ดวงตาอันบริสุทธิ์อย่างไร้มลทินคู่นั้นมองไปที่มู่เฉียนซี พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพูดจะทำสิ่งใดก็ล้วนแต่ถูกเขาให้อภัยไปเสียทุกอย่าง

ทว่า มู่เฉียนซีกลับรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองมาที่นางนั้นราวกับมองนางได้อย่างทะลุปรุโปร่งทั้งภายในและภายนอกก็มิปาน

การแปลงกายของนาง เขาดูออกได้ง่ายเพียงนั้นเลยเหรอ?

อินรั่วเฉินเอ่ยปากกล่าวว่า “ครั้งนี้ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาฝึกฝนประสบการณ์ในแดนเหนือเพื่อฝ่ากำแพงในการฝึกฝน ในระหว่างที่ยังทะลวงพลังวิญญาณไม่ได้นี้ อยากจะขออาศัยอยู่ที่ตำหนักเป่ยหานสักช่วงหนึ่ง ไม่ทราบว่าหัวหน้าตำหนักเป่ยหานจะตอบตกลงคำขอที่ไร้มารยาทนี้ของข้าหรือไม่?”

ด้วยสถานะของอินรั่วเฉินจะไปไหนมาไหนก็ได้

แต่กลับเลือกที่จะมาตำหนักเป่ยหาน!

ตอนนี้กู้ไป๋อีคิดเพียงแค่อยากจะโจมตีเจ้านี้ออกไปให้พ้นจริง ๆ ในตอนนั้นที่อินรั่วเฉินพัวพันกับซีเอ๋อร์เพื่อแย่งชิงวิญญาณกระบี่ มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!

มีความเป็นไปได้มากว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างมา

คนผู้นี้อันตรายมาก ตั้งแต่ที่ได้เจอเขาเป็นครั้งแรกในแดนตะวันออก กู้ไป๋อีก็รู้แล้ว

มู่เฉียนซีดึงกู้ไป๋อีเอาไว้ ในเมื่อเขาต้องการจะอาศัยอยู่ในตำหนักเป่ยหาน ก็ให้เขาอยู่!

อยู่ในสายตาของพวกเขา อยู่ในอาณาเขตของพวกเขาก็ยังดีกว่าให้เขาไปอยู่ในที่ลับที่พวกเขาไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย!

ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกตื่นเต้นมาก เขากลัวว่าท่านหัวหน้าตำหนักของพวกเขาจะกล่าวปฏิเสธ

จะทำสงครามกับแคว้นเทพฟ้านอินไม่ได้เด็ดขาด เพราะกองกำลังของแคว้นเทพฟ้านอินนั้นต้องเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดแน่นอน!

ถึงแม้ว่าตำหนักเป่ยหานจะยิ่งใหญ่ แต่ยอดฝีมือในแดนเหนือก็ใช่ว่าจะรวมตัวอยู่ในตำหนักเป่ยหานที่เดียว แต่สำหรับแคว้นเทพฟ้านอินนั้นไม่เหมือนกัน!

ทุกคนในแดนตะวันตกล้วนแต่นับถือพุทธศาสนาทั้งสิ้น พวกเขาเชื่อฟังและยอมถวายชีวิตให้แก่โอรสศักดิ์สิทธิ์และแคว้นเทพฟ้านอิน

หากล่วงเกิน เกรงว่าจะเกิดปัญหาไม่น้อย!

กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตกลง!”

เมื่อกู้ไป๋อีกล่าวเช่นนี้ออกมา ผู้อาวุโสสูงสุดก็โล่งใจและสบายใจขึ้น ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวว่า “ข้าจะเตรียมตำหนักที่สะดวกสบายให้แก่โอรสศักดิ์สิทธิ์ ต่อไปหลานสาวของข้าและศิษย์ของข้าเหล่านี้จะติดตามข้างกายโอรสศักดิ์สิทธิ์ หากโอรสศักดิ์สิทธิ์ต้องการสิ่งใดก็บอกได้เลย”

ผู้อาวุโสสูงสุดผลักอวี้ปิงชิงกับนายน้อยออกไป หากสามารถดึงโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้มาได้ มันจะมีประโยชน์กับเขามาก

ดวงตาคู่นั้นของอวี้ปิงชิงที่เย็นชามาโดยตลอด เมื่อเห็นอินรั่วเฉินก็อดที่จะทึ่งไม่ได้

ท่านหัวหน้าตำหนักเปรียบเสมือนบัวหิมะดอกหนึ่ง ทำให้คนอื่นมองเขาได้เพียงไกล ๆ เท่านั้น ไม่อาจเข้าใกล้ได้

แต่อินรั่วเฉินผู้นี้เปรียบเสมือนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่นิ่งสงบ และดูอบอุ่น บางที…

แม้ว่าใจของนางจะผูกติดอยู่กับท่านหัวหน้าตำหนัก แต่นางก็รู้ดีว่าหากใกล้ชิดกับคนผู้นี้นางคงจะได้ประโยชน์ไม่น้อย และหากได้รับความโปรดปรานจากเขา นางจะต้องมีโอกาสเหยียบมู่หรงเฉียนเยี่ยได้แน่นอน

ครั้นแล้วแววตาของนางพลันอ่อนโยนขึ้น และมองอินรั่วเฉินด้วยสายตารอคอย

อินรั่วเฉินกล่าว “ไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก ให้ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยดูแลข้าก็เพียงพอแล้ว”

ผู้อาวุโสสูงสุดกับอวี้ปิงชิงหน้าแข็งทื่อไปทันที!

มู่หรงเฉียนเยี่ย เหตุใดโอรสอินรั่วเฉินถึงได้เลือกมู่หรงเฉียนเยี่ย?

เห็น ๆ กันอยู่ว่าเมื่อครู่เขาเสียมารยาทและไร้เหตุผลต่อเขามากเพียงใด

แสงสลัววาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี เจ้าหมอนี่มาร้ายจริง ๆ ด้วย!

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์เลือกให้ข้าเป็นผู้ดูแล เช่นนั้นข้าก็จะดูแลเป็นอย่างดีเลยล่ะ”

ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีสถานะที่สูงส่ง แต่ตอนนี้สถานะของนางก็เป็นถึงประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานเชียวนะ!

อยู่ในอาณาเขตของตัวเองเช่นนี้ ใครกันแน่ที่จะต้องกลัว! และหากว่าทำให้เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นมา จะเปิดศึกต่อสู้รึ ก็มาสิ!

ไม่ต้องให้เสี่ยวไป๋ลงแรง สู้ก็สู้ สู้กันให้พังกันไปข้างหนึ่งก็ยิ่งดี

ความว่า ‘ดูแล’ สองคำนั้นมู่เฉียนซีกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ย้ำอย่างหนักแน่น ผู้ใดที่หูไม่หนวกก็จะได้ยินกันอย่างชัดเจน

ผู้อาวุโสสูงสุดถึงกับเหงื่อตกแล้ว เขารู้สึกได้ว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะต้องก่อเรื่องวุ่นวายอีกเป็นแน่

แต่ดูเหมือนว่าอินรั่วเฉินจะไม่รับรู้ถึงความหมายนั้นของมู่เฉียนซี เขายังคงยิ้มพลางกล่าวด้วยความอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นก็รบกวนประมุขน้อยเฉียนเยี่ยแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มีเรื่องอะไรก็บอกข้าได้ ข้าจะกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อแล้ว”

เมื่อมู่เฉียนซีไป กู้ไป๋อีก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก

ส่วนผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้ให้คนไปจัดเตรียมตำหนักให้อินรั่วเฉิน

ในขณะที่อวี้ปิงชิงและพวกต้องการเข้าใกล้ไปตีสนิทกับอินรั่วเฉิน แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่ารอบตัวอินรั่วเฉินจะมีลำแสงสีทองอ่อนปรากฏขึ้นมาชั้นหนึ่งและกั้นทุกคนให้อยู่ห่างเขาถึงสามเมตร

ในฐานะผู้ที่เปรียบเสมือนเทพแห่งตำหนักเป่ยหานอย่างกู้ไป๋อีนั้นเย็นชาจนไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้ และอินรั่วเฉิน ในฐานะที่เป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอิน คิดเหรอว่าจะยอมให้คนอื่นเข้าใกล้เขาได้ง่าย ๆ

เมื่อกลับมาถึงตำหนักของตัวเอง กู้ไป๋อีก็มองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความกังวลใจ

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ เรื่องที่อินรั่วเฉินแย่งชิงมังกรเพลิงกับข้าในคราก่อน ข้าไม่ลืมหรอก! เขาเป็นคนรนหาที่เอง ใครกันแน่ที่ต้องกลัว”

“เจ้าหมอนั่นข้ามองเขาไม่ออกจริง ๆ เขาอันตรายมาก”

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ แดนเหนือเป็นถิ่นของเจ้านะ อันตราย แต่ก็ยังมีเจ้าไม่ใช่เหรอ?”

นางกล่าวต่ออีกว่า “อีกอย่าง อาถิงก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าไม่กลัวหรอก! ข้าจะเล่นเกมกับเขาสักตั้ง”

เขาชอบประโยคแรกของนางจริง ๆ แต่หากไม่มีประโยคหลังมันก็จะดีกว่านี้

ชายหนุ่มผู้นั้นกับนางมีพันธสัญญาต่อกัน เป็นส่วนหนึ่งของพลังของนาง นอกจากพึ่งพาอาศัยกันแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น

แต่เมื่อนึกถึงการยั่วยุของชายผู้นั้น พันธสัญญาและความสนิทสนมกันของนางกับชายผู้นั้น มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย

กู้ไป๋อีกล่าว “ซีเอ๋อร์ต้องระวังตัวให้มาก”

มู่เฉียนซีกล่าว “อืม!”

จู่ ๆ อินรั่วเฉินก็มาถึงที่นี่ แถมยังเลือกนางให้เป็นคนดูแลเขาอีก มู่เฉียนซีคิดว่ามีความเป็นไปได้ถึงเจ็ดในสิบส่วนว่าเขามองนางออกแล้ว ว่านางปลอมตัวอยู่

แต่มองออกแล้วจะยังไงล่ะ?

มู่เฉียนซีกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะต้อนรับแขกพิเศษผู้นี้เช่นไรดี!

ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็รู้ดีว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยมีแผนร้ายอยู่ เขาจึงร้อนรนใจจนกระทั่งมาหากู้ไป๋อี ให้กู้ไป๋อีดูแลมู่หรงเฉียนเยี่ยดี ๆ อย่าให้ไปล่วงเกินโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินได้

แต่สุดท้ายกู้ไป๋อีกลับกล่าวว่า “พวกเจ้าชักจะก้าวก่ายมากเกินไปแล้วนะ!”

ผู้อาวุโสและพวกได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา อะไรคือก้าวก่ายมากเกินไป พวกเขาก็แค่ทำไปเพื่อตำหนักเป่ยหานทั้งสิ้น!

สุดท้ายพวกเขาก็กลับไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทำได้เพียงแค่ภาวนาว่าอย่าให้ประมุขน้อยของพวกเขาก่อเรื่องวุ่นวายเลย

วันต่อมา มู่เฉียนซีไปหาอินรั่วเฉินด้วยท่าทางสดชื่น

ผู้อาวุโสสูงสุดจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมาก ตำหนักหนึ่งถูกจัดแต่งเหมือนกับอารามก็มิปาน

บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักหอมตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอาราม ภายในกลิ่นอายของอารามนี้มีพลังวิญญาณอยู่ทำให้สูดดมเข้าไปแล้วรู้สึกสบายมาก!

มู่เฉียนซีเห็นแผ่นหลังอันน่าทึ่งนั้น นิ่งสงบราวกับสามารถชะล้างมลทินทุกอย่างไปได้

เส้นผมสีดำขลับแผ่สยายลงบนพื้น สองมือยกพนมขึ้นไว้และสวดพระคัมภีร์ต่อหน้าพระพุทธรูป

นิ้วมืออันเรียวยาวคู่นั้นสมบูรณ์แบบราวกับประติมากรรมที่แกะสลักออกมาอย่างประณีต ริมฝีปากนั้นเปิดขึ้น พ่นบทสวดออกมาอย่างช้า ๆ ดุจดั่งเซียนบนสวรรค์ทั้งเก้าภพก็มิปาน

ภาพในตอนนี้ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกว่านางปราศจากอันตรายทั้งปวง พระอยู่ในใจ ไร้ซึ่งอันตราย ไร้ซึ่งการโจมตีใด ๆ ทำให้อยากเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว

มู่เฉียนซีพึมพำในใจว่า นิสัยการแสดงภายนอกนี้ช่างหลอกลวงเกินไปแล้วจริง ๆ

หลังจากสวดพระคัมภีร์เสร็จไปท่อนหนึ่ง อินรั่วเฉินก็ลืมตาขึ้น และหันมองไปที่มู่เฉียนซี

ดวงตาคู่นั้นสดใสบริสุทธิ์ราวกับเด็กทารกแรกเกิดก็มิปาน

เมื่อก่อนมู่เฉียนซีคิดว่ามนุษย์ต่อให้จอมปลอมมากเพียงใด สายตาก็ต้องเผยพิรุธออกมาแน่นอน ทว่า อินรั่วเฉินผู้นี้กลับไม่มีพิรุธใด ๆ เลย

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน เจ้าบอกว่าจะมาฝึกฝนหาประสบการณ์ไม่ใช่เหรอ อยู่ในตำหนักเป่ยหานไม่อาจฝึกฝนได้ เช่นนั้นข้าพาเจ้าออกไปดูทิวทัศน์ของเมืองเป่ยหานดีหรือไม่?”