บทที่ 1553 ชื่อข้า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

ในสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน

ผืนดินวินาศสันตะโรผืนฟ้ามืดมิด มากจนแม้แต่มิติก็คงความเสถียรไว้ไม่ได้ บางครั้งเกิดรอยแตกกระจายออกมา…

ในช่วงครึ่งปีทั้งสองฝ่ายใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบและต่างสูญเสียเป็นอย่างมาก จนแม้แต่ผืนโลกยังถูกย้อมเป็นสีแดงฉานเพื่อแสดงถึงความโหดร้ายที่มี

เนื่องจากทวีปแห่งนี้ถูกใช้เป็นสนามรบสำคัญระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจจึงได้รับการตั้งชื่อว่าทวีปหลิงหมัว

หุบเหวไม่มีที่สิ้นสุดทอดยาวออกไปในทวีปซึ่งดูราวกับขากรรไกรปีศาจ ภายในเหวมีกระแสน้ำมหึมาพวยพุ่งขึ้นกระแทกโขดหินส่งเสียงเสียดแทงแก้วหูยิ่งนัก

ทวีปหลิงหมัวแห่งนี้มีปลายด้านหนึ่งเป็นดินแดนปีศาจ อีกด้านหนึ่งคือมหาพันภพ

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาสงคราม ณ ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติ ซึ่งหาได้ยากในทวีปซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดแดงฉานแห่งนี้

อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ดีว่านี่คือความเงียบสงบก่อนพายุทำลายล้างจะมา ซึ่งเป็นวันตัดสินชะตากรรมของมหาพันภพ…

หากพวกเขาผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้มหาพันภพก็จะแต่มีสันติสุข มิฉะนั้นทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยจักรวาลนี้จะถูกกดขี่และสังหาร ใช้ชีวิตอย่างโหดร้ายทารุณ

ดังนั้นในเวลานี้ทักษะลับนับไม่ถ้วนถูกงัดออกมา คลื่นหลิงก่อตัวเป็นกระจกฉายภาพสถานที่แห่งนี้ไปยังทุกมุมของมหาพันภพ

วันนี้ทุกคนในมหาพันภพเงยหน้าขึ้น กระจกมหึมาก่อตัวขึ้นเหนือทุกทวีปฉายภาพในทวีปหลิงหมัว

ทุกคนวางเรื่องในมือลงจ้องมองไปที่กระจกด้วยสายตาสั่นเทา เสียงสวดมนต์ดังสะท้อนออกมาอยู่ตลอดเวลา

พวกเขาภาวนาขอให้มหาพันภพประสบชัยชนะ

เมื่อทุกสายตาพุ่งผ่านกระจกก็สามารถมองเห็นทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว อัดแน่นไปด้วยรัศมีหลิงเข้มข้น ผู้คนมากมายทอดตัวออกไปสุดสายตา มากขนาดนี้ก็ยังมีผู้คนเร่งรุดมาเพิ่มอีก

เห็นได้ชัดว่าเหล่าจอมยุทธ์ในมหาพันภพต่างมารวมตัวกันที่ทวีปหลิงหมัว

ตรงข้ามกับทิศตะวันตกถูกครอบงำด้วยรัศมีปีศาจ ซึ่งเมฆปีศาจขนาดใหญ่และหนาทึบทอดยาวยังไปฟ้าดิน สายตาดุร้ายสามารถมองเห็นได้ราวกับว่าพวกมันเป็นอสูรกายที่คืบคลานออกมาจากขุมนรก นำพาความพินาศมาสู่โลก

 

ทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว

ณ จุดสูงสุดท่ามกลางความผันผวนของคลื่นหลิง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยืนเอามือไพล่หลัง เมื่อทุกคนที่มองไปยังร่างทั้งสองก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทพจักรพรรดิทั้งสองหยุดยั้งไม่ให้จักรวรรดิปีศาจเข้ามารุกรานมหาพันภพได้ สำหรับสุริยจักรวาลแห่งนี้ทั้งสองคือผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย

เหล่านายหญิงทั้งสองแคว้นพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

แต่ละคนสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะสายตาวิตกกังวลมองไปที่เผ่าปีศาจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและกระวนกระวายเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิ

ขณะทุกคนกระวนกระวายมาก หลินต้งและเซียวเหยียนก็ยังคงสงบนิ่ง ดวงตาลึกล้ำราวกับว่าสามารถทะลุผ่านห้วงมิติได้

“เวลาไม่รอท่าแท้จริง ถ้าเรามีเวลาอีกสักสามสิบปีก็คงสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ในเวลานั้นไม่ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิจะมีวิธีการเช่นไร เราก็สามารถปราบปรามมันได้” หลินต้งถอนหายใจด้วยความเสียใจ

เซียวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากมีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงอีกสามสิบปี พวกเขาก็สามารถเขียนชื่อเต็มบนทำเนียบเหนือภพได้แล้ว

ถึงเวลานั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลัวเทพปีศาจจักรพรรดิหน้าไหนอีก

ทว่าเทพปีศาจก็รู้สึกได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาพลิกสถานการณ์ไปได้

พร้อมกับความคิดที่เกิดขึ้น หลินต้งและเซียวเหยียนก็ถอนหายใจยาว พวกเขาไม่ได้กลัว แต่เพียงรู้สึกเสียใจเพราะอยู่ห่างจากจุดสุดยอดอีกก้าวเดียวเท่านั้น

“หืม?”

ทันใดนั้นทั้งสองก็หดตาพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่รัศมีปีศาจที่ไร้ขอบเขตทางทิศตะวันตก

เวลานี้ฉิงเทียน ชิงซัน จักรพรรดิมังกรแท้จริงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันของปีศาจที่ทำให้หายใจไม่ออกบีบกดลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มโลกทั้งใบเอาไว้

ภายใต้ความกดดันนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัว

กองทัพยิ่งใหญ่ของมหาพันภพตกอยู่ในความเงียบงันพร้อมกับความขนพองสยองเกล้าพล่านบนใบหน้า

“คารวะต่อท่านเทพปีศาจจักรพรรดิ!”

เผ่าปีศาจต่างๆ ส่งเสียงโห่ร้องขณะที่คุกเข่าลง

แม้แต่จอมปีศาจเซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าด้วยเช่นกัน สายตาโหดร้ายพุ่งตรงไปที่มหาพันภพ

พวกเขารู้ดีว่าการมาถึงของเทพปีศาจจักรพรรดิจะทำลายความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เมฆปีศาจพลุ่งพล่านภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้ากองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เปล่งประกายระยิบระยับด้วยรัศมีรอบตัว ไม่มีกลิ่นอายน่ากลัวใดๆ ที่เป็นของเผ่าปีศาจ ภายใต้รอยยิ้มช่างดูใจบุญสุนทานมากล้น

ทว่าดวงตาทั้งสามบนหน้าผากกลับแผดไอน่ากลัว เมื่อความสุดขั้วทั้งสองรวมเข้าด้วยกันก็ดูลึกลับยิ่งนัก

นี่ก็คือเทพปีศาจจักรพรรดิ

เทพปีศาจโบกมือ เสียงร้องร้อนแรงก็สงบลง เขามองไปที่หลินต้งเซียวและเหยียนพร้อมกับรอยยิ้ม “ห้าปีผันผ่าน ในที่สุดเราก็มาพบกันใหม่”

เสียงนี้ไม่ดังเลย แต่ทำให้ทวีปหลิงหมัวสั่นสะเทือนพร้อมกับคลื่นเสียงแผ่ออกไปข้ามขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าพังทลายลง

สีหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเย็นชาลงเช่นกันเมื่อหันไปมองเทพปีศาจด้วยดวงตาเฉียบคม

“เจ้าสองคนน่าทึ่งจริงๆ ถ้าข้าไม่มีรากฐานมาก่อนก็คงไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ดังนั้นหากเจ้าสองคนยอมรับตราประทับเทพปีศาจของข้าละก็ ข้าจะยอมปล่อยให้มหาพันภพดำรงอยู่ได้” เทพปีศาจมองไปที่หลินต้งและเซียวเหยียนขณะที่พูด

“เราไม่เคยเชื่อในความเมตตากรุณาของศัตรู” เซียวเหยียนยิ้ม

“นอกจากนี้ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะชนะสงครามครั้งนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เทพปีศาจก็ยิ้มไม่แยแส “เจ้าสองคนพัฒนาขึ้นอย่างแข็งแกร่งภายในห้าปี แต่อย่างที่ข้าพูดไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดข้าได้ เมื่อข้าได้เก้าเนตรกลับคืนมา”

พูดจบเขาก็ก้าวออกไป แรงกดดันปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาพร้อมกับเสาปีศาจนับล้านจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลืนกินแสงสว่างทั้งหมด

ภายในความมืด แรงกดดันปีศาจที่น่ากลัวแผ่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไม่รู้จบ

ฝั่งกองทัพมหาพันภพ ทุกคนตกอยู่ในความมืดขณะที่อุทานขึ้นด้วยความกลัว ความมืดนี้ดูเหมือนจะสามารถกัดกร่อนจิตใจของผู้คนได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังสั่นสะท้าน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้คนต้องเป็นบ้าแน่

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่มหาพันภพตกอยู่ในความโกลาหล เพลิงโชติช่วงขนาดใหญ่ก็ลุกโชนกลายเป็นดอกบัวหมุนรอบตัวช้าๆ เอิบอาบด้วยรัศมีขับไล่ความมืด

บนดอกบัวเรือนผมของเทพจักรพรรดิอัคคีพะเยิบพะยาบเบาๆ ขณะที่สาดสีหน้าเย็นชา

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันอักขระโบราณแปดตัวก็หมุนไปรอบ กลายเป็นวงแสงที่มีคลื่นขนาดใหญ่แผ่ออกมาเพื่อขับไล่ความมืด

เมื่อดอกบัวเพลิงและอักขระโบราณไหลเวียน ก็ยึดครองท้องฟ้าฝั่งหนึ่งและขับไล่ความมืดออกไป

อย่างไรก็ตามความมืดยังคงแผ่กระจายออกไปในท้องฟ้าส่วนใหญ่ กลืนกินแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะห่อหุ้มมหาพันภพไว้ในความมืดอีกครั้ง

พลังงานทั้งสองฝ่ายเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลา รัศมีวูบไหวระหว่างความสว่างและความมืด

ทุกคนในมหาพันภพมองไปที่ภาพนี้ด้วยอาการตัวสั่นเทา พวกเขาสวดอ้อนวอนไม่หยุด เนื่องจากรู้ว่าดอกบัวและอักขระพวกนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา

“อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว เจ้าสองคนหยุดข้าไม่ได้” เทพปีศาจมองดูอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ความมืดไร้ขอบเขตแผ่ออกไปเรื่อยๆ

ความมืดค่อยๆ กลืนกินแสงจากดอกบัวและอักขระโบราณ

ทุกคนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งหัวใจกับภาพเบื้องหน้าครรลองสายตา ‘เทพปีศาจจะชนะจริงหรือ?’

ทว่าตอนที่พวกเขากำลังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงผิดแผกก็ดังขึ้น เสียงหัวเราะสดใสดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

“ในเมื่อสองคนไม่พอ ก็เพิ่มอีกคนแล้วกัน…”

ทันทีที่เสียงนั้นดังก้อง ทุกคนก็เหลียวมองไปที่ด้านหลัง จากนั้นตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากพบว่ามีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกัน พลังเอกภพลึกลับพลิ้วลงมาก่อตัวเป็นม่านแสง…

“ทำเนียบเหนือภพ!”

เมื่อฉิงเทียน ชิงเหยี่ยนจิ้งและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อุทานด้วยความตื่นเต้น

“นั่นมู่เฉิน!”

“ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่และเรียกทำเนียบเหนือภพแล้ว!”

“เขากำลังจะเขียนชื่อลงไปแล้ว!”

พวกเขามองไปที่กระดานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ร่างเงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คือมู่เฉิน

ยามนี้มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานด้วยสองมือประสานกันค่อยๆ วางลงไป

ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนก็ดังก้องไปทั่วหล้า

“วันนี้ทำเนียบเหนือภพจะจารึกชื่อข้า”