“สามพันแดน หมายถึงอาณาเขตสามพันแห่งในแดนมกุฎ!”
“แต่ละอาณาเขตล้วนมีศุภโชคต่างกันไป!”
“แต่มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถดันตนขึ้นสู่สิบอันดับแรกในแต่ละอาณาเขตเท่านั้นถึงมีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบน พวกเจ้ารู้หรือไหม”
เจ้าคางคกพ่นน้ำลายแตกฟอง โจมตีท่าทีสบประมาทของหลินสวินและอาหลู่เพื่อล้างความอัปยศ ไม่ปกปิดซ่อนงำอีก พูดเรื่องที่ตนรู้ออกมาจนหมด
“มีเพียงเข้าสู่แดนเก้าบนถึงมีโอกาสดันตนขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า พวกเจ้ารู้ไหมล่ะ”
“ไม่รู้ล่ะสิ บอกพวกเจ้าได้เลยว่ามีแค่ในแดนเก้าบนจึงจะผนึกศุภโชคพลิกฟ้าที่แท้จริง พวกเจ้าคงเข้าใจสินะ”
“ไม่เข้าใจกระมัง เช่นนั้นพวกเจ้าคงรู้ว่าแดนเก้าบนถูกมองเป็น ‘แดนมกุฎหลอมโลหิต’ ภายในนั้นอันตรายมากแค่ไหนสินะ”
“คงยังไม่รู้กระมัง ดูท่าทางไม่ประสานั่นของพวกเจ้าสิ ต่างอะไรกับกบในกะลาที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
เจ้าคางคกยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล คำพูดยกตนข่มท่าน
หลินสวินและอาหลู่ต่างนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แม้เจ้าคางคกท่าทีกำเริบเสิบสานไปบ้าง แต่คำที่พูดล้วนมีแก่นสารสำคัญ
“ดังนั้นไม่รู้ก็ไม่ผิด ผิดที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าตัวเองเบาปัญญามากแค่ไหน!” เห็นดังนี้เจ้าคางคกได้ใจยิ่งกว่าเดิม น้ำลายกระเซ็นเกือบโดนหน้าทั้งคู่
“พี่ใหญ่ ท่านเห็นว่าอย่างไร” อาหลู่ใจฝ่ออยู่บ้าง ถูกท่าทีเจ้าคางคกทำให้หวาดหวั่น
คำตอบของหลินสวินนั้นง่ายมาก ซัดฝ่ามือหนึ่งลงท้ายทอยเจ้าคางคกตำหนิใส่โครมๆ “ในเมื่อเจ้ารู้มากขนาดนี้ ทำไมแต่ก่อนไม่ยอมพูด หากเจ้าบอกเร็วกว่านี้พวกเราจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้หรือ”
เจ้าคางคกเซถลา มือกุมท้ายทอย โกรธจนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดดำ “ไม่รู้ก็ตีคนอื่นได้ตามใจรึ”
เห็นสีหน้าหลินสวินไม่น่าดู เจ้าคางคกรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะๆ ข้ารับรองว่ายามมุ่งสู่แดนมกุฎจะเป็นตะเกียงนำทางให้พวกเจ้าเองพอใจไหม”
อาหลู่ยิ้มเยาะกล่าว “นำทางก็นำทางสิ ยังคุยโวเป็นตะเกียงอะไร คางคกเรื้อนอย่างเจ้านี่ไม่พูดยอตัวเองหน่อยจะตายรึ”
“ข้าจะฆ่าคนเถื่อนอย่างเจ้าซะ!”
เจ้าคางคกโกรธจนแผดเสียงพุ่งเข้าหาอาหลู่
คู่แค้นเปิดฉากตีกันอีกแล้ว
หลินสวินกลับลอบตัดสินใจว่าต้องหาเวลาจัดการเจ้าคางคกดีๆ สักหน่อย ในท้องเจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าซ่อนข้อมูลไว้ไม่น้อย แต่มักจะปิดบังอำพรางเสมอ ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย
‘ก็ไม่รู้ว่าจิ่งเซวียนจะรับปากออกเคลื่อนไหวพร้อมข้าหรือไม่…’ จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอันห่างไกล จมสู่ห้วงความคิด
…
จันทร์เคียวเกี่ยวฟ้า แขวนตัวสูงเหนือนภายามค่ำ
บนพื้นปฐพีโกรกธารหลากสายไขว้สลับ กลางฟ้าดินปราณกระบี่ครวญ เสริมความวังเวงให้รัตติกาล
กาๆ
อีกาตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาแต่ไกล
ทว่าทันทีที่ร่างมันเข้าใกล้ฟ้าดินแถบนี้ ก็ถูกปราณกระบี่ซึ่งทิ้งร่องรอยในอากาศเคล้นขยี้กลายเป็นหมอกโลหิต
บนพื้นร่างสือเจินทงสั่นเทา คล้ายใช้พลังที่มีจนหมดจึงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก…
เมื่อสายตามองไปยังเงาร่างอาภรณ์ขาวเหนือหิมะที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าก็เจือความหวาดกลัวและท้อแท้ลึกล้ำอย่างไม่อาจระงับ
คนผู้นี้ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้
สือเจินทงคือสัตว์ประหลาดยุคโบราณของเผ่าสิงห์ค่อม ไม่นานมานี้เพิ่งปรากฏตัวบนโลก เคยเอาชนะผู้กล้าทรงอิทธิผลแห่งยุคสิบเก้าคนในสามวัน สร้างชื่อเสียงเลื่องลือสะเทือนเขตแดนฝั่งหนึ่ง
พรสวรรค์เขาโดดเด่น ทรงพลังไร้จำกัด ฝึก ‘เคล็ดวิชาย้ายภูผา’ ของเผ่าสิงห์ค่อม ในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณถือเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง
แต่วันนี้เขากลับพ่ายแพ้
แพ้ภายใต้สามกระบี่!
หรือพูดได้ว่าเขาต้านไม่ได้แม้แต่สามกระบี่ ถูกกำราบโดยสมบูรณ์!
สือเจินทงในตอนนี้บนร่างมีรอยกระบี่สามสาย
รอยหนึ่งอยู่ที่อก เหยียดยาวจากลำคอถึงสะดือ บาดแผลหนึ่งชุ่น ผิวปริเนื้อแตกหลั่งเลือดแดงสด
รอยหนึ่งอยู่ตรงแผ่นหลัง เป็นรอยแผลตัดขวางลึกหนึ่งชุ่น ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย
ที่น่าตะลึงที่สุดคือรอยกระบี่สุดท้ายตรงคอหอย ยังมีขนาดเพียงหนึ่งชุ่น นี่คือรอยกระบี่ที่ถูกแทงในคราเดียว!
หากแทงทะลุอีกหน่อยต้องสิ้นชีพในกระบี่เดียวแน่!
บาดแผลเหล่านี้ดูเหมือนไม่สาหัส แต่กลับมอบการโจมตีหนักหน่วงอย่างไม่มีอะไรเหนือกว่าให้แก่สือเจินทง เกือบทำให้จิตมรรคเขาพังทลาย
เพราะเขารู้ชัดว่าหากอีกฝ่ายคิดฆ่าเขา แค่กระบี่เดียวก็สามารถปลิดชีพเขาได้!
และด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกท้อแท้และหวาดกลัว
ในฐานะสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง สือเจินทงไม่เคยคิดมาก่อนว่าในระดับเดียวกันพลังต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามจะน่ากลัวเช่นนี้!
“ข้าแพ้แล้ว”
สือเจินทงหดหู่ ความเชื่อมั่นถูกกระเทือนอย่างหนัก จิตต่อสู้ถดถอย เขารู้ว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้ทิ้งเงามืดที่ไม่อาจลบเลือนแก่เขาแล้ว!
จากนั้นเขายืนขึ้นก้าวเดินกะเผลกห่างออกไป เงาร่างโดดเดี่ยว แววตาเลื่อนลอย อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้นี้ ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้
หากถูกผู้ฝึกปราณอื่นเห็นเข้าเกรงว่าคงไม่อาจจินตนาการ ว่านี่คือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ชื่อเสียงโจษจันในช่วงนี้
จันทราดั่งสายธนู เฉียบคมดุจเคียว สาดแสงเย็นลงมา
มองส่งอีกฝ่ายจากไป อวิ๋นชิ่งไป๋กลับถอนใจเบาๆ คล้ายไม่พอใจรวมถึงรู้สึกไร้รสชาติอยู่บ้าง
เขายกมือสะบัดคราหนึ่ง กระบี่โบราณในมือพลันโฉบออก
ข้ากระบี่ที่ริมฝีปากแดงฟันขาว รูปงามแคล่วคล่องคนหนึ่งปรากฏตัว รับกระบี่โบราณเล่มนี้ด้วยสองมือ จากนั้นจึงเก็บเข้าฝักกระบี่บนหลังอย่างระวัง
จากนั้นข้ากระบี่จึงเอ่ยกล่าว “ขอแสดงความยินดีที่คุณชายชนะศึก กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งพ่ายในวันนี้ กลายเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนแรกที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ในช่วงนี้!”
เสียงฉะฉานเปี่ยมความเคารพเลื่อมใสอย่างเห็นได้ชัด
“ต่อไปวาจาเช่นนี้อย่าได้พูดอีก คู่ต่อสู้ไม่ได้เรื่องคนหนึ่งไม่มีอะไรคู่ควรให้ยินดี”
น้ำเสียงอวิ๋นชิ่งไป๋ราบเรียบ เขาเอามือไพล่หลัง อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว หันหลังมุ่งไปยังที่ห่างไกล
เห็นดังนี้ข้ากระบี่ยิ่งเทิดทูนกว่าเดิม รู้สึกได้รางๆ ว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่ายอดฝีมือเดียวดาย คุณชายได้ยืนหยัดเหนือมกุฎแล้ว ผู้ที่พอเป็นคู่ต่อสู้ได้มีเพียงบางตาไม่กี่คน!
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวปรากฏตัวในเมืองแห่งหนึ่งยามรุ่งเช้า
“คู่ต่อสู้คนต่อไปเป็นใคร”
อวิ๋นชิ่งไป๋ถาม
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งของสำนักกระบี่เมฆาเหิน นาม…”
ไม่รอข้ากระบี่พูดจบ อวิ๋นชิ่งไป๋ก็ตัดบทกล่าว “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง บอกข้ามาว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“หุบเขาเจียวมรกตขอรับ”
ข้ากระบี่รีบแจ้งชื่อสถานที่หนึ่ง
อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้า เขาปิดด่านมาสิบปีแล้ว เก็บตัวเงียบมาสิบปี
บัดนี้ปรากฏตัวบนโลก ผู้ฝึกปราณไม่น้อยในปัจจุบันต่างคิดว่าเขามีคู่ต่อสู้แล้ว หาใช่บุคคลที่ไร้คู่ต่อกรใต้ระดับราชันเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีก
ถึงขั้นมีคนคิดว่าเขาเทียบสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางส่วนไม่ได้!
อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่โต้แย้ง แต่เข้าสู่โลกโดยตรง วางแผนเลือกสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนมาลองกระบี่
ทั้งสองมาถึงใจกลางเมืองโดยไม่รู้ตัว ที่นี่ต้นข่าวสารต้นหนึ่งเด่นตระหง่าน แม้เป็นยามเช้าตรู่แต่บริเวณนี้ก็ห้อมล้อมด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณนานแล้ว
“เป็นข่าวใหญ่ชวนตะลึงดังคาด! ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัวก็กำราบจินเซี่ยวหมิงอย่างแข็งกร้าว สังหารจนเขาหนีหัวซุกหัวซุน ช่างทำให้ผู้คนสะใจจริง!”
“จินเซี่ยวหมิงสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่น่าเกรงขามกลับรักษาไม่ได้แม้แต่ร่างแยก ถูกเทพมารหลินตุ๋นเป็นน้ำแกงงูหม้อหนึ่งกินไปแล้ว บทสรุปนี้ช่างน่าอนาถนัก”
“ใครเล่าจะคาดคิด ว่าผู้ที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้เป็นคนแรกจะเป็นเทพมารหลิน”
ฝูงชนฮือฮากำลังวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
อวิ๋นชิ่งไป๋ชะงักเท้า สีหน้าราบเรียบ เหลือบสายตาไปยังต้นข่าวสาร
ที่นั่นมีข่าวใหม่ล่าสุด บันทึกถึงเหตุการณ์ที่หลินสวินเอาชนะจินเซี่ยวหมิงในงานชุมนุมพันกระแส
“น่าชังนัก!” ข้ากระบี่ที่อยู่ด้านข้างเดือดดาล
จากมุมมองเขาอวิ๋นชิ่งไป๋คือคนแรกที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินชิงตัดหน้า นี่ทำให้เขายากยอมรับอยู่บ้างทันที
อวิ๋นชิ่งไป๋พลันกล่าว “เจ้ายังจำคำข้าได้กระมัง”
ข้ากระบี่ชะงักไป จากนั้นจึงรู้ตัวพยักหน้ากล่าว “จำได้ขอรับ คุณชายเคยพูดว่าไม่ว่าหลินสวินนี่เป็นใคร ท่านจะปลิดชีพมันด้วยตัวเองเพื่อล้างความอัปยศทั้งมวลที่สำนักได้รับ”
อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้า “ตอนนี้เขาปรากฏตัวแล้ว ก็ช่วยข้าจับตาดูร่องรอยของเขาหน่อย”
ข้ากระบี่พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที รู้ว่าเจ้านายคิดสังหารหลินสวินนั่นแล้ว!
“ท่านปู่หยวน ในที่สุดเจ้าหมอนี่ก็ปรากฏตัวแล้ว!”
ทันใดนั้นละแวกใกล้เคียงมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น
อวิ๋นชิ่งไป๋เงยมองไปก็เห็นว่าคนที่เอ่ยปากคือเด็กหนุ่มชุดไหมคนหนึ่ง คิ้วกระบี่เนตรดารา รูปงามโดดเด่น หยัดยืนอยู่ตรงนั้นราวกับกระเรียนในฝูงระกา
ทว่าเวลานี้หว่างคิ้วเด็กหนุ่มเปี่ยมไอสังหาร ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหด คนนอกอาจมองอะไรไม่ออก แต่อวิ๋นชิ่งไป๋กลับสังเกตเห็นในชั่วพริบตาว่าเด็กหนุ่มนี่ไม่ธรรมดายิ่ง!
“มองอะไร!”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุดไหมหันขวับ นัยน์ตาสว่างจ้าดุจคมดาบไร้เทียมทานกวาดมองอวิ๋นชิ่งไป๋ คล้ายอยากเลือกคนมากัด
ข้ากระบี่สีหน้าขรึมลงทันที เมื่อไหร่กันที่บนโลกมีคนกล้าพูดจากับคุณชายเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักกลัวตาย!
ทว่าไม่รอให้ข้ากระบี่เอ่ยปาก อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เก็บสายตาคืนมา กล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
เขาพูดพลางหันหลังจากไป
ข้ากระบี่ชะงักไปคล้ายยากจะเชื่อ สงสัยนักว่าเหตุใดคุณชายถึงอดกลั้น
แต่สุดท้ายเขาไม่กล้าถาม เพียงปราดมองเด็กหนุ่มชุดไหมนั่นอีกครา จดจำรูปร่างลักษณะของอีกฝ่ายไว้แม่นยำแล้วจึงหันหลังตามอวิ๋นชิ่งไป๋ไป
เด็กหนุ่มชุดไหมเองก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็นชา
“คุณชายน้อย ต่อไปหากเจอชายชุดขาวนั่นที่แดนมกุฎถอยได้ก็ถอย หากต้องเป็นศัตรูก็สู้ให้เต็มกำลัง อย่าได้ยั้งมือแม้เพียงเสี้ยว”
วานรเฒ่าชุดเขียวตนหนึ่งปรากฏตัวด้านข้าง น้ำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมประสบการณ์
“เพราะเหตุใด” เด็กหนุ่มชุดไหมมุ่นคิ้ว
“เจ้าหนูนี่ยืนอยู่บนยอดมกุฎ ร่างกายดุจกระบี่ซ่อนคม ภัยคุกคามมากเกินไป”
วานรเฒ่าชุดเขียวแววตาล้ำลึกกล่าวเตือน “สาเหตุที่เขาจากไปก็แค่สังเกตเห็นข้าน้อยอยู่ด้านข้าง มิใช่ว่าหวาดกลัวการต่อสู้”
เด็กหนุ่มชุดไหมคิ้วขมวด สีหน้าวูบไหวไม่หยุด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกลับคืนความสงบ เหลือบสายตาไปยังต้นข่าวสารที่ห่างไกลแล้วกล่าว “ไม่พูดถึงเขาแล้ว ท่านปู่หยวน ท่านก็เห็นแล้วว่าเจ้าคนที่ชื่อหลินสวินนั่นปรากฏตัวแล้ว!”
วานรเฒ่าชุดเขียวเอ่ยรับคำหนึ่ง กล่าวเจืออาการทอดถอนใจ “ปีนั้นที่เกาะอริยะปัญจธาตุ ข้าก็สังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าหนูนี่ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะมีความสามารถล้ำลึกผิดธรรมดาเช่นนี้บนมกุฎมรรคาแล้ว คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อนดังคาด”
เด็กหนุ่มชุดไหมไม่พอใจทันที “ท่านปู่หยวน ปีนั้นเขากับคนอื่นๆ บุกเข้ามาในสถานที่จำศีลหลอมปราณของข้า ชิงยอดคัมภีร์มรรค ‘เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’ ของข้าไป! โจรถ่อยเช่นนี้ต้องกำจัดให้สิ้นทันที เหตุใดท่านยังชมมันอยู่ได้”
……………….