เมื่อเข้ามาในหอก็มีบุรุษร่างใหญ่กำยำสวมชุดสีดำขาวผู้หนึ่งยืนประจันหน้าอยู่ เขากอดอกมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้า ก่อนจะหลบไปด้านข้างแล้วเอ่ยว่า

“ขึ้นบันไดตรงกลาง อย่าเดินผิดเล่า”

เสียงแหบอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงฟังจบก็เพิ่งเห็นชัดว่าพื้นที่ว่างขนาดไม่ใหญ่ตรงหน้ามีบันไดไม้แคบสามอันเรียงกันอยู่ แต่ละอันทอดไปยังชั้นสอง

หลิ่วหมิงเดินขึ้นบันไดตามคำบอกไปยังชั้นสอง สุดท้ายก็พบว่าด้านบนมืดสลัวอย่างยิ่ง มองสิ่งใดไม่ชัดทั้งสิ้น แล้วยังไม่รู้ว่าวางชั้นจำกัดอันใดไว้ จิตสัมผัสจึงเหมือนถูกปิดกั้นอยู่

ระหว่างที่เขาเตรียมจะเอ่ยปากถามนั่นเอง “ฟึบ” พื้นที่ทั้งหมดก็สว่าง จู่ๆ บันไดที่ขึ้นมาก็หายไปไม่เห็นร่องรอย

“ฮ่าๆ สหายไม่ต้องตกใจ แค่ใช้ชั้นจำกัดเล็กน้อย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากให้ข่าวที่มาถามถูกคนอื่นได้ยินกระมัง” เสียงแหบพร่าดังมาจากผู้เฒ่าผอมแห้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมด้านในสุดของห้อง

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มองสำรวจผู้เฒ่าหลายครั้งอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า ในเวลาเดียวกันก็ใช้หางตากวาดมองทั่วห้องไปด้วย

นี่เป็นห้องลับทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเพียงสี่ห้าจั้งห้องหนึ่ง นอกจากผู้เฒ่าผอมแห้งก็ไม่มีใครอื่นอีก

ผู้เฒ่าหลุบตานั่งอยู่ ข้างกายมีโคมสำริดโบราณสูงครึ่งจั้งดวงหนึ่ง เปลวเพลิงสีฟ้าเข้มดวงหนึ่งเต้นระริกอยู่ในนั้นส่องวูบวาบบนโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งเบื้องหน้าเขา ม้วนคัมภีร์หยกขนาดใหญ่น้อยไม่เท่ากันหลายสิบม้วนกองอยู่ประหนึ่งภูเขาลูกน้อย

“อะแฮ่มๆ สหายต้องการทราบสิ่งใด ข่าวต่างกันราคาย่อมต่างกัน” ผู้เฒ่าผอมแห้งเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดจาจึงเตือนขึ้นอ้อมๆ

“ไม่ทราบท่านรู้จักสุสานราชายมโลกแห่งนั้นของแดนวารีมืดหรือไม่?” หลิ่วหมิงเดินมาถึงตรงหน้าผู้เฒ่าผอมแห้งแล้วหยุดห่างไปหนึ่งจั้งกว่า จากนั้นถามขึ้นเรียบๆ

“สุสานราชายมโลกรึ? จิ๊ๆ สหายคงไม่ได้อยากถามแค่คำถามนี้กระมัง ไม่สู้พูดออกมาให้หมดเลยเถิด จะได้เจรจาราคากันก่อนให้เรียบร้อย” ผู้เฒ่าผมแห้งผู้นั้นหลุบตาลงก่อนจะมองขึ้นมา เสียงแฝงความประหลาดใจเอาไว้นิดๆ

“ข้าต้องการทราบข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับสุสานราชายมโลก” หลิ่วหมิงยังคงสีหน้าเรียบเฉย

“หึๆ ข่าวเรื่องนี้ ข้าไม่พบใครถามถึงมาหลายปีแล้ว แต่เจ้านับว่าถามถูกคน นอกจากหอล่วงรู้อดีตแห่งนี้ เจ้าไม่มีทางได้ข้อมูลละเอียดนักจากที่อื่น หนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนหินยมโลกหรือสมบัติยมโลกที่มูลค่าเท่าเทียมกัน” ผู้เฒ่าผอมหัวเราะเหมือนคำราม แล้วเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงได้ยินก็คิ้วขมวดเล็กน้อย จากนั้นเงียบงันไม่พูดจา

แม้สองปีนี้เขาจะสืบเรื่องราวของสุสานราชายมโลกอยู่ตลอด แต่ก็รู้มาแค่รอบนอกสุดของสุสานราชายมโลกมีคลื่นความเย็นอยู่เท่านั้น ข้อมูลที่มีค่าอย่างอื่นหาไม่ได้เลย

วันนี้เวลาสิบปีที่นัดกับชิงหลิงไว้ผ่านไปสองปีแล้ว เขาไม่อาจรอต่อไปได้อีก แม้หนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนหินยมโลกจะเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่หากได้รู้ข้อมูลอย่างละเอียดเพิ่มสักหน่อย ความมั่นใจยามเข้าไปในสุสานราชายมโลกก็ย่อมเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

เขาคิดคำนวณในใจหลังจากนั้นจึงยกแขนเสื้อ หินยมโลกระดับต่างๆ กองโตปรากฏขึ้นตรงหน้า

“สหายเป็นคนตัดสินใจฉับไวดี” ผู้เฒ่าผอมแห้งผู้นั้นกวาดสายตาผ่านหินยมโลกแล้วอดไม่ได้แย้มรอยยิ้มยินดี

ต่อจากนั้นเขาก็ท่องมนตร์เสียงเบาหลายประโยค แขนผอมแห้งพลิกครั้งหนึ่ง คัมภีร์หยกที่ทอแสงสีขาวหม่นเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วลอยมาหาหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงกวักมือข้างหนึ่ง คัมภีร์หยกร่วงลงกลางฝ่ามือเขาอย่างมั่นคง ก่อนที่เขาจะยกขึ้นแนบหน้าผากกวาดจิตสัมผัสเข้าไป

ข้อมูลในคัมภีร์หยกเล่มนี้ชี้บอกตำแหน่งที่ตั้งสุสานยมโลกอย่างละเอียด บังเอิญตรงกับจุดที่ชิงหลิงบอกไว้แห่งนั้นพอดี อีกทั้งในคัมภีร์หยกยังบรรยายสภาพรอบนอกสุสานราชายมโลกไม่ต่างจากข้อมูลที่เขาสืบมานัก ดวงตาเขาเผยแววยินดีขึ้นมาเล็กน้อย

นอกเหนือจากนี้ยังมีแผนที่และคำบอกเล่าถึงสถานที่อันตรายจำนวนหนึ่งด้านในสุสานราชายมโลกอีก แต่พวกมันกระจัดกระจาย ไม่ได้บันทึกไว้ครบถ้วนนัก ดูท่าคงจะเป็นสิ่งที่ผู้เสี่ยงเข้าไปในแดนอันตรายแห่งนี้แล้วโชคดีรอดกลับมาบันทึกเอาไว้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

“ในเมื่อของกับเงินแลกกันเรียบร้อย ก็ไม่รบกวนต่อแล้ว” หลิ่วหมิงเก็บคัมภีร์หยกแล้วเอ่ยขอตัวกับอีกฝ่าย

“ไม่ส่ง!” ผู้เฒ่าผอมแห้งไม่ได้รั้งไว้เช่นกัน มือข้างหนึ่งส่งแสงเรืองรองสีน้ำเงินสายหนึ่งออกมาหอบหินยมโลกทั้งหมดกลับไป ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งไปหลังร่างของหลิ่วหมิง

บันไดที่เดิมทีหายไปแล้วปรากฏกลับมาอีกครั้ง

……

เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจากหอล่วงรู้อดีต สถานที่จัดงานชุมนุมต้งหาวก็มีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ครึกครื้นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ในเมื่อเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ลุล่วงแล้ว เขาจึงไม่คิดจะอยู่ต่ออีก แม้ในมือยังมีสมบัติที่ยังไม่ได้นำไปแลกอีกหลายชิ้น แต่วันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หินยมโลกมากมายอีกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องดึงความสนใจจากผู้อื่น

เขากำลังก้าวเอื่อยเฉื่อยไปทางถ้ำที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายตั้งอยู่ ทันใดนั้นสีหน้าก็กระตุกไปวูบหนึ่ง หมุนตัวมองไปด้านหลัง

ตรงนั้นผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกที่สวมหน้ากากทำจากกระดูกตนหนึ่งอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงสิบก้าว เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงก็หยุดฝีเท้า

“ท่านตามอยู่ด้านหลังนานเช่นนี้ มีคำใดต้องการพูดกับข้าหรือ” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างเย็นชา

“สหายโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าหาได้มีเจตนาร้าย เพียงต้องการล่วงเกินถามสักคำ ไม่ทราบสหายต้องการเดินทางไปสุสานราชายมโลกใช่หรือไม่”

ผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกที่สวมหน้ากากกระดูกสภาพเหมือนพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น อาภรณ์ตัวยาวบดบังเรือนร่างแข็งแกร่งไว้ แต่เสียงฟังดูเยาว์วัยอย่างยิ่ง เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “สุสานราชายมโลก” ก็เปลี่ยนเป็นส่งกระแสจิตในพริบตา

“อ้อ เหตุใดท่านจึงเอ่ยเช่นนี้”

หลิ่วหมิงได้ยินก็หวั่นใจขึ้นมาวูบหนึ่ง สายตารีบกวาดไปรอบด้านทันที เมื่อพบว่าเหมือนจะไม่มีผู้ใดสนใจตรงนี้จึงถอนหายใจโล่งอก

“ฮ่ะๆ คลื่นความเย็นรอบนอก ทุกสิบปีจะอ่อนแอลงครั้งหนึ่ง ตอนนี้ก็น่าจะใกล้แล้ว เมื่อครู่เห็นสหายแลกหยกตะวันอุ่นก้อนนั้นมาด้วยราคาสูง ต่อมายังไปหอล่วงรู้อดีตแล้วอยู่ในนั้นเสียนานกว่าจะออกมาจึงบังอาจลองคาดเดา ตอนนี้ดูท่าการคาดเดาของข้าน่าจะไม่พลาด” เผ่ายมโลกหน้ากากกระดูกหัวเราะฮ่าๆ แล้วส่งกระแสจิตต่อ

“ท่านความคิดละเอียดลออนัก ข้าขอนับถือ ข้ามีแผนการเช่นนี้จริง! สหายสนใจเรื่องนี้เช่นนี้ หรือว่าคิดจะฝ่าเข้าไปในสุสานราชายมโลกแห่งนั้นเช่นกัน?” หลิ่วหมิงได้ยิน ดวงตาก็มีแววตาประหลาดพาดผ่านไป แล้วส่งกระแสจิตกลับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“สหายเองก็เป็นคนความคิดเฉียบแหลม ไม่ผิด ในเมื่อข้ากับท่านล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน สนใจมาร่วมมือกันหรือไม่ สุสานราชายมโลกแห่งนั้นอันตรายยิ่งนัก มีคนเพิ่มคนหนึ่งย่อมมีกำลังเพิ่มหนึ่งส่วน” เผ่ายมโลกหน้ากากกระดูกตอบเช่นนี้

หลิ่วหมิงไม่พูดจาไปชั่วครู่คล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

เผ่ายมโลกหน้ากากกระดูกเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เอ่ยเร่ง เขายืนอยู่ห่างๆ เช่นนั้นแล้วกวาดสายตามองรอบด้านไปเรื่อย

“ที่แห่งนี้คนมากสายตาที่จับจ้องก็มาก พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยหาสถานที่คุยกันให้ละเอียดเถิด” ครู่หนึ่งหลังจากนั้น หลิ่วหมิงจึงตัดสินใจได้แล้วเอ่ยขึ้นมา

“ได้ ไม่มีปัญหา!” เผ่ายมโลกหน้ากากกระดูกตอบทันควัน

หลิ่วหมิงมองเขานิ่งๆ ครู่หนึ่งจากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปยังถ้ำที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายตั้งอยู่ เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังร่าง เผ่ายมโลกหน้ากากกระดูกติดตามมา ทั้งยังรักษาระยะห่างสิบกว่าจั้งไว้ตลอด

เมื่อหลิ่วหมิงเดินเร็วๆ มาถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายจากเมืองชิงเยวี่ย เขาก็เบี่ยงกายเล็กน้อย เผ่ายมโลกหนุ่มผู้นั้นเข้าใจเจตนาจึงก้าวไวๆ เดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย

สตรีเผ่ายมโลกที่เฝ้าค่ายกลไม่พูดพร่ำ นางยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง

พริบตาที่หลิ่วหมิงเห็นชายหนุ่มผู้นั้นหายไปจากค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เดินตามเข้าไป

แสงสว่างดับลง หลิ่วหมิงกลับมาในห้องที่โถงด้านหลังเหลาสุราเหมือนเช่นตอนเขาเข้าไป ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินหน้าตาเมตตาผู้นั้นมองหลิ่วหมิงกับชายหนุ่มหน้ากากกระดูกอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดมาก นิ้วจิ้มครั้งหนึ่ง บานประตูก็เปิดออก

เผ่ายมโลกหน้ากากกระดูกยิ้มน้อยๆ เดินออกไปทันที พร้อมกันนั้นก็ถอดหน้ากากบนหน้าออก เขาเป็นชายหนุ่มเผ่ายมโลกที่ดูแล้วอายุน้อยอย่างยิ่งผู้หนึ่ง หน้าตาค่อนข้างอ่อนโยน แต่คิ้วทั้งสองเป็นเส้นตรงจึงทำให้คนรู้สึกองอาจ

หลิ่วหมิงตามออกไป หลังจากเห็นภาพนี้ก็เลิกคิ้ว

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเขาเห็นคนผู้นี้จึงเกิดความรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อน นี่ทำให้เขาอดไม่ได้มองสำรวจอีกฝ่ายเพิ่มหลายครั้ง หลังจากสุดท้ายแน่ใจว่าตนไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อนจริงๆ เขาก็ถอดหน้ากากของตนบ้างโดยที่ในใจยังคงคลางแคลงอยู่

หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ทั้งสองก็มาถึงห้องส่วนตัวในเหลาสุราอีกแห่งหนึ่งของเมืองชิงเยวี่ย

หลิ่วหมิงสร้างเกราะกั้นเสียงขึ้นมาชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองเผ่ายมโลกหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา

“จริงสิ ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง ข้าอินหลิว” ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปากถาม ชายหนุ่มก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา

“อิ่นหาน” หลิ่วหมิงตอบอย่างไร้อารมณ์

“ที่แท้ก็พี่อิ่นหานนี่เอง ไม่ทราบสหายสนใจข้อเสนอของข้าเมื่อครู่หรือไม่? ขอบอกอีกอย่าง แม้คลื่นความเย็นรอบนอกสุสานราชายมโลกจะอ่อนแรงลงสิบปีครั้ง แต่ก็ยังหนาวเย็นยิ่งนัก ต่อให้สหายมีหยกตะวันอุ่นคุ้มครองกาย โอกาสที่จะเข้าไปสำเร็จเกรงว่าก็คงไม่มาก แต่ข้าบังเอิญรู้เส้นทางที่คลื่นความเย็นอ่อนแอที่สุดจุดหนึ่ง หากผ่านไปทางนั้น อย่างน้อยก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นสามสี่ส่วน” อินหลิวดวงตาวาววับเอ่ยขึ้นมา

“ดูท่าพี่อินจะรู้จักสุสานราชายมโลกมากยิ่งนัก ได้ข่าวมาจากต้งหาวเช่นกันหรือ” หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“นั่นกลับไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ข้าบังเอิญได้แผนที่สุสานราชายมโลกมาส่วนหนึ่ง บนนั้นบันทึกเส้นทางพิเศษเส้นนี้ไว้” อินหลิวหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา

หลิ่วหมิงได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ข้อมูลที่เขาจ่ายราคาแพงซื้อมาจากต้งหาว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับชั้นจำกัดชนิดต่างๆ ในสุสานราชายมโลก แผนที่กลับมีไม่มาก หากข้อมูลของอีกฝ่ายเป็นจริง เห็นชัดว่าคงช่วยได้มากอย่างยิ่ง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะจับกลุ่มเดินทางด้วยกันก็ไม่ใช่จะไม่ได้ ในเมื่อสหายวางแผนจะเดินทางไปบุกสุสานราชายมโลกเช่นกัน พลังของตนก็คงไม่อ่อนแอไปถึงไหนกระมัง” หลิ่วหมิงเคลื่อนสายตามามองแล้วเอ่ยขึ้น

“พูดไปแล้วก็ละอาย ผู้แซ่อินไม่ได้ระดับพลังสูงนัก แต่สหายระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว หลังจากเข้าไปในสุสานราชายมโลก ชั้นจำกัดบางอันเกรงว่าคงได้แต่อาศัยร่วมมือกับสหายจึงจะผ่านไปได้” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองหลิ่วหมิงอย่างมีความนัย

“หึๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ต้องตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน หากด้านในพบสถานที่อันตรายที่ข้าไม่มั่นใจว่าจะฝ่าไปได้จริงๆ ข้าย่อมไม่เอาตัวเข้าเสี่ยง” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็หัวเราะหึตอบกลับ ก็ไม่รู้ว่าเชื่อคำพูดของอินหลิวจริงหรือไม่

“นั่นย่อมแน่นอน ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงกันเช่นนี้ สามเดือนให้หลัง พวกเราพบกันที่เมืองไท่เจิน ที่นั่นเป็นเมืองที่ห่างจากสุสานราชายมโลกใกล้ที่สุด” อินหลิวฟังจบก็ลุกขึ้นยืน ประสานมือเอ่ยบอกด้วยสีหน้ายินดี

หลิ่วหมิงย่อมไม่มีความเห็นอันใด

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็ขอตัวแยกย้ายกันไปทันที