ทันทีที่แสงสีทองดับไป ร่างของราชาหมอผีคารามันผู้ดำรงชีวิตมานานนับพันปี แหลกละเอียดและร่วงกราวลงด้านหน้าประตูทางเข้าวิหารรัตติกาล ทุกส่วนไหม้เกรียมและเปื้อนเลือดสีแดง
มีบางสิ่งหลุดออกจากชุดคลุมที่ไหม้เป็นตอตะโก มันคือฝ่ามือขนาดปรกติ แต่ผิวหนังแวววาวผิดไปจากมนุษย์ นิ้วทั้งห้าเรียวยาวได้สัดส่วน
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เอ็มลินคงเชื่อว่านี่คือฝ่ามือของตุ๊กตาชั้นเลิศ
ศีรษะที่เหลืองอีกข้างหนึ่งในมือไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถูกเหวี่ยงออกไปคาบฝ่ามือดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ร่างของชารอนกลายเป็นโปร่งใส่ เธอลอยเข้าไปสิงศพคารามันเพื่อเร่งกระบวนการตกตะกอน
เอ็มลินรวบรวมสมาธิก่อนจะหันไปมองบานประตูอัญเชิญที่แหวนลิลิธสร้างขึ้น ทันใดนั้นร่างของมันพลันเปลี่ยนเป็นแสงจันทร์สีแดงพร่ามัว
แสงจันทร์แดงแตกกระจัดกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยจำนวนมาก
เกล็ดแสงสีแดงสว่างและลึกลับลอยไปรวมตัวกันใต้แสงจันทร์ด้านข้างศพคารามัน จากนั้นก็ประกอบกลับเป็นร่างกายเอ็มลิน·ไวท์ในชุดทักซิโด้
เอ็มลินมิได้สนใจตะกอนพลังที่กำลังควบแน่น เพียงสลายไม้กางเขนเจิดจรัสและโน้มตัวลงไปหยิบ ‘เนตรสีขาว’ ด้วยถุงมือกำมะหยี่สีดำ
มืออีกข้างพลิกเปิดสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ไปยังหน้าหนึ่ง ลวดลายและอักขระบนแผ่นกระดาษสื่อถึงพลัง ‘เทเลพอร์ต’
ร่างเอ็มลินเปลี่ยนเป็นโปร่งใสก่อนจะเลือนหายไปจากสนามรบ
มันทำตามแผนโดยการหนีกลับเป็นคนแรกเมื่อศึกจบลง ไม่คิดแทรกแซงการเก็บกวาดที่เกิดเหตุของชารอนและพรรคพวก เพราะต้องไม่ลืมว่าเอ็มลินอ่อนแอที่สุด แถมในศึกเมื่อครู่ยังสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากจากการใช้สมบัติปิดผนึก
สำหรับส่วนแบ่ง พวกมันจะจัดการหลังจากกลับถึงเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว
ในประเด็นนี้ เอ็มลินไม่กังวลว่าจะมีใครคดโกง มันเชื่อใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์และคนของโรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับอย่างเต็มที่
หลังจากเทเลพอร์ตมาถึงห้องว่างในกรุงเบ็คลันด์ เอ็มลินรีบโยนสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ทิ้งทันที ตามด้วยการหยิบกล่องทองแดงที่เลี่ยมด้วยทับทิมจำนวนมากออกมาเปิดฝาและใส่ ‘เนตรสีขาว’ ลงไป
จัดการทั้งหมดเสร็จ เอ็มลินถึงคราวถอดถุงมือข้างซ้าย มันได้เห็นนิ้วที่บวมพองและมีตุ่มน้ำนูนยื่น
พิจารณาจากพลังการฟื้นตัวของผีดูดเลือด ความเสียหายระดับนี้น่าจะถูกเยียวยาได้นานแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
รอยไหม้จากเนตรสีขาวจะคงอยู่ไปอย่างน้อยเจ็ดวัน… เอ็มลินควักครีมส่วนหนึ่งที่บรรจุในท่อโลหะออกมาใส่แผลแล้วทา
ความเจ็บปวดที่กัดลึกเข้าไปถึงระดับวิญญาณเริ่มบรรเทาลงหลายส่วนจากผลของความเย็น เอ็มลินสูดลมหายใจยาวราวกับได้เกิดใหม่
มันอาศัยพลังใจอย่างมากเพื่อยับยั้งชั่งใจมิให้โยนเนตรสีขาวลงไปบนพื้น นั่นเพราะถ้าสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้สูญเสียเจ้าของเมื่อไร มันจะดูดกลืนแสงรอบข้างและส่องสว่างโดยอัตโนมัติ นั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายสำหรับผีดูดเลือด
ทันทีหลังจากนั้น เอ็มลินหยิบขวดแก้วที่บรรจุเลือดตัวเองออกมาเปิดฝา ตามด้วยการละเลงเลือดลงไปบนปกสมุดเวทมนตร์เลมาโน่ จากนั้นก็ดื่มเลือดจากอีกขวดเพื่อดับกระหายที่เกิดจากผลของแหวนลิลิธ
จัดการทั้งหมดเสร็จ เอ็มลินได้เป็นอิสระจากผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติปิดผนึกทุกชิ้นที่มันใช้งานในวันนี้
และนั่นทำให้มันมีเวลานึกทบทวนเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างต่อสู้
ประตูแห่งการอัญเชิญมิได้เรียกสิ่งมีชีวิตใดออกมาจากส่วนลึกของโลกวิญญาณ มีเพียงดวงจันทร์ประหลาดแค่ดวงเดียว
ดวงจันทร์ที่โผล่ขึ้นจากประตูแห่งการอัญเชิญส่องแสงไปทางราชาหมอผีคารามันพร้อมกับผนึกพลังพิเศษในขอบเขตจันทราหลายชนิด
หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ต่อให้ประตูแห่งการอัญเชิญเรียกสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพออกมา แต่ศึกชุลมุนก็คงไม่มีทางจบลงเร็วเช่นนี้แน่ บางทีการต่อสู้อาจยื้อออกไปจนกระทั่งเทวทูตจากโรงเรียนกุหลาบเสด็จเยือนสำเร็จและพลิกผันกระแสสงคราม
…ดวงจันทร์สีเงินสว่าง… หรือว่าท่านต้นตระกูลยื่นมือช่วยเหลือเรา? เอ็มลินครุ่นคิดก่อนจะได้ข้อสรุปหนึ่ง
สิ่งนี้สอดคล้องกับการที่ตัวมันถูกเลือกให้เป็นผู้กอบกู้ของตระกูล
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอม เอ็มลินเชื่อว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูง แต่ก็มิได้ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเหมือนสมัยก่อน
เมื่อได้ลิ้มรสการต่อสู้ระดับครึ่งเทพของจริงและมั่นใจว่าตนคือผู้แบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เอ็มลินไม่ได้กำลังภาคภูมิใจ หากแต่หัวใจเต็มไปด้วยความกดดัน
ฟู่ว… ไม่กี่วินาทีถัดมา เอ็มลินเปิดปากพึมพำ
“ข้าคือผู้กอบกู้ของตระกูลผีดูดเลือด”
สีหน้าของมันทวีความเคร่งขรึมขณะกล่าว แต่ก็เจือไว้ด้วยความน่าเกรงขามหลายส่วน
…
ภายในบ้านหลังที่เอ็มลินนัดพบกับชารอนและมาริค
ขณะผีดูดเลือดหนุ่มเห็นสตรีผู้งดงามราวกับตุ๊กตาหยิบวัตถุสองชิ้นออกมา มันได้ยินเธอเปล่งเสียงล่องลอย:
“ตามข้อตกลง พวกเราต้องการแค่ชิ้นเดียว นี่คือที่เหลือ”
ทั้งสองชิ้นประกอบด้วย:
อัญมณีขนาดเท่ากำปั้นที่ควบแน่นจากเลือดข้น มันส่องแสงคล้ายกับพระจันทร์สีแดงขนาดย่อส่วนตลอดเวลา อีกหนึ่งชิ้นคือตุ๊กตาเพศชายที่ดูสง่างาม บริเวณเบ้าตากลวงทั้งสองข้าง
ตะกอนพลังราชาหมอผี… แม่ทัพไร้รูม่านตา… เอ็มลินพยักหน้าขณะเฝ้ามองวัตถุทั้งสองชิ้นลอยมาหาตนราวกับมีชีวิต
เมื่อเหยียดแขนออกไปเตรียมสัมผัส มันได้ยินเสียงชารอนอีกครั้ง
“ตะกอนพลังของราชาหมอผีมีร่องรอยการปนเปื้อนที่น่าประหลาด แม้แต่หอกเจิดจรัสก็มิอาจชะล้าง”
หมายความว่าต้องให้เทวทูตช่วยป่นให้แหลกเพื่อขจัดการกัดกร่อน? เอ็มลินพยักหน้ารับเมื่อเข้าใจสิ่งที่ชารอนต้องการจะสื่อ
“ข้ามีวิธีจัดการ”
ชารอนที่แต่งกายด้วยหมวกอ่อนใบเล็ก ลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับแสดงความเคารพ
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ”
“เช่นกัน” เอ็มลินถอดหมวกคำนับตอบ
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ
ไคลน์ตรวจสอบแก๊สสีดำที่ผุดออกจากร่างวิญญาณพลางส่ายหน้าและถอนหายใจ
เราได้รับคำสาปจากเทพหายนะโดยไม่รู้ตัว… หรืออาจเกิดจากภาพฉายของเทพผู้ถูกล่าม…
ทั้งที่ถูกคั่นด้วยภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์…
หากเปลี่ยนเป็นนักบุญคนอื่นที่มิได้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิด มันคงตายไปโดยที่คิดว่าตัวเองหลบหนีอย่างปลอดภัย…
สำหรับมิสผู้ส่งสาร ต่อให้เธอไม่ถูกคั่นด้วยภาพฉายก็คงไม่เป็นอะไร เพราะรายนั้นคือเทวทูตตัวจริง ไคลน์จึงไม่เป็นกังวล
หลังจากแก๊สสีดำระเหยไปจนหมด ไคลน์รออีกสักพักจนกระทั่งเอ็มลินสังเวยสิ่งของขึ้นมาพร้อมกับไหว้วานให้ป่นตะกอนพลังราชาหมอผี
มลพิษประหลาด… เกิดจากดวงจันทร์บรรพกาลหรือมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย? ไคลน์หยิบพระจันทร์สีแดงขนาดเล็กขึ้นมาตรวจสอบ
ระหว่างนั้นก็ไม่ประมาท เตรียมระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดทุกเมื่อ
หากไม่ใช่เพราะตนมีระดับเทียบเท่าเทวทูตในยามอยู่บนปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์คงไม่กล้ารับของสังเวยจากเอ็มลินโดยตรง แต่จะเลือกป่นตะกอนด้วยการส่งพลังที่เทียบเท่าเทวทูตลำดับ 2 จากระยะไกลแทน
ย้อนกลับไปในอดีต ไคลน์ไม่กล้า ‘ทำนาย’ ถึงที่มาของตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าซึ่งปนเปื้อนออร่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย มีแต่จะรีบหาทางขายออกไปโดยเร็ว
ไคลน์ออกแรงบีบมือขวาหลังจากพิจารณาตะกอนพลังอย่างละเอียด ส่งผลให้ห้วงมิติเหนือสายหมอกเกินการสั่นสะเทือนรุนแรง
พระจันทร์สีแดงขนาดย่อส่วนเผยรอยร้าวก่อนจะแตกกระจายกลายเป็นจุดแสงเล็กๆ จำนวนมาก
ท่ามกลางจุดแสงมากมาย หมอกสีแดงเข้มเกิดการระเหยและกลั่นตัวเป็นหยดเลือด
ละอองแสงสีแดงหลั่งไหลมารวมตัวกันอีกครั้ง ควบแน่นจนกระทั่งกลายเป็นพระจันทร์สีแดงขนาดเล็กดวงใหม่ แต่เมื่อเทียบกับคราวก่อน พระจันทร์ดวงนี้กระจ่างใสและบริสุทธิ์กว่ามาก
ไคลน์เสกมือเทียมขึ้นมาหยิบหยดเลือดข้นและพบว่ามันเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ
ไม่ถึงระดับเทวทูต แต่ก็ไม่ปรกติ… ดูเหมือนว่าจะเป็นพรจากเทพมาร… ไคลน์ตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดระหว่างตนกับหยดเลือดปริศนา จากนั้นก็เสกกระดาษคนขึ้นมาและเตรียมหยดเลือดลงไป
ทันทีที่สัมผัสกระดาษ หยดเลือดซึมเข้าไปด้านในทันที ผ่านไปราวหนึ่งวินาที ส่วนท้องของกระดาษพองออกและเกิดระเบิด
หลังจากท้องของกระดาษคนฉีกขาด กระดาษคนแผ่นใหม่ที่มีออร่าพระจันทร์สีแดงคลานออกจากช่องท้อง และดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพแบบเดียวกับกระดาษคนทุกประการ
พลังแห่งการแพร่พันธุ์… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางสะบัดมือขวา ป่นกระดาษคนเกิดใหม่ให้กลายเป็นผุยผง
หมอกสีเลือดระเหยและควบแน่นกลายเป็นหยดเลือดอีกครั้ง
พลังวิญญาณลดลงเพียงเล็กน้อย… ต้องทำซ้ำไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งจึงจะสลายไปโดยสมบูรณ์… ไคลน์วิเคราะห์สักพักก่อนจะระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดมาผนึกหยดเลือด
จากนั้นก็เงยหน้ามองตุ๊กตาเพศชายบนโต๊ะทองแดงยาว
ตุ๊กตาขนาดเท่าฝ่ามือที่แต่งกายในชุดทางการกำลังอยู่ในท่าหมอบกราบ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
หึหึ… พวกมีสัญญาณชีพคุยด้วยง่ายเสมอ… ไคลน์ขำในลำคอพลางเคลื่อนย้ายหยดเลือดที่ถูกผนึกไปใกล้กับแม่ทัพไร้รู้ม่านตา
แม่ทัพไร้รูม่านตารีบใช้แขนขาดันตัวเองออกไปไกลในท่าคลาน
ผ่านไปสักพัก มันรีบกระแทกหน้าผากลงบนโต๊ะพร้อมกับเปล่งเสียงที่มนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง
“ยอมจำนนแล้วสินะ… ไม่เลว…” ไคลน์ยิ้มพลางออกคำสั่งอย่างเป็นกันเอง “แสดงความสามารถให้ดูหน่อย”
หลังจากสาธิตอยู่สักพัก ไคลน์ได้ทราบว่าแม่ทัพไร้รูม่านตาสามารถสิงร่างเป้าหมายและสร้างอิทธิพลกับวัตถุไร้ชีวิต แถมยังสามารถควบคุมสมบัติวิเศษที่ปราศจากเจ้าของได้เบื้องต้น หรือไม่ก็สมบัติวิเศษที่ยังไม่ถูกถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป
พลังอย่างหลังน่าจะมีประโยชน์ในอนาคต… ไคลน์พยักหน้าและโบกมือสั่งให้มันกระโดดเข้าไปในกล่องที่ตนเสกขึ้น
เมื่อผนึกเรียบร้อย ไคลน์โยนกล่องกับหยดเลือดที่ถูกผนึกไปทางกองขยะในตำแหน่งใกล้เคียงกัน พวกมันจะได้คุ้นเคยกันได้เร็วขึ้น
นั่นก็เพื่อให้ง่ายต่อการเจรจาต่อรอง ‘ผลข้างเคียง’ ของแม่ทัพไร้รูม่านตาในอนาคต
………………………