บทที่ 1092 พ่ายแพ้จนเดือดดาล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,092 พ่ายแพ้จนเดือดดาล

แต่ปรากฏว่าเป็นหลินเป่ยเฉินเองที่กังวลมากเกินไป

“ฝีมือกระบี่ของท่านสูงส่ง ข้าพเจ้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้”

ติงซานฉือเพียงลุกขึ้นมาพูดประโยคนี้ ก่อนจะส่ายศีรษะและนั่งลงโดยไม่ลังเลเช่นกัน “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอยอมแพ้”

คำพูดของชายชราล้วนทำให้ทุกผู้คนประหลาดใจ

หลี่ไจ่หลิน ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของสำนักกระบี่กังวานยังไม่ทันได้ตั้งตัว

อย่าบอกนะว่า…

เขาชนะแล้ว?

หลี่ไจ่หลินมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ

ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ติงซานฉือคล้ายกับต้องการจะลากตัวออกมาต่อสู้กันอย่างแท้จริง

บนแท่นหินซึ่งเป็นที่นั่งของสำนักต่าง ๆ รอบลานประลองพลันกึกก้องกังวานด้วยเสียงโห่ร้อง

นี่คือการต่อสู้คู่แรกของงานประลองกระบี่ประจำปีนี้

ทุกคนคาดหวังที่จะได้เห็นการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้บรรดาผู้รับชมหายใจไม่ทั่วท้อง

แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?

ยังไม่ทันได้สู้กันก็ตัดสินผลแพ้ชนะแล้วหรือ?

หลินเป่ยเฉินเองก็มึนงงไม่แพ้ทุกคน

อาจารย์ติง ถ้ารู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ แล้วจะรีบลุกขึ้นมาทำไมล่ะขอรับ…

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิมว่าเหตุไฉนตัวเจ้าเล่ห์อย่างติงซานฉือถึงสามารถกุมหัวใจขององค์หญิงแห่งชาวทะเล อีกทั้งยังเป็นรักที่ไม่มีวันเสื่อมคลายของลู่กวนไห่ได้อีกด้วย

“น่าอับอายขายหน้าสิ้นดี”

ท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนฉู่อวิ๋นซุนหันกลับมามองหน้าติงซานฉือด้วยแววตาเหยียดหยาม

นี่คือพฤติกรรมที่ทำให้เมืองไป๋หยุนเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง

ติงซานฉือเพียงยกมือกอดกระบี่ของตนเองและหลับตาลงไม่สนใจสิ่งใดอีก ดูชายชราในขณะนี้ แทบไม่ต่างจากนักบวชที่กำลังนั่งจำศีล

ฉู่อวิ๋นซุนพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นยืน

เขาอยากจะออกไปต่อสู้

“การประลองรอบนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านเสี่ยวหรานดีกว่า”

ลู่กวนไห่พูดขึ้นมาแผ่วเบา

เสี่ยวหรานผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า

คู่ต่อสู้ของเขาคือหลี่ไจ่หลินผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของสำนักกระบี่กังวาน

กติกาของการประลองในครั้งนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่ตัวแทนหนึ่งคนจะขึ้นเวทีเผชิญหน้าคู่ต่อสู้แค่คนเดียวเท่านั้น

แต่ตัวแทนที่อยู่บนเวทีเมื่อชนะคู่ต่อสู้หนึ่งคนแล้ว ก็สามารถยืนหยัดเพื่อเผชิญหน้าคู่ต่อสู้คนต่อไปได้ทันที

และเมื่อสมาชิกของกลุ่มคู่ต่อสู้พ่ายแพ้หมดครบทั้งห้าคนเมื่อไหร่ ก็จะเป็นอันตัดสินผลแพ้ชนะกันเมื่อนั้น

“ข้าพเจ้ามีนามว่าเสี่ยวหราน เป็นตัวแทนจากเมืองไป๋หยุน”

เจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วประสานมือค้อมศีรษะคำนับคู่ต่อสู้บนสังเวียนประลองด้วยความนอบน้อม เมื่อเทียบภาพลักษณ์ระหว่างเขากับติงซานฉือแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว “รบกวนผู้อาวุโสหลี่ได้โปรดชี้แนะด้วย”

“เชิญ”

หลี่ไจ่หลินยกมือขวาและมือซ้ายไขว้สลับกัน ก่อนจะกางนิ้วทั้งสิบขยับเคลื่อนไหว แล้วกระบี่สิบเล่มก็แผ่ออกราวกับเป็นแพนหางนกยูงอันสวยงามและอันตรายจากกลางอากาศ

“ระวัง”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างของหลี่ไจ่หลินก็ขยับพร้อมกัน

วูบ! วูบ!

กระบี่สองเล่มพุ่งแหวกอากาศออกมาข้างหน้า

รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด

เกิดเป็นลำแสงที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า

ราวกับพวกมันต้องการจะแยกผืนฟ้าออกจากกัน

ดวงตาของเสี่ยวหรานเป็นประกายวาวโรจน์ มือของเขาจับอยู่ที่ด้ามกระบี่

ชิ้ง!

กระบี่ถูกชักออกจากฝักแล้ว

เคร้ง!

ฝักกระบี่ลอยขึ้นไปปะทะเข้ากับหนึ่งในกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้ามา

ในเวลาเดียวกันนั้น กระบี่ในมือของเสี่ยวหรานก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ตัวคนและตัวกระบี่หลอมรวมเป็นหนึ่งพุ่งออกไปในอากาศ

นี่คือกระบวนท่ากระบี่กรีดเมฆา ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนท่าลับสุดยอดของเมืองไป๋หยุน…

รังสีกระบี่พุ่งกรีดกลุ่มเมฆาบนท้องฟ้า

นี่แสดงให้เห็นว่าเสี่ยวหรานมีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งจริง ๆ

ตู้ม!

ทันทีที่ฝักกระบี่ปะทะเข้ากับคมกระบี่ การระเบิดก็เกิดขึ้นโดยทันที

แต่กระบี่ยังคงอยู่ในอากาศ

และแทบจะเป็นในเวลาเดียวกันนั้น เสี่ยวหรานก็ต้องปะทะเข้ากับคมกระบี่อีกเล่มหนึ่ง

ปลายกระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันอย่างหนักหน่วง

เคร้ง!

กระบี่ทั้งสองเล่มของหลี่ไจ่หลินบินฉวัดเฉวียนพัวพันตลอดเวลา ไม่เปิดโอกาสให้เสี่ยวหรานได้พักหายใจ

ชายวัยกลางคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

เขาโคจรพลังลมปราณ เส้นผมปลิวไสว คิ้วสีขาวขยับขึ้นลงตลอดเวลา ยิ่งหลอมรวมร่างกายมนุษย์เข้ากับกระบี่ในมืออย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น

กระบี่ในมือเปรียบเสมือนปลายกระบี่

ร่างกายของเขาเปรียบเสมือนตัวกระบี่

นี่คือการโจมตีอันรุนแรงที่สุดเท่าที่เสี่ยวหรานจะกระทำได้ในขณะนี้

สีหน้าของหลินเป่ยเฉินที่กำลังรับชมอยู่บนที่นั่งของตนเองเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย

ว่ากันตามข้อมูลก่อนหน้านี้ เมืองไป๋หยุนมียอดฝีมือขั้นเซียนเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือท่านเจ้าเมืองที่หายตัวไป

เจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วคือสมุนรับใช้ท่านเจ้าเมืองคนใหม่อย่างฉู่อวิ๋นซุน ตลอดเวลาที่ผ่านมามีเพียงทำงานรับใช้ฉู่อวิ๋นซุนผู้เดียวเท่านั้น ไม่สนใจกิจการอื่นใดทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ ภาพลักษณ์ของเสี่ยวหรานในกลุ่มลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนด้วยกันจึงต่ำต้อยเป็นอย่างยิ่ง

หลินเป่ยเฉินจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวหรานจะมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้

ความแข็งแกร่งของเสี่ยวหราน เทียบได้กับผู้มีพลังขั้นเซียน

หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วผู้นี้ใหม่เสียแล้ว

การที่ศิษย์เมืองไป๋หยุนจะมีระดับพลังสูงส่งถึงขั้นนี้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอย่างยิ่ง

แต่น่าเสียดายที่ยังแข็งแกร่งไม่พอ

เพราะว่าหลี่ไจ่หลินแห่งสำนักกระบี่กังวานเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสาม

ช่องว่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายยังแตกต่างกันมากเกินไป

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

สะเก็ดไฟสาดกระจายบนสังเวียนประลองกลางยอดเขาสูงเสียดฟ้า

และเมื่อหลี่ไจ่หลินขยับนิ้วก้อย นิ้วนางและนิ้วกลางของมือทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน กระบี่อีกหกเล่มจากแพกระบี่ก็พุ่งตรงออกไปโจมตีใส่เสี่ยวหราน ผู้ที่ในขณะนี้พลังลมปราณในร่างกายเหือดหายใกล้หมดเต็มที…

“ฟู่!”

เสี่ยวหรานกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ จึงต้องรีบทิ้งตัวกลับลงมายืนบนพื้นดินด้วยความร้อนรน

นอกจากกระบี่ในมือของเขาจะแตกหักแล้ว แรงกระแทกจากพลังของฝ่ายตรงข้ามยังทำให้มวลพลังลมปราณในร่างกายชายวัยกลางคนสลายหายไปสิ้น นอกจากนั้น มันยังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายในอีกด้วย

กระบี่คู่ใจที่เคยถืออยู่ในมือร่วงหลุดลงไปอยู่บนพื้นดิน เสี่ยวหรานหอบหายใจ จากนั้นจึงกล้ำกลืนโลหิตซึ่งกำลังจะตีขึ้นมาที่ลำคอกลับลงไปเพื่อพูดว่า “ข้าพเจ้ามีฝีมือต่ำต้อยมากเกินไป… พ่ายแพ้แล้ว ท่านลงมือเถอะ”

เพียงหลี่ไจ่หลินขยับนิ้วเล็กน้อย กระบี่ทั้งหมดก็ลอยกลับไปประจำการอยู่ที่เดิม กระบี่สิบเล่มเคลื่อนไหวเป็นหนึ่ง ได้ยินเสียงกระบี่สอดคืนฝักฉึบฉับดังขึ้นทางด้านหลัง แล้วหลี่ไจ่หลินก็กล่าวออกมาว่า “ท่านคือคู่ต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งควรค่าแก่การเคารพ นับเป็นมือกระบี่ที่แท้จริง น่าเสียดายที่ถือกำเนิดเกิดในเมืองไป๋หยุน ต่อให้เป็นมังกรก็ไม่อาจสยายปีกโบยบิน… ท่านกลับไปเถอะ ข้าไม่เอาชีวิตท่านหรอก”

ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของสำนักกระบี่กังวานจะเป็นบุคคลที่มีจิตใจดีทีเดียว

เสี่ยวหรานเริ่มกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง กล่าวว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากแล้ว”

เขาก้มหยิบกระบี่ของตนเองและพลิ้วกายกลับไปยังที่นั่ง

ฉู่อวิ๋นซุนผู้เป็นเจ้าเมืองไป๋หยุนมีสีหน้าหงุดหงิดใจนัก

เป็นฝ่ายพวกเขาพ่ายแพ้อีกแล้ว

ลู่กวนไห่ลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะกล่าวว่า “ทำให้เจ้าสำนักเสี่ยวหรานต้องลำบากแล้ว”

“ไม่กล้าลำบาก ข้าน้อยพ่ายแพ้ รู้สึกอับอายตนเองยิ่ง”

เสี่ยวหรานก้มศีรษะประสานมือคำนับด้วยความเศร้า จากนั้นจึงนั่งก้มหน้าก้มตาโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง

ลู่กวนไห่คิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็หันมองไปที่ผู้อาวุโสเว่ยเหอ ซึ่งว่าจ้างมาจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยนเป็นกรณีพิเศษ นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง…

แต่แล้วฉู่อวิ๋นซุนกลับตัดบทว่า “ประเสริฐ เท่านี้ยังอับอายกันไม่พอหรืออย่างไร? กลุ่มของพวกเรามีแต่เศษสวะทั้งนั้น นี่ก็เป็นการประลองครั้งที่สามแล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไปเอง มิเช่นนั้น ภาพลักษณ์ของเมืองไป๋หยุนคงป่นปี้เสียหมดตั้งแต่รอบแรก!”

พูดจบ ร่างกายก็พลิ้วไหวราวสายลม ไปปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าหลี่ไจ่หลินบนสังเวียนประลองในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อมา

ลู่กวนไห่ต้องประสานมือคำนับขออภัยต่อผู้อาวุโสเว่ยเหออย่างเร่งด่วน

ความขุ่นเคืองใจบนใบหน้าของชายชราจึงได้สลายหายไป

บนสังเวียนประลอง

“เชิญโจมตีได้”

ฉู่อวิ๋นซุนหมุนวนฝ่ามือในอากาศ แล้วลำแสงสีดำแดงที่ไหลเวียนออกมาจากร่างกายของเขา ก็รวมตัวเป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในมือ ดวงตาของชายฉกรรจ์วาวโรจน์ เส้นผมปลิวไสว สีหน้าบ่งบอกถึงความดุร้ายกระหายเลือด

พลังลมปราณมหาศาลแผ่ออกมาจากศูนย์กลางร่างกายของฉู่อวิ๋นซุน

“ข้าจะให้โอกาสท่านได้โจมตีก่อน”

ฉู่อวิ๋นซุนพูดด้วยความทะนงตน “ดังนั้น ข้าจะขอแนะนำให้ท่านใช้กระบี่ทั้งสิบเล่มนั้นโจมตีออกมาพร้อมกันเลยดีกว่า ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลี่สิบกระบี่จะมีความน่ากลัวสมคำเล่าลือหรือไม่ เพราะมิเช่นนั้น หากข้าได้เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน เกรงว่าในชีวิตนี้ ท่านคงไม่มีโอกาสได้จับกระบี่อีกแล้ว ฮ่า ๆๆ”

ดวงตาของหลี่ไจ่หลินเป็นประกายวาวโรจน์

นับว่าชายหนุ่มผู้นี้ยโสโอหังเกินไปแล้วจริง ๆ!