น้อย” ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่โบกมือ กระบี่บินสีม่วงสองเล่มพุ่งเร็วรี่กลับมาอยู่บนแผ่นหลังของเขา หลังจากนั้นเขาจึงประสานมือเอ่ยกับพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงิน

“พี่เจี้ยนไม่ต้องเกรงใจ ท่านกับข้า พวกเราสามคนต่างร่วมแรงร่วมใจทำงานให้แก่ท่านราชายมโลก ไยต้องเอ่ยขอบคุณ” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเก็บกระจกโบราณแล้วยิ้มน้อยๆ

ต่อจากนั้นทะเลเพลิงเต็มฟ้าก็หายไปในพริบตา วิหคเพลิงสีแดงฉานโฉบวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นลูกแก้วกลมสีแดงฉาน ลอยกลับมาร่วงลงในมือบุรุษคิ้วเฉียงพร้อมกับกำไลสีแดง

คนผู้นี้ไม่พูดไม่จา เพียงพยักหน้าให้ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ จากนั้นกวาดสายตาไปรอบด้านด้วยสีหน้าระแวดระวัง

“พี่สือคู ต่อไปพวกเราจะทำเช่นไร” ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่มองไปทางผู้เฒ่าชุดน้ำเงินแล้วถามขึ้นมา

บุรุษคิ้วเฉียงได้ยินจึงรั้งสายตากลับมามองผู้เฒ่าชุดน้ำเงินด้วย

ในหมู่ทั้งสามตน ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินระดับพลังสูงที่สุด ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่กับบุรุษคิ้วเฉียงจึงยกให้ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเป็นหัวหน้าอยู่กลายๆ

“ตอนนี้สถานการณ์ในป่าผลึกหมึกแห่งนี้แปลกพิกลอยู่บ้าง ข้าเห็นว่าอาศัยเพียงพวกเราตระเวนค้นหาร่างจริงของซวีหลิงอย่างไร้จุดหมายไม่น่าจะเป็นไปได้ ข้าจึงคิดว่าไปรวมตัวกับคนอื่นก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา

ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่กับบุรุษคิ้วเฉียงไม่มีความเห็นอื่นใด ทั้งสามคนหารือกันครู่หนึ่งก็กลายเป็นลำแสงสามสายพุ่งขึ้นฟ้า บินวนกลางท้องฟ้าอยู่พักหนึ่งก็เหาะเร็วรี่ไปยังทิศทางที่มา

……

ณ ป่าศิลาสีเทาบริเวณหนึ่งซึ่งห่างจากจุดที่ผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินอยู่ราวพันลี้ เส้นไหมสีเขียวนับไม่ถ้วนพาดตัดสลับกันไปมาประหนึ่งใยแมงมุมสีเขียวนับร้อยนับพันร้อยกันจนกลายเป็นกรงเส้นไหมสีเขียวทรงกลมกินพื้นที่ราวสิบจั้ง

เส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวที่มีเปลวเพลิงสีเขียวเรียวเล็กลุกไหม้อยู่ด้านบนขังร่างแยกของซวีหลิงร่างหนึ่งไว้ข้างใน

ยามนี้ร่างแยกของซวีหลิงร่างนี้ใช้ร่างวิญญาณหลบเร้นกลายเป็นไอหมอกสีเทาผืนหนึ่ง พุ่งทะลวงซ้ายขวาอยู่ในกรงเส้นไหมสีเขียว แต่เส้นไหมเรียวสีเขียวมากมายล้อมไอหมอกสีเทาไว้เป็นชั้นๆ พันธนาการเขาไว้อย่างแน่นหนา

บนท้องฟ้าเหนือกรงเส้นไหมสีเขียว ปี้เหยียนเหยียบยืนอยู่บนอากาศ สีหน้าเคร่งขรึม สองตามีประกายสีเขียวไหลเวียนวน สองมือส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าไปในธงน้อยสีเขียวที่ลอยอยู่ด้านหน้าต่อเนื่องไม่หยุด

ฟู่!

ผืนธงเปล่งแสงสีเขียว เปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน แล้วร่วงลงสู่เบื้องล่างทะลุผ่านกรงเส้นไหมสีเขียวหล่นลงบนร่างแยกของซวีหลิง

ชี่!

ร่างแยกของซวีหลิงกรีดร้องโหยหวน ร่างกายหดเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นขี้เถ้าลอยหายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว

ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงโล่งอก ใบหน้าซีดเล็กน้อย

ทุกหนทุกแห่งในป่าผลึกหมึกล้วนมีพลังงานรบกวนทำให้วิชาลับที่เขาใช้ต้องสิ้นเปลืองพลังเวทมากกว่ายามปกติมาก

เขาหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมากิน สีหน้าจึงดีขึ้นบ้าง จากนั้นโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา เส้นไหมสีเขียวนับไม่ถ้วนแตกสลายเป็นละอองแสงสีเขียวลอยกลับไปในธงน้อยสีเขียว

ทันใดนั้นปี้เหยียนก็ขมวดคิ้วหันหน้าไปมองท้องนภาไกลๆ

“ฟึบ!”

ลำแสงสีดำสายหนึ่งเหาะเร็วรี่มาแต่ไกลแล้วร่อนลงมาเผยร่างของคนผู้หนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

“ที่แท้ก็พี่อิ่นนี่เอง!”

คิ้วของปี้เหยียนคลายออกแล้วเผยรอยยิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้หลิ่วหมิง

“ข้าสัมผัสคลื่นพลังเวทที่นี่ได้จากไกลๆ จึงรีบเร่งมาดู คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่ปี้เหยียน! ดูท่าการต่อสู้คงจบแล้ว” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองไอหมอกสีเทาที่ค่อยๆ สลายไปรอบด้านแล้วพยักหน้าตอบ

“แค่ร่างแยกร่างเดียวเท่านั้น สหายหาพบหรือไม่ว่าร่างต้นของซวีหลิงอยู่ที่ใด” ปี้เหยียนยิ้มจางๆ พลางเอ่ยปากถาม

“ป่าผลึกหมึกแห่งนี้ก่อกวนจิตสัมผัสยิ่งนัก ข้ายังหาไม่พบ” หลิ่วหมิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

ปี้เหยียนฟังจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“สหายปี้เหยียน ซวีหลิงผู้นั้นล่อพวกเรามายังป่าผลึกหมึกแห่งนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงเพื่อหนีเฉยๆ หากพวกเราแยกย้ายกันเคลื่อนไหวต่อไปเกรงว่าจะไม่ดี อาจตกสู่กับดักของซวีหลิงก็เป็นได้” หลิ่วหมิงใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ประสานมือเอ่ยกับปี้เหยียน

ปี้เหยียนฟังแล้วก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “พี่อิ่นกล่าวมีเหตุผล อย่างไรก็ตามให้ทุกคนมารวมตัวกันคงจะดีที่สุด”

พูดจบเขาจึงยกมือขึ้น ลำแสงสีแดงหนาเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า พุ่งวูบเดียวสูงขึ้นไปถึงพันจั้งกลายเป็นแสงสีแดงแสบตายิ่งนักผืนหนึ่งแผ่ขยายไปรอบด้าน ลอยอยู่เนิ่นนานชั่วจิบชาจึงค่อยๆ สลายไปอย่างเชื่องช้า