บทที่ 572.4 เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลมาพบคน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันไปที่ห้องแห่งนั้น ข้าวของเครื่องตกแต่งยังคงเดิม ทัศนียภาพยังคงเดิม สะอาดสะอ้านสบายตา

ไม่มีสิ่งของอะไรให้เก็บวาง เฉินผิงอันนั่งนิ่งๆ อยู่ชั่วครู่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมและตรอกเล็ก มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเดียวดายที่อยู่ใจกลางภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น

ตอนนี้เหลือคนเฝ้าประตูแค่คนเดียว ก็คือนักพรตน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเด็ก แต่กลับมีความอาวุโสสูงอย่างถึงที่สุดคนนั้น เขายังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นั่น เนื่องจากตอนนี้สถานที่แห่งนี้แทบจะไม่มีคนเข้าออก เด็กๆ ของภูเขาห้อยหัวที่มาเล่นสนุกอยู่ที่นี่จึงยิ่งมีมากกว่าเดิม ยังคงเป็นภาพเหตุการณ์เหมือนอย่างในปีนั้น พอมีเด็กเข้ามาใกล้ ‘นักพรตเด็ก’ ก็จะพลันทะยานเมฆทะยานหมอกพลิ้วกายออกห่างไปไกล เด็กบางคนที่ซุกซนหน่อยถึงขั้นจงใจทำเช่นนี้ เล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากนักพรตเด็กพลิ้วกายลงบนพื้นก็วิ่งตะบึงไปหาเขาทางนั้นต่อ นักพรตเด็กคนนั้นก็ไม่ถือสา

เฉินผิงอันเดินอ้อมผ่านยอดเขาเดียวดายไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ตามคำบอกของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่ปีนั้นถ่ายทอดคาถาหลอมวัตถุให้เขายังคงมีความผิดติดตัว ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ไปเฝ้าประตูใหญ่ฝั่งนั้นแทน

หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป นักพรตน้อยที่เอานิ้วแต้มน้ำลายพลิกเปิดหน้าหนังสือก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ บนใบหน้าที่มองดูอ่อนเยาว์นั้นมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์กอดกระบี่นั่งหลับอยู่บนเสาหินข้างประตู

ไม่เหมือนกับผิวกระจกที่เป็นประตูหน้าของยอดเขาเดียวดายที่เหลือแค่นักพรตน้อยคอยจับตาดูผู้คนที่เข้าออกจากภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งสองฝั่งในเวลาเดียวกัน

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่งีบหลับยังคงเฝ้าอยู่แค่ด้านหลัง รับผิดชอบจับตามองทุกคนที่กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังภูเขาห้อยหัวเท่านั้น ส่วนผู้ที่ดูแลอยู่เบื้องหน้าคือนักพรตเฒ่าคนหนึ่งของภูเขาห้อยหัว

บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ รถม้าขับเคลื่อนทอดยาวเป็นสาย ล้วนเป็นขบวนผู้คนที่ทยอยกันข้ามผ่านด่านไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่

ทว่าคนเฝ้าประตูกลับไม่ใช่ผู้เฒ่าที่ใช้หนวดของเจียวหลงมาหลอมเป็นเชือกพันธนาการปีศาจที่มีเพียงเส้นเดียวบนโลกซึ่งเฉินผิงอันคุ้นเคยคนนั้น

เฉินผิงอันไม่ได้ส่งเสียง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ข้างเสาหินอย่างสงบ ฝั่งนี้เงียบสงบกว่ามาก แทบจะไม่มีคนเลย

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ชายฉกรรจ์ที่กอดกระบี่ก็ลืมตาขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ไอ้หนู ข้าว่าเจ้าคงไม่ค่อยชอบแม่หนูหนิงสักเท่าไร ไม่เพียงแต่จากไปทีก็นานหลายปีขนาดนี้ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะรีบร้อนแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สองมือกุมเป็นหมัดเอ่ยว่า “คารวะผู้อาวุโส มาดสง่างามของท่านยังคงเดิม”

ชายฉกรรจ์โบกมือ “ข้ามีข่าวอยู่สองข่าว หนึ่งคือข่าวดี หนึ่งคือข่าวร้าย เจ้าอยากฟังข่าวไหน?”

เฉินผิงอันกล่าว “ฟังข่าวร้ายก่อน”

ชายฉกรรจ์เบ้ปาก “น่าเบื่อจริง ข้าบอกข่าวดีเจ้าก่อนดีกว่า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามใจผู้อาวุโสเลย”

ชายฉกรรจ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาหินที่สูงประมาณหนึ่งตัวคนกว่าๆ มองคนหนุ่มพลางเอ่ยว่า “ข่าวดีก็คือในศึกใหญ่ทั้งสองครั้ง แม่หนูหนิงล้วนโชคดีรอดมาได้ ตอนนี้ขอบเขตก็ไม่ถือว่าต่ำแล้ว อืม ได้ยินมาว่าหน้าตายิ่งงดงามชวนมองขึ้นไปอีก เจ้าชอบแม่หนูหนิงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย แต่แม่หนูหนิงกลับชอบเจ้า นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องประหลาดใหญ่เทียมฟ้า”

เฉินผิงอันเงียบรอฟังคำพูดประโยคถัดไปของอีกฝ่าย

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “ข่าวร้ายก็คือตอนนี้มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ภายนอกและทางส่วนตัวมีคนที่ไม่รักษากฎตายไปมากมาย หากเจ้าไม่มีเส้นสายที่แข็งหน่อยก็ไม่มีทางไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เลย อย่าหวังว่าข้าจะยอมแหกกฎช่วยส่งกระบี่บินส่งข่าวไปให้เจ้าโดยพลการ ไม่มีทางหรอก ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่ได้กินข้าวที่เหลืออยู่แค่ถ้วยเดียวนี้อีกแล้ว (เปรียบเปรยว่าตกงาน/ไม่มีงานทำ) เพราะฉะนั้นเจ้าเข้าไปไม่ได้ คนด้านในก็ช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าจงยืนเบิกตามองดูอยู่ตรงนี้แต่โดยดีเถอะ ดีจะตายไป อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนข้า แล้วเดี๋ยวค่อยให้เจ้าหิ้วเหล้ากับกับแกล้มสองสามจานมาให้ข้า พวกเรานั่งอาบแดดอยู่ด้วยกัน วันเวลาเช่นนี้สมกับเป็นชีวิตของเทพเซียนจริงๆ”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ภูเขาห้อยหัวในตอนนี้ คนที่สามารถเปิดปากพูดเรื่องนี้ได้มียอดฝีมือคนใดบ้าง?”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ยื่นนิ้วชี้ไปทางด้านหลัง “เทียนจวินใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของภูเขาห้อยหัวคนนั้น แน่นอนว่าคำพูดของเขาต้องได้ผล”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าท่านนี้เคยเปิดฉากเข่นฆ่าอยู่กับจั่วโย่วบนมหาสมุทร แม่น้ำพลิกมหาสมุทรตลบไปหลายพันลี้ แค่เขาไม่เล่นงานตนก็ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่เอ่ยอีกว่า “เพื่อนบ้านเก่าที่มีใบหน้าเป็นเด็กผู้นั้นก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไอ้หมอนี่มีนิสัยประหลาด ไม่ใช่พวกคนที่สามารถใช้เหตุผลพูดคุยด้วยได้ นอกจากนี้ก็คือเจ้าคนที่ถือโซ่พันธนาการปีศาจสีทองอร่ามไว้ในมือผู้นั้น จากนั้น…ก็คงมีแค่หาเส้นทางที่ถูกต้อง อีกทั้งยังต้องใช้เงินจ่ายค่าผ่านทางแล้ว ยกตัวอย่างเช่นที่จวนหยวนโหรวมีคนยินดีจ่ายเงินแทนเจ้า นั่นไม่ใช่เรื่องที่เงินร้อนน้อยสามารถแก้ไขได้แล้ว อีกทั้งยังทำลายกฎเกณฑ์ ต้องแบกรับความเสี่ยง บวกกับที่ต้องถูกภูเขาห้อยหัวจดลงบัญชีไว้”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร

ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ใช้หัวคิดในทางที่ผิด พวกกลุ่มพ่อค้าที่มีสิทธิ์เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านั้น ต่อให้รับเงินเจ้าไปแล้ว ปากตอบตกลงว่าจะช่วยส่งข่าวให้เจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีทางทำเรื่องนี้ มีแต่จะทำให้เงินเทพเซียนของเจ้าลอยหายไปกับสายน้ำ ทางฝั่งของเกาะกุ้ยฮวานครมังกรเฒ่าก็หน้าตาไม่ใหญ่มากพอ ไม่มีใครมีคุณสมบัติจะได้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เกาะกุ้ยฮวาเองก็แบกรับผลลัพธ์นี้ไม่ไหว ไม่เพียงแต่จะมีคนตายเยอะมาก คาดว่าแม้แต่เกาะกุ้ยฮวาเองก็ยังต้องถูกภูเขาห้อยหัวโจมตีให้จมลงไปด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อข้ามาถึงภูเขาห้อยหัวแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ยิ้มกล่าว “โอ้โหแหะ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ พูดจาใหญ่โตไม่น้อยเลย”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดด้วยไม่ใช่หรือ ผู้อาวุโสก็คิดเสียว่าขอบเขตเจ็ดกับขอบเขตสี่ของข้าบวกรวมกัน สามารถคิดเป็นขอบเขตสิบเอ็ดได้”

ชายฉกรรจ์จุ๊ปาก “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่หนังหน้านี้ เทียบกับเด็กหนุ่มยากจนเมื่อปีนั้น ก็หนาขึ้นเยอะเลยจริงๆ ทำไม ตลอดหลายปีมานี้ที่ออกเดินทางท่องเที่ยว คงหลอกสตรีไปไม่น้อยเลยกระมัง?”

เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน “ประโยคนี้ผู้อาวุโสพูดส่งเดชไม่ได้จริงๆ นะ!”

ชายฉกรรจ์หัวเราะหึหึ “มีเรื่องนี้อยู่จริงหรือไม่ ในใจเจ้าย่อมรู้ดี”

เฉินผิงอันบิดข้อมือ เอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ชายฉกรรจ์กอดกระบี่เตรียมจะพูดเสริมอีก ไม่ก็คิดจะแย่งชิงเอามาเสียเลย คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวผู้นั้นจะยิ้มบางๆ แล้วเก็บกาเหล้ากลับไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบไม่ทันยกมือป้องหู

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ลูบคลำปลายคาง “เฉินผิงอัน แบบนี้ทำร้ายความรู้สึกกันมากเลยนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสยืนยันมาสักคำแล้ว”

ชายฉกรรจ์กวาดตามองไปรอบด้าน พูดเสียงเบาว่า “เจ้าไปเดินเล่นรอบๆ ดูก่อน ข้าจะลองคิดดูว่าจะมีวิธีหรือไม่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เข้าใจความนัยของอีกฝ่ายได้จึงหมุนตัวเดินจากไปทันที

ชายฉกรรจ์ร้อนใจขึ้นมาทันควัน ตะโกนเรียก “เจ้าเด็กนี่ เจ้าอยากให้ม้าวิ่ง แต่กลับไม่ยอมเอาหญ้าให้ม้ากินอย่างนั้นหรือ? จะดีจะชั่วก็โยนเหล้ากาหนึ่งมาให้ดับกระหายก่อนสิ”

เฉินผิงอันหันหลังให้ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ โบกมือเป็นการบอกลา

เฉินผิงอันไปที่เรือนหลิงจือมารอบหนึ่ง ไม่พูดไม่จาก็ซื้อแผ่นหยกสีขาวที่ถูกตาตั้งแต่แรกเห็นเมื่อปีนั้นทันที บนแผ่นหยกไม่มีตัวอักษรใดๆ สลักเอาไว้ เพียงแต่เพราะวัสดุของแผ่นหยกล้ำค่าเกินไปถึงได้ตั้งราคาสูงเทียมฟ้า เฉินผิงอันพบว่ามันยังไม่ถูกคนซื้อไป รอยยิ้มก็ยิ่งคลี่กว้าง เรือนหลิงจือไม่มีการลดราคา เฉินผิงอันจึงควักเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญออกมาจ่าย แล้วเก็บมาอย่างระมัดระวัง หลังจากออกมาจากเรือนหลิงจือแล้วก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางนภา อารมณ์ที่ไม่ดีเพราะยังไม่สามารถไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ชั่วคราวกลับดีขึ้นหลายส่วน

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่หอจิ้งเจี้ยนมารอบหนึ่ง แล้วก็ทำเหมือนคนต่างถิ่นที่มาเยือนที่นี่ครั้งแรก นั่นคือเดินเนิบช้า ไล่ดูไปทีละชั้น สุดท้ายหยุดเท้ายืนนิ่งอยู่หน้าภาพเหมือนทั้งสองนั้นอยู่นาน จากนั้นก็จากมาเงียบๆ ด้วยสีหน้าปกติ

กลับมาถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นป้ายหยกที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือแผ่นนั้นออกมา จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกธรรมดาที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เอามาฝึกมือ แล้วอิงตามลายมือที่แกะสลักลงบนหยกแผ่นนี้ สูดลมหายใจเข้าลึก เริ่มทำสมาธิ ใช้กระบี่บินสืออู่แทนมีดแกะสลัก สลักตัวอักษรเบาๆ ลงบนแผ่นหยกขาวราคายี่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืชที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนั้น

ยามดึกผู้คนเงียบสงัด

เฉินผิงอันเป่าลมใส่แผ่นหยกที่ทั้งหน้าตรงและด้านหลังต่างก็สลักตัวอักษรเอาไว้ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วเช็ดเบาๆ ก่อนเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อช้าๆ

เฉินผิงอันออกมาจากโรงเตี๊ยม ไปหาชายฉกรรจ์กอดกระบี่คนนั้น

เซียนกระบี่ท่านนี้ยืนอยู่ข้างเสาหิน กอดกระบี่ยืนนิ่ง ยิ้มถามว่า “มีข่าวดีกับข่าวร้ายอีกแล้ว อยากฟังข่าวไหนก่อน?”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไรที่เกินความจำเป็น เอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาแปดกาที่เตรียมไว้ในวัตถุจื่อชื่อเรียบร้อยแล้วออกมาจัดวางไว้บนเสาหินทีละกาอย่างเป็นระเบียบ ล้วนเป็นของที่ฟ่านเอ้อร์เอามามอบให้ตอนที่ขึ้นเรือมาก่อนหน้านี้

ชายฉกรรจ์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ข่าวดีก็คือข้าคิดว่าจะส่งเจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนข่าวร้ายน่ะหรือ นี่ก็ออกจะพูดยากสักหน่อย เพราะข้าคนนี้เป็นคนหน้าบาง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ถ่วงรั้งการไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของข้า ก็เชิญผู้อาวุโสพูดมาได้เลย!”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ แล้วพลันมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที กระชากไหล่อีกฝ่ายแล้วโยนเขาเข้าไปทางประตูใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ข่าวร้ายก็คือเจ้าเอาเหล้าดีๆ มามอบให้ข้าอย่างเสียเปล่าแล้ว เจ้าโง่หรือไง มาถึงภูเขาห้อยหัวแล้วจะยังยอมให้กฎเกณฑ์รุงรังพวกนั้นมาขวางอยู่นอกประตูได้หรือ? ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า หากเจ้ายังไม่มาที่นี่ ข้าก็คงไปหาเจ้าที่โรงเตี๊ยม ขอร้องให้เจ้ารีบไสหัวไปเสียที…”

ร่างของเฉินผิงอันหมุนคว้าง หันหน้าเข้าหาชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่นอกประตูใหญ่ ริมฝีปากขยับเบาๆ ก่อนที่ร่างจะผลุบหายวูบเข้าไปในผิวกระจก

ชายฉกรรจ์ยื่นมือมาบังคับกาเหล้ากาหนึ่งแล้วดื่มอึกใหญ่อย่างสำราญใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นายท่านของเจ้าก็ยังคงเป็นนายท่านของเจ้าอยู่ดี”

……

ข้างประตูใหญ่ฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่

นักพรตหญิงอายุมากคนหนึ่งของเรือนซือเตาลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสะพายกระบี่ที่ดีขนาดนี้ หรือจะเป็นลูกหลานคนรวยที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? อืม ขอบเขตไม่สูง ไม่เสียแรงที่เป็นเด็กรุ่นหลังที่เดินออกมาจากตระกูลใหญ่ รากฐานไม่เลวเลยจริงๆ ผู้ฝึกตนเซียนดินของใต้หล้าไพศาลทั่วไปล้วนไม่มีใครที่ลงพื้นได้อย่างมั่นคงเช่นเจ้า เมื่อก่อนเคยมาที่นี่แล้วอย่างนั้นรึ?”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามใดๆ แต่ย้อนถามว่า “ผู้อาวุโสคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของหลิ่วป๋อฉีหรือ?”

นักพรตหญิงคนนั้นพยักหน้ารับ “เจ้ารู้จักลูกศิษย์ที่เสียสติไปแต่งงานของข้าคนนั้นด้วยหรือ?”

จากนั้นหญิงชราก็กล่าวเหมือนคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง “เจ้าก็คือคนที่ชื่อเฉินผิงอันของแจกันสมบัติทวีปนั่นกระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสรู้จักข้าหรือ?”

รอยยิ้มของนางมีเลศนัย “คำถามนี้เกินความจำเป็นแล้ว”

เซียนกระบี่ที่เฝ้าประตูอยู่อีกฝั่งหนึ่งแค่นเสียงเย็น “แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังไม่ใช่ อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่กลับยังเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง ข้าว่าความเสียสติของหลิ่วป๋อฉียังสู้ความเสียสติของแม่หนูหนิงไม่ได้”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ ตลอดเวลา

เรื่องอื่นๆ เฉินผิงอันย่อมเคารพเหล่าผู้อาวุโสที่ต่างคนต่างมีเรื่องราวด้วยความจริงใจ

แต่กับเรื่องบางเรื่อง

มารดามันเถอะ พวกเจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้

……

ในนคร

บนถนนใหญ่เส้นหนึ่ง เฉินผิงอันเดินมาถึงหน้าประตูของเรือนขนาดใหญ่หลังหนึ่งแล้วเคาะประตูเบาๆ

จงใจไม่หันไปมองศีรษะที่เรียงกันอยู่บนหัวกำแพงเหล่านั้น

อันที่จริงล้วนถือว่าเป็นคนคุ้นเคย เพียงแต่ว่าปีนั้นไม่ค่อยได้พูดคุยกันก็เท่านั้น

ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ

นางเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใครน่ะ?”

เฉินผิงอันโถมตัวเข้ากอดนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาล มาพบหนิงเหยา”