เกาะโบราณที่จักรพรรดิค้นพบโดยบังเอิญ… สัตว์บนเกาะกราบไหว้บูชาพลังลึกลับจากอวกาศ… หากยังไปไม่ถึงระดับเทวทูต ลำพังการเข้าใจเกี่ยวกับอวกาศก็มากพอจะทำให้ถูกกัดกร่อน… พยายามอย่าขอพรจากเทพแห่งตะเกียงหรือพาไปยังเกาะโบราณนั่น… แคทลียาซึ่งในที่สุดก็ได้รับการตอบสนองจากเดอะฟูล ถึงคราวถอนหายใจโล่งอก
หญิงสาวชำเลืองไปทางตะเกียงวิเศษประทานพรที่ไม่มีการตอบสนองก่อนจะรีบนำไปเก็บ จากนั้นเธอคลี่กระดาษเปล่า นำปากกาออกมาเขียนจดหมายเตือนไปถึงราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดตโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะให้ความสนใจ
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในหอพักทรุดโทรม
ชายเคราดกคนหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้โดยถูกใส่กุญแจมือในท่าไพล่หลัง
ซิลที่ไต่เต้าจนกลายเป็นสมาชิกระดับกลางของ MI9 ด้วยฝีมือตัวเอง กำลังยืนประจันหน้าชายคนดังกล่าวพลางถือมีดสามคมโดยมีลูกน้องสองคนขนาบข้าง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“พวกเรามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าคุณคือหนึ่งในแกนนำการประท้วง หากต้องการให้โทษเบาลง กรุณาร่วมมือโดยการตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา”
ชายเคราดกสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลก่อนที่ซิลจะเปิดปากพูดเสียอีก และในยามที่เธอพูดจบ จิตใจของมันพลันสั่นสะท้านรุนแรงราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซ่านประหนึ่งพร้อมปะทุทุกเวลา
ชายเคราดกพยายามข่มความกลัวและอ่อนแอภายในใจ:
“ไม่มีใครยุยงทั้งนั้น ฉันทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ… พวกเธอไม่รู้หรือว่าตอนนี้กรุงเบ็คลันด์กลายเป็นถังดินระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงมีประกายไฟเล็กน้อย ระเบิดก็จะลุกลามไปทั้งเมือง… ในหมู่ประชาชนยังมีประกายไฟที่กล้าเสี่ยงแบบฉันอยู่อีกมาก! ไอ้พวกขุนนางชั่วและพ่อค้ากล้าดียังไงถึงกักตุนอาหารในช่วงที่ชาวเขตตะวันออกอดตายกันทุกวัน! เธอจะทำอะไรกับฉันก็ได้ ฉันไม่ขอเชื่อคำสัญญาอะไรทั้งนั้น… พวกเราหยุดการประท้วงเพียงเพราะทุกคนได้รับอาหารกลับไปมากมาย”
ขณะซิลเตรียมสอบปากคำเพิ่ม เธอรีบหันหน้าไปยังทิศทางที่มีเสียงประหลาดดังมาจากด้านนอก
เสียงทื่อๆ ทุ่มต่ำที่ซ้อนทับกันดังก้องมาจากระยะไกล
กองทัพของฟุซัค อินทิส หรือไม่ก็เฟเนพ็อตสามารถตีฝ่าแนวรบเข้ามาประชิดกรุงเบ็คลันด์ได้แล้ว? สีหน้าซิลพลันเคร่งเครียด
…
เมื่อกลับถึงดินแดนเทพทอดทิ้ง ไคลน์ที่อยู่บนโลกความจริงพยายามเหยียดมือขวาออกไปเพื่อตรวจสอบว่าตนสามารถอัญเชิญตะเกียงวิเศษประทานพรออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ได้หรือไม่
เพียงไม่นานก็ยืนยันได้ว่าตนคงมิอาจอัญเชิญ 0-05
อย่างที่คิด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์ของเส้นทาง… หรือเราควรเรียกว่า ‘แก่นต้นกำเนิด’ ดี? สรุปได้ว่าเทพแห่งตะเกียงเป็นตัวตนระดับสูงที่กำลังถูกผนึก อย่างน้อยก็ระดับทัดเทียมราชาเทวทูต… ไม่มีทางใช้ประโยชน์จากมันได้… ไคลน์ถอนหายใจยาวก่อนจะเพ่งสมาธิเพื่อวางแผนล่าหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์
มันเตรียมความพร้อมอย่างละเอียดและรัดกุม แถมยังมีการทำนายยืนยันบนมิติหมอกอีกหลายครั้ง
แต่ชายหนุ่มยังไม่รีบร้อนลงมือ ยังคงอาศัยช่วงเวลาถัดมาเพื่อตรวจสอบความไม่สมบูรณ์และอุดรอยรั่ว
ไม่กี่วันถัดมา ท่ามกลางดินแดนอันรกร้างและมืดมิด ไคลน์ที่แต่งกายด้วยเสื้อกันลมสีดำพลางถือตะเกียงส่องแสงสีเหลือง เหยียดแขนขวาออกไปคว้าบางสิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้นเอง สายฟ้าผ่าลงมาจากเบื้องบนและมอบแสงสว่าง
ไคลน์ดึงร่างหนึ่งออกจากความว่างเปล่า ไม่ใช่ใครนอกจากตัวมันเองที่กำลังถือไม้เท้าดวงดาวมายาและตะเกียง
ทันทีหลังจากนั้น ร่างต้นของชายหนุ่มเข้าไปหลบในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ช่วงก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง เป็นการซ่อนตัวภายในซากเมืองโบราณที่ซ้อนทับหลายชั้น
ภาพฉายของไคลน์มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จากนั้นก็จินตนาการถึงหนึ่งในสถานที่ที่เพิ่งไปสำรวจมาเพื่อให้ไม้เท้าดวงดาวพาไปส่ง
จุดดังกล่าวอยู่ไกลจากตำแหน่งของร่างต้นมากโข ชนิดที่ต่อให้เกิดความผิดปรกติกับภาพฉาย แต่อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางระบุพิกัดของร่างต้นไคลน์บนโลกความจริงได้แม่นยำ
สำรวจสภาพแวดล้อมสักพัก ไคลน์ได้พบกับท้องลำธารที่เหือดแห้งและหินก้อนใหญ่ซึ่งเด่นตระหง่านในความมืดราวกับสัตว์ประหลาด จากนั้นก็รีบสลายไม้เท้าดวงดาวทิ้งด้วยการสะบัดมือแผ่วเบา
ถัดมามันเดินไปทางหินใหญ่ วางตะเกียงลงและเริ่มเปล่งพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาคนยักษ์
“เจ้าแห่งความมืดที่อาศัยอยู่ในประวัติศาสตร์”
“ร่างอวตารของมหาปาฏิหาริย์”
“เทพผู้ถือครองพลังแห่งความปรารถนา…”
นี่คือพระนามเต็มอันทรงเกียรติของหมาป่าอสูรทมิฬที่ไคลน์ทราบมาจากเทพธิดารัตติกาล แม้ว่าสัตว์ในตำนานชนิดนี้อาจเลิกใช้ชื่อดังกล่าวไปนานแล้วหรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางจุด แต่ในเชิงศาสตร์เร้นลับก็ยังคง ‘พุ่งเป้า’ ไปถึงโคทาร์เช่นเคย
…
ภายในปราสาทโบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขา
คนยักษ์ เอลฟ์ มนุษย์ และแวมไพร์กำลังทำหน้าที่เป็นคนสวน พ่อครัว คนรับใช้ สาวใช้ และองครักษ์ พวกมันสามารถแสดงสีหน้าซับซ้อนและมักกระซิบคุยกันในยามที่เดินสวน ทำให้ดูเหมือนยังมีชีวิตประสติปัญญา
แต่พวกมันจะเฉื่อยชาลงทันทีที่กลับถึงห้อง ดวงตาหยุดกลอกไปมา ร่างกายถูกแขวนห้อยลงมาจากเพดาน
ณ ส่วนลึกของปราสาท ภายในห้องโถงที่แหล่งแสงสว่างเดียวคือสายฟ้าจากด้านนอก ร่างขนาดมหึมากำลังนอนภายในความมืด
ร่างกายของมันดูคล้ายกับเนินเขาขนาดเล็กที่ปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีดำ รูม่านตาสีดำสนิทกินพื้นที่มากถึงหนึ่งในสามของดวงตา บริเวณหน้าผากมีกระจุกขนสีเทาอ่อน รูปทรงศีรษะเหมือนหมาป่าดุร้ายตัวใหญ่
ไม่ใช่ใครนอกจากเทพแห่งความปรารถนา หมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์
ทันใดนั้น หมาป่าอสูรซึ่งตัวใหญ่กว่าคนยักษ์ทั่วไปพลันเงยหน้าขึ้น ขนสั้นสีดำทุกเส้นของมันเริ่มขยับไปมาพร้อมกับการกลับมาทำงานอีกครั้งของบรรดาคนรับใช้ภายในปราสาท
โคทาร์เอียงคอพลางกลอกตาเล็กน้อยประหนึ่งกำลังเงี่ยหูฟังบางสิ่ง
ในวินาทีถัดมา มันอ้าปากคำรามเงียบเพื่ออัญเชิญ ‘ตัวเอง’ อีกร่างหนึ่งออกมา
ทันทีที่หมาป่าอสูรทมิฬปรากฏกาย ร่างต้นของโคทาร์กระโจนเข้าไปในสายหมอกและรีบวิ่งตรงไปยังจุดแสงหนึ่งในยุคสมัยที่สอง
นี่คือหนึ่งในชิ้นส่วนลับทางประวัติศาสตร์ที่มันทราบ
ภาพฉายของหมาป่าอสูรทมิฬบนโลกความจริงทำการอธิษฐานด้วยภาษาที่ซับซ้อน ทันใดนั้น ร่างของมันพลันสว่างวาบและหายไปโผล่บนภูเขาใกล้กับซากเมืองนอร์ธ
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ เทพแห่งความปรารถนาสลัดขนสั้นสีดำจนหลุดร่วงและเปลี่ยนให้มันเป็นหนอนวิญญาณมายา หนอนตัวดังกล่าวพองออกจนมีลักษณะคล้ายจุดแสงแห่งการวิงวอน
นั่นทำให้โคทาร์ของเห็นว่าใครกำลังวิงวอนถึงตน
เป็นชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยหมวกและเสื้อผ้าประหลาด ด้านข้างเป็นตะเกียงส่องแสงสีเหลือง ปากขยับเอ่ยพระนามเต็มอันทรงเกียรติของเทพแห่งความปรารถนา
หืม… รูม่านตาขนาดใหญ่ของหมาป่าอสูรทมิฬพลันหดลีบเมื่อพบว่าชายหนุ่มที่กำลังสวดวิงวอนถึงตนมีสายหมอกสีเทารายล้อม และในสายหมอกดังกล่าวมีบางสิ่งซ่อนอยู่อย่างเลือนราง
เทวทูตเส้นทางนักทำนายลำดับ 2 อย่างมันย่อมตระหนักได้ว่าสายหมอกปริศนานั่นมีความคล้ายคลึงกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ แถมยังสัมผัสถึงแรงดึงดูดมหาศาลได้จากด้านในสายหมอก
…ปราสาทต้นกำเนิด? เนื่องจากเคยได้ยินตำนานบางส่วนจากเทพบรรพกาลอย่างราชาหมาป่าอสูรเฟรเกีย โคทาร์คาดเดาบางสิ่งได้ทันที
ภายใต้สมมติฐานดังกล่าว มันคาดเดาเจตนาถัดไปของชายหนุ่มปริศนาทันที
คิดจะใช้ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อดึงดูดเรา ล่อให้เราเป็นฝ่ายโจมตีเข้าไปก่อน จากนั้นก็ระบุตำแหน่งร่างต้นจากการเชื่อมต่อ?
นี่คือเหยื่อล่อ?
ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้เป็นเพียงภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์… เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าร่างต้นของมันซ่อนอยู่ในชิ้นส่วนใดของประวัติศาสตร์ และผู้ซุ่มโจมตีกำลังแอบอยู่ที่ไหน…
ก่อนหน้านี้ในตอนที่ปราสาทต้นกำเนิดเผยความผิดปรกติ เราสามารถยับยั้งชั่งใจมิให้เข้าไปสำรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าว รวมถึงการไม่ค้นหาเบาะแสที่เกี่ยวข้อง แล้วเหตุใดพวกมันถึงคิดว่าเราจะตกหลุมพรางตื้นๆ ในครั้งนี้?
แค่ลองหยั่งเชิง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแผนอื่นหลังจากยืนยันว่าไม่ได้ผล? หรือมีช่องโหว่ในคำสวดวิงวอนชุดนี้?
หึหึ… เรามีชีวิตอยู่มาหลายพันปี ยังมีสถานการณ์แบบใดที่ไม่เคยเห็นด้วยหรือ?
วิธีที่ดีที่สุดคือการปล่อยเจ้านั่นไปโดยไม่เสียเวลาเฝ้ามอง แค่จดจำไว้ก็พอ…
หมาป่าอสูรทมิฬตัดสินใจหนักแน่น มันคิดจะเฝ้ามองอีกสักพักก่อนจะทำลายจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน
ทันใดนั้นเอง มันเห็นชายหนุ่มอ้าปากเปล่งเสียงอีกครั้ง:
“สุริยันผู้เจิดจรัสนิจนิรันดร์”
“แสงสว่างที่ไม่มีวันดับมอด”
“ร่างอวตารแห่งกฎระเบียบ”
“…” หมาป่าอสูรทมิฬค่อนข้างฉงนกับสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังทำ
ในดินแดนเทพทอดทิ้งแห่งนี้ การสวดวิงวอนถึงเทพแท้จริงตนอื่นคือสิ่งที่ไร้ความหมาย!
วินาทีถัดมา ไคลน์อ้าปากท่องพระนามเต็มของเทพอีกตน
“พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง”
“ผู้คอยปกครองจากด้านหลังเงามืด”
“ผู้เป็นรากฐานแห่งความเสื่อมทรามทั้งปวง!”
รูม่านตาของหมาป่าอสูรทมิฬเบิกกว้างเล็กน้อย มันไม่เข้าใจว่ามนุษย์ภายในจุดแสงสวดวิงวอนต้องการทำสิ่งใด
ก่อนจะได้ข้อสรุป มันได้ยินไคลน์ท่องชื่อที่สาม
“เข็มนาฬิกาผู้คอยก่อกวนกระแสเวลา”
“เงาดำผู้ท่องไปทั่วชะตากรรม”
“ร่างอวตารแห่งการกลั่นแกล้งและหลอกลวง…”
อามุนด์… มันกำลังสวดวิงวอนถึงอามุนด์… หมาป่าอสูรทมิฬไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด เพียงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างเลือนรางและคิดจะสลายจุดแสงแห่งการสวดวิงวอนทิ้งไป
ทันใดนั้นเอง มันเห็นชายหนุ่มคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นและยกมุมปากยิ้ม
ตามด้วยการหยิบแว่นตาขาเดียวขึ้นมาสวมบนดวงตาข้างขวา
ภาพฉายของไคลน์แปรเปลี่ยนเป็นร่างโคลนของอามุนด์หลังจากเอ่ยนามอีกฝ่ายไปเพียงครั้งเดียว!
แทบจะในเวลาเดียวกัน หมาป่าอสูรทมิฬรู้สึกคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังมองทะลุจุดแสงแห่งการสวดวิงวอนมายังภาพฉายของตนได้โดยตรง จากนั้นก็มองผ่านภาพฉายเข้ามาในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และมองมาถึงร่างต้น
มันรีบดับไฟจุดแสงสวดการวิงวอนโดยปราศจากความลังเล
ณ สายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ภายในเมืองโบราณเก่าแก่ ไคลน์พยุงตัวยืนพร้อมกับวาดภาพหนึ่งในใจ
ไม่กี่วินาทีก่อนที่ฉากดังกล่าวจะเป็นรูปเป็นร่าง ชายหนุ่มรีบตัดการเชื่อมต่อกับภาพฉายเพื่อมิให้อามุนด์เสด็จเยือนลงมาด้านข้าง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ พฤติกรรมสุดประหลาดของชายหนุ่มมีเจตนาเพื่อทำให้หมาป่าอสูรทมิฬเกิดความสับสน ชายหนุ่มต้องการประวิงเวลาให้อีกฝ่ายยังคงเฝ้ามองต่อไปแม้จะทราบว่าผู้สวดวิงวอนเป็นเพียงภาพฉาย เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ไคลน์มีเวลาเฝ้ามองจากปราสาทต้นกำเนิดนานขึ้น
ปิดท้ายด้วยการสวดวิงวอนถึงอามุนด์ ไคลน์อาศัยการเสด็จเยือนของเทพแห่งการหลอกลวงรายนี้เพื่อปกปิดการกัดกร่อนแบบย้อนกลับที่ปราสาทต้นกำเนิดกระทำต่อหมาป่าอสูรทมิฬ!
หรือถ้าอามุนด์ไม่ตอบโต้และทำเพียงเฝ้ามองจากวงนอก ไคลน์ก็เตรียมแว่นตาขาเดียวไว้สำหรับตบตาโคทาร์แล้ว
……………………