บทที่ 1551 รางวัล

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

พร้อมกับความตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน

ภัยพิบัติที่กลืนกินทวีปเป่ยชางก็สลายหายไป ความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนฏลก ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกพักใหญ่

หลังจากนั้นอีกสองวัน มู่เฉินก็นำลั่วหลี หลินจิ้งและเซียวเซียวตระเวนไปทั่วมหาพันภพ พวกเขาช่วยกันดับหายนะที่เกิดขึ้นรอบๆ

เมื่อมีการช่วยเหลือของมู่เฉิน ภัยพิบัติก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ในเส้นทางที่พวกเขาก้าวผ่าน ภัยพิบัติปีศาจจะถูกระงับอย่างรวดเร็วไม่สามารถก่อให้เกิดความปั่นป่วนใดๆ ได้

ภายใต้ประสิทธิภาพนี้ความสงบก็กลับคืนสู่มหาพันภพในเวลาเพียงสองวัน

 

ทวีปเป่ยชาง สำนักศึกษาเป่ยชาง

หลังจากผ่านสงครามมาได้ทั่วทั้งสำนักศึกษาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ขีดสุด ตอนนี้ทั้งหมดรอการฟื้นฟูอยู่

แม้ว่าสถานที่จะถูกทำลาย แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บล้มตายมากนัก ดังนั้นบรรยากาศในสำนักศึกษาจึงยกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีมู่เฉินอยู่ ก็สร้างขวัญและกำลังใจได้มาก มิหนำซ้ำทุกคนยังยอมรับว่าสำนักศึกษาเป่ยชางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว

บนภูเขาที่ตั้งอยู่ด้านหลังชุมนุมเทพธิดาลั่ว

มู่เฉินและลั่วหลีเดินขึ้นเขาช้าๆ ก่อนที่จะไปหยุดยืนอยู่ที่จุดสูงสุดมองลงไปที่กองบัญชาการใหญ่ของชุมนุมเทพธิดาลั่ว เฝ้ามองเหล่าศิษย์น้องที่กำลังช่วยกันสร้างบ้านพัก

ทั่วทั้งสำนักศึกษาตอนนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิต

ศิษย์บางคนที่สังเกตเห็นมู่เฉินและลั่วหลี ก็มองไปด้วยความอิจฉา เพราะภายใต้แสงอาทิตย์ร่างเงาทั้งสองดูพร่างพราวโดดเด่นยิ่งนัก

“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเราช่วยกันก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วขึ้นที่นี่…” มู่เฉินมองไปที่ทะเลสาบพร้อมกับรอยยิ้มหวนคำนึงประดับบนริมฝีปาก

ในตอนนั้นเขากร้าวแกร่งได้พบเจอสหายและคู่ต่อสู้มากมายในสำนักศึกษาแห่งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปบางส่วนก็ถูกลืมเลือน กลายเป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้น

แต่โชคดีที่หญิงสาวที่ยืนข้างกายเขาไม่เปลี่ยนแปร

ดวงหน้าบอบบางของลั่วหลีเปล่งประกายด้วยความเงางามราวกับหยกอ่อน รอยยิ้มอ่อนโยนเผยออกมา ในเวลานั้นพวกเขานำศิษย์ใหม่รวมตัวกันและก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วขึ้น ทุกคนทำงานอย่างหนักสร้างฐานรากในสำนักศึกษาเป่ยชางไว้

เมื่อหวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ช่างเต็มไปด้วยความทรงจำงดงาม

ลั่วหลีมองไปที่สิ่งปลูกสร้างในสำนักศึกษาทันใดนั้นนางก็ยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าภาคเบญจภาคีกำลังจะรวมกันเป็นหนึ่ง พวกเขาตั้งใจจะให้เจ้าตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ด้วยนะ”

“โอ้?” มู่เฉินประหลาดไปจากนั้นก็พยักหน้า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ในมหาพันภพสำนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกวัน บางแห่งมีรากฐานที่เหนือกว่าภาคเบญจภาคี ตอนนี้เมื่อพวกเขารวมเข้าด้วยกัน บางทีอนาคตอาจสามารถเขย่ามหาพันภพได้

“สำหรับชื่อ…”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “งั้นสำนักศึกษาชังจ่งแล้วกัน”

ด้วยการใช้ชื่อของทำเนียบเหนือภพ เขาหวังว่าจะมีศิษย์น้องจากที่นี่ทิ้งชื่อไว้บนทำเนียบในอนาคตเพิ่มได้อีก

“สำนักศึกษาชังจ่ง…”

ลั่วหลีพึมพำเบาๆ ก่อนจะยิ้ม “ไม่เลว ฟังดูทรงพลังมาก”

“แต่ถ้าห้าสำนักศึกษารวมตัวกัน ศึกเบญจภาคีก็จะไม่มีอีกต่อไปในอนาคต”

ลั่วหลีนั่งลงบนผืนหญ้าและพูดด้วยความกระเง้ากระงอดเล็กน้อย นางจำได้ว่าตนเองและมู่เฉินต้องต่อสู้กันอย่างไรและเอาชนะคู่แข่งขันในตอนนั้นได้

มู่เฉินนั่งลงพลางเหยียดแขนออกไปโอบเอวเล็ก ท่อนแขนเขาแนบข้างตัวนางจับแน่นสัมผัสส่วนโค้งเว้าที่น่าประทับใจ

เมื่อรู้สึกถึงการกระทำของมู่เฉิน ลั่วหลีก็เงยหน้ามองมาที่เขาเขม็ง

ถ้าเป็นคนอื่นคงยอมแพ้ต่อสายตานี้ไปแล้ว แต่มู่เฉินหน้าด้านทำเป็นไม่เห็น เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด

“เจ้านี่หน้าด้านจริงๆ”

ลั่วหลีหยิกเอวมู่เฉินเบาๆ ก่อนที่เธอเอนศีรษะซบบนไหล่มู่เฉิน ยามนี้นางรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลง

ขณะที่ทั้งสองกอดกันและกัน ลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉิน “มู่เฉิน ครั้งนี้เราจะสามารถเอาชนะเทพปีศาจจักรพรรดิได้ไหม?”

มู่เฉินเม้มปากลังเลชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ก่อนที่เทพปีศาจจักรพรรดิจะเผยตัวตน ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะมีพลังเพียงใด”

“ดังนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเราจะเอาชนะได้หรือไม่ ต่อให้ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้งและข้ารวมพลังกัน”

คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น แม้ว่าเขาจะแสดงความมั่นใจต่อหน้าคนอื่น แต่เขาก็บอกความคิดเห็นไม่ปิดบังเมื่ออยู่กับลั่วหลี

นั่นเป็นเพราะเทพปีศาจเก้าเนตรยากแท้หยั่งลึก

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าลั่วหลีก็เคร่งเครียดลงมาก นางมองคิ้วที่ขมวดแน่นของชายคนรักก็รู้สึกปวดใจ นางรู้ว่ามู่เฉินกดดันมากแค่ไหน

“มู่เฉิน เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” ลั่วหลีเอื้อมมือคลายหัวคิ้วของมู่เฉินออก

“ยังจำได้ไหม…เจ้าเคยบอกข้าว่าจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องข้าจากพายุโหมกระหน่ำ… ตอนนี้ข้าพูดได้เต็มปากว่าเจ้าทำได้อย่างที่พูดตอนนั้นจริงๆ แล้ว…”

“เจ้าคือยอดยุทธ์หนึ่งเดียวในหัวใจข้า”

แววตาของลั่วหลีอ่อนหวานจนถึงจุดที่ทำให้ผู้คนมึนเมาได้

นางจ้องมองมู่เฉิน ใบหน้าก็แดงระเรื่อ น้ำเสียงอ่อนโยนของนางราวกับรำพึงรำพัน

“มู่เฉิน ข้าโชคดีจริงๆ…ที่ได้พบเจ้าในสงครามเทพยุทธ์…”

เสียงนุ่มนวลเปล่งออกมา มู่เฉินก้มศีรษะลงมองใบหน้าแดงก่ำในอ้อมกอด เขารู้สึกถึงหัวใจเต้นรัว

เขามองไปที่ริมฝีปากของหญิงสาวคนรัก ก็รู้สึกว่าอารมณ์ตกอยู่ในความว้าวุ่น เขาค่อยๆ กระชับมือที่โอบเอวบางของลั่วหลีเข้ามาแนบชิด

สัมผัสได้ถึงแววตาร้อนแรงของมู่เฉิน ลั่วหลีก็กะพริบตาอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย

“ลั่วหลี ข้าโชคดีที่ได้ช่วยเหลือเจ้า… ในสงครามเทพยุทธ์ครั้งนั้น…”

พูดจบมู่เฉินก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้อีกต่อไป เขาก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบ

เมื่อริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันก็กำจายด้วยความอบอุ่น

ร่างเล็กของลั่วหลีเอนลงบนผืนหญ้า มู่เฉินเหยียดแขนตั้งฉากบนพื้นมองไปที่ใบหน้าตื่นตระหนกของคนรัก

มือลั่วหลีพยายามดันหน้าอกของมู่เฉินออก ขณะที่กัดริมฝีปากหลบสายตาเขา “มู่เฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?”

นางมองเห็นไฟปรารถนาที่ลุกโชนในดวงตาของมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มกริ่มพลางโบกสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงกลายเป็นหมอกหนาทึบกระจายออกไปปิดกั้นบริเวณนี้ไม่ให้ถูกรบกวน

“ลั่วหลี เจ้าอยากให้รางวัลข้าบ้างไหม?”

เหมือนจะได้ยินความปราถนาที่ไม่ดีของมู่เฉิน ลั่วหลีก็ส่ายหน้าหวือ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้…ก็อย่าหาว่าข้าแกล้งนะ!” มู่เฉินยิ้มก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบอีกครั้ง

เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันเป็นเวลานาน ก่อนที่มู่เฉินจะดึงตัวออก ลมหายใจของทั้งคู่หนักหน่วงขึ้น

ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ม่านตากระจ่างใสเต็มไปด้วยอารมณ์เข้มข้น ยิ่งมองไปที่มู่เฉิน นางก็รู้สึกได้ถึงไฟปรารถนาลุกโชนในดวงตาของคนรัก นางค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนโยน

รอยยิ้มของนางตอนนี้ดูเปล่งประกายยิ่งนัก

มู่เฉินถึงขนาดอึ้งไปเลยทีเดียว เขาไม่คิดว่าลั่วหลีจะมีด้านทรงเสน่ห์เช่นนี้

“มู่เฉิน เจ้าต้องการรางวัลจริงๆ หรือ?” น้ำเสียงของลั่วหลีแฝงความเย้ายวนกระเพื่อมออกมา เวลานี้นางได้วางกฎเหล็กทั้งหมดลง นางรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของมู่เฉินและนางก็ไม่คิดต่อต้าน กลับกันหัวใจยังเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ

สัมผัสกับความร้อนที่แผ่ซ่านมาถึงโพรงจมูกมู่เฉินก็พยักหน้า

“งั้น…เจ้าจะยังเป็นองครักษ์ของข้าไหม?”

“ตลอดไปจักรพรรดินีแห่งข้า” มู่เฉินจับมือลั่วหลีขึ้นมาจูบที่หลังมือ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

ลั่วหลียิ้มอ่อนหวานก่อนที่จะดันเอวขึ้น ร่างทั้งสองกลิ้งไป แต่ครั้งนี้เป็นลั่วหลีที่พลิกนั่งอยู่บนเอวของมู่เฉิน ดวงตาผลึกแก้วใสช้อนลงมามองเขาประหนึ่งจักรพรรดินี

จากนั้นนางก็พูดอย่างมั่นในว่า “งั้นจักรพรรดินีขออยู่บน”

นางเชิดคอเรียวระหงดังไข่มุกขึ้นพลางหายใจเข้าลึกราวกับว่าตัดสินใจแน่นอนแล้ว มือขาวเรียวเลื่อนไปที่สาบเสื้อกระตุกพันธนาการออก ใบหน้าของนางแดงระเรื่อไปหมด

เมื่อเสื้อผ้าเลื่อนหล่นออกจากผิวกายก็เผยให้เห็นถึงรูปร่างไร้ที่ติ แสงแดดส่องลงมากระทบร่างของนางเปล่งประกายจนถึงจุดที่ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งจะหยุดชั่วคราวภายใต้รูปร่างงดงามนี้

ในที่สุดเลือดก็ไหลออกจากโพรงจมูกที่ร้อนฉ่า

“มู่เฉิน นี่คือ…รางวัลที่ข้าให้เจ้า”

หญิงสาวยิ้มหวานร่างแนบลงมาช้าๆ

ในเวลานั้นสายลมฤดูใบไม้ผลิก็พัดพาเข้ามาพร้อมกับเสียงครวญครางดังก้องในหมอกหลิง ร่างสองร่างเกี่ยวกระวัดรัดรึงเข้าด้วยกัน