ตอนที่ 1124 วานรเฒ่ากับคุณชายน้อย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

“สามพันแดน หมายถึงอาณาเขตสามพันแห่งในแดนมกุฎ!”

“แต่ละอาณาเขตล้วนมีศุภโชคต่างกันไป!”

“แต่มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถดันตนขึ้นสู่สิบอันดับแรกในแต่ละอาณาเขตเท่านั้นถึงมีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบน พวกเจ้ารู้หรือไหม”

เจ้าคางคกพ่นน้ำลายแตกฟอง โจมตีท่าทีสบประมาทของหลินสวินและอาหลู่เพื่อล้างความอัปยศ ไม่ปกปิดซ่อนงำอีก พูดเรื่องที่ตนรู้ออกมาจนหมด

“มีเพียงเข้าสู่แดนเก้าบนถึงมีโอกาสดันตนขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า พวกเจ้ารู้ไหมล่ะ”

“ไม่รู้ล่ะสิ บอกพวกเจ้าได้เลยว่ามีแค่ในแดนเก้าบนจึงจะผนึกศุภโชคพลิกฟ้าที่แท้จริง พวกเจ้าคงเข้าใจสินะ”

“ไม่เข้าใจกระมัง เช่นนั้นพวกเจ้าคงรู้ว่าแดนเก้าบนถูกมองเป็น ‘แดนมกุฎหลอมโลหิต’ ภายในนั้นอันตรายมากแค่ไหนสินะ”

“คงยังไม่รู้กระมัง ดูท่าทางไม่ประสานั่นของพวกเจ้าสิ ต่างอะไรกับกบในกะลาที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

เจ้าคางคกยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล คำพูดยกตนข่มท่าน

หลินสวินและอาหลู่ต่างนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แม้เจ้าคางคกท่าทีกำเริบเสิบสานไปบ้าง แต่คำที่พูดล้วนมีแก่นสารสำคัญ

“ดังนั้นไม่รู้ก็ไม่ผิด ผิดที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าตัวเองเบาปัญญามากแค่ไหน!” เห็นดังนี้เจ้าคางคกได้ใจยิ่งกว่าเดิม น้ำลายกระเซ็นเกือบโดนหน้าทั้งคู่

“พี่ใหญ่ ท่านเห็นว่าอย่างไร” อาหลู่ใจฝ่ออยู่บ้าง ถูกท่าทีเจ้าคางคกทำให้หวาดหวั่น

คำตอบของหลินสวินนั้นง่ายมาก ซัดฝ่ามือหนึ่งลงท้ายทอยเจ้าคางคกตำหนิใส่โครมๆ “ในเมื่อเจ้ารู้มากขนาดนี้ ทำไมแต่ก่อนไม่ยอมพูด หากเจ้าบอกเร็วกว่านี้พวกเราจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้หรือ”

เจ้าคางคกเซถลา มือกุมท้ายทอย โกรธจนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดดำ “ไม่รู้ก็ตีคนอื่นได้ตามใจรึ”

เห็นสีหน้าหลินสวินไม่น่าดู เจ้าคางคกรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะๆ ข้ารับรองว่ายามมุ่งสู่แดนมกุฎจะเป็นตะเกียงนำทางให้พวกเจ้าเองพอใจไหม”

อาหลู่ยิ้มเยาะกล่าว “นำทางก็นำทางสิ ยังคุยโวเป็นตะเกียงอะไร คางคกเรื้อนอย่างเจ้านี่ไม่พูดยอตัวเองหน่อยจะตายรึ”

“ข้าจะฆ่าคนเถื่อนอย่างเจ้าซะ!”

เจ้าคางคกโกรธจนแผดเสียงพุ่งเข้าหาอาหลู่

คู่แค้นเปิดฉากตีกันอีกแล้ว

หลินสวินกลับลอบตัดสินใจว่าต้องหาเวลาจัดการเจ้าคางคกดีๆ สักหน่อย ในท้องเจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าซ่อนข้อมูลไว้ไม่น้อย แต่มักจะปิดบังอำพรางเสมอ ไม่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย

‘ก็ไม่รู้ว่าจิ่งเซวียนจะรับปากออกเคลื่อนไหวพร้อมข้าหรือไม่…’ จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอันห่างไกล จมสู่ห้วงความคิด

จันทร์เคียวเกี่ยวฟ้า แขวนตัวสูงเหนือนภายามค่ำ

บนพื้นปฐพีโกรกธารหลากสายไขว้สลับ กลางฟ้าดินปราณกระบี่ครวญ เสริมความวังเวงให้รัตติกาล

กาๆ

อีกาตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาแต่ไกล

ทว่าทันทีที่ร่างมันเข้าใกล้ฟ้าดินแถบนี้ ก็ถูกปราณกระบี่ซึ่งทิ้งร่องรอยในอากาศเคล้นขยี้กลายเป็นหมอกโลหิต

บนพื้นร่างสือเจินทงสั่นเทา คล้ายใช้พลังที่มีจนหมดจึงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก…

เมื่อสายตามองไปยังเงาร่างอาภรณ์ขาวเหนือหิมะที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าก็เจือความหวาดกลัวและท้อแท้ลึกล้ำอย่างไม่อาจระงับ

คนผู้นี้ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

สือเจินทงคือสัตว์ประหลาดยุคโบราณของเผ่าสิงห์ค่อม ไม่นานมานี้เพิ่งปรากฏตัวบนโลก เคยเอาชนะผู้กล้าทรงอิทธิผลแห่งยุคสิบเก้าคนในสามวัน สร้างชื่อเสียงเลื่องลือสะเทือนเขตแดนฝั่งหนึ่ง

พรสวรรค์เขาโดดเด่น ทรงพลังไร้จำกัด ฝึก ‘เคล็ดวิชาย้ายภูผา’ ของเผ่าสิงห์ค่อม ในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณถือเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง

แต่วันนี้เขากลับพ่ายแพ้

แพ้ภายใต้สามกระบี่!

หรือพูดได้ว่าเขาต้านไม่ได้แม้แต่สามกระบี่ ถูกกำราบโดยสมบูรณ์!

สือเจินทงในตอนนี้บนร่างมีรอยกระบี่สามสาย

รอยหนึ่งอยู่ที่อก เหยียดยาวจากลำคอถึงสะดือ บาดแผลหนึ่งชุ่น ผิวปริเนื้อแตกหลั่งเลือดแดงสด

รอยหนึ่งอยู่ตรงแผ่นหลัง เป็นรอยแผลตัดขวางลึกหนึ่งชุ่น ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

ที่น่าตะลึงที่สุดคือรอยกระบี่สุดท้ายตรงคอหอย ยังมีขนาดเพียงหนึ่งชุ่น นี่คือรอยกระบี่ที่ถูกแทงในคราเดียว!

หากแทงทะลุอีกหน่อยต้องสิ้นชีพในกระบี่เดียวแน่!

บาดแผลเหล่านี้ดูเหมือนไม่สาหัส แต่กลับมอบการโจมตีหนักหน่วงอย่างไม่มีอะไรเหนือกว่าให้แก่สือเจินทง เกือบทำให้จิตมรรคเขาพังทลาย

เพราะเขารู้ชัดว่าหากอีกฝ่ายคิดฆ่าเขา แค่กระบี่เดียวก็สามารถปลิดชีพเขาได้!

และด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกท้อแท้และหวาดกลัว

ในฐานะสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง สือเจินทงไม่เคยคิดมาก่อนว่าในระดับเดียวกันพลังต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามจะน่ากลัวเช่นนี้!

“ข้าแพ้แล้ว”

สือเจินทงหดหู่ ความเชื่อมั่นถูกกระเทือนอย่างหนัก จิตต่อสู้ถดถอย เขารู้ว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้ทิ้งเงามืดที่ไม่อาจลบเลือนแก่เขาแล้ว!

จากนั้นเขายืนขึ้นก้าวเดินกะเผลกห่างออกไป เงาร่างโดดเดี่ยว แววตาเลื่อนลอย อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้นี้ ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้

หากถูกผู้ฝึกปราณอื่นเห็นเข้าเกรงว่าคงไม่อาจจินตนาการ ว่านี่คือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ชื่อเสียงโจษจันในช่วงนี้

จันทราดั่งสายธนู เฉียบคมดุจเคียว สาดแสงเย็นลงมา

มองส่งอีกฝ่ายจากไป อวิ๋นชิ่งไป๋กลับถอนใจเบาๆ คล้ายไม่พอใจรวมถึงรู้สึกไร้รสชาติอยู่บ้าง

เขายกมือสะบัดคราหนึ่ง กระบี่โบราณในมือพลันโฉบออก

ข้ากระบี่ที่ริมฝีปากแดงฟันขาว รูปงามแคล่วคล่องคนหนึ่งปรากฏตัว รับกระบี่โบราณเล่มนี้ด้วยสองมือ จากนั้นจึงเก็บเข้าฝักกระบี่บนหลังอย่างระวัง

จากนั้นข้ากระบี่จึงเอ่ยกล่าว “ขอแสดงความยินดีที่คุณชายชนะศึก กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งพ่ายในวันนี้ กลายเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนแรกที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ในช่วงนี้!”

เสียงฉะฉานเปี่ยมความเคารพเลื่อมใสอย่างเห็นได้ชัด

“ต่อไปวาจาเช่นนี้อย่าได้พูดอีก คู่ต่อสู้ไม่ได้เรื่องคนหนึ่งไม่มีอะไรคู่ควรให้ยินดี”

น้ำเสียงอวิ๋นชิ่งไป๋ราบเรียบ เขาเอามือไพล่หลัง อาภรณ์ขาวพลิ้วไหว หันหลังมุ่งไปยังที่ห่างไกล

เห็นดังนี้ข้ากระบี่ยิ่งเทิดทูนกว่าเดิม รู้สึกได้รางๆ ว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่ายอดฝีมือเดียวดาย คุณชายได้ยืนหยัดเหนือมกุฎแล้ว ผู้ที่พอเป็นคู่ต่อสู้ได้มีเพียงบางตาไม่กี่คน!

หนึ่งนายหนึ่งบ่าวปรากฏตัวในเมืองแห่งหนึ่งยามรุ่งเช้า

“คู่ต่อสู้คนต่อไปเป็นใคร”

อวิ๋นชิ่งไป๋ถาม

“สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งของสำนักกระบี่เมฆาเหิน นาม…”

ไม่รอข้ากระบี่พูดจบ อวิ๋นชิ่งไป๋ก็ตัดบทกล่าว “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง บอกข้ามาว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน”

“หุบเขาเจียวมรกตขอรับ”

ข้ากระบี่รีบแจ้งชื่อสถานที่หนึ่ง

อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้า เขาปิดด่านมาสิบปีแล้ว เก็บตัวเงียบมาสิบปี

บัดนี้ปรากฏตัวบนโลก ผู้ฝึกปราณไม่น้อยในปัจจุบันต่างคิดว่าเขามีคู่ต่อสู้แล้ว หาใช่บุคคลที่ไร้คู่ต่อกรใต้ระดับราชันเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีก

ถึงขั้นมีคนคิดว่าเขาเทียบสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางส่วนไม่ได้!

อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่โต้แย้ง แต่เข้าสู่โลกโดยตรง วางแผนเลือกสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนมาลองกระบี่

ทั้งสองมาถึงใจกลางเมืองโดยไม่รู้ตัว ที่นี่ต้นข่าวสารต้นหนึ่งเด่นตระหง่าน แม้เป็นยามเช้าตรู่แต่บริเวณนี้ก็ห้อมล้อมด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณนานแล้ว

“เป็นข่าวใหญ่ชวนตะลึงดังคาด! ทันทีที่เทพมารหลินปรากฏตัวก็กำราบจินเซี่ยวหมิงอย่างแข็งกร้าว สังหารจนเขาหนีหัวซุกหัวซุน ช่างทำให้ผู้คนสะใจจริง!”

“จินเซี่ยวหมิงสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่น่าเกรงขามกลับรักษาไม่ได้แม้แต่ร่างแยก ถูกเทพมารหลินตุ๋นเป็นน้ำแกงงูหม้อหนึ่งกินไปแล้ว บทสรุปนี้ช่างน่าอนาถนัก”

“ใครเล่าจะคาดคิด ว่าผู้ที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้เป็นคนแรกจะเป็นเทพมารหลิน”

ฝูงชนฮือฮากำลังวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด

อวิ๋นชิ่งไป๋ชะงักเท้า สีหน้าราบเรียบ เหลือบสายตาไปยังต้นข่าวสาร

ที่นั่นมีข่าวใหม่ล่าสุด บันทึกถึงเหตุการณ์ที่หลินสวินเอาชนะจินเซี่ยวหมิงในงานชุมนุมพันกระแส

“น่าชังนัก!” ข้ากระบี่ที่อยู่ด้านข้างเดือดดาล

จากมุมมองเขาอวิ๋นชิ่งไป๋คือคนแรกที่กำราบสัตว์ประหลาดยุคโบราณได้ แต่ตอนนี้กลับถูกเทพมารหลินชิงตัดหน้า นี่ทำให้เขายากยอมรับอยู่บ้างทันที

อวิ๋นชิ่งไป๋พลันกล่าว “เจ้ายังจำคำข้าได้กระมัง”

ข้ากระบี่ชะงักไป จากนั้นจึงรู้ตัวพยักหน้ากล่าว “จำได้ขอรับ คุณชายเคยพูดว่าไม่ว่าหลินสวินนี่เป็นใคร ท่านจะปลิดชีพมันด้วยตัวเองเพื่อล้างความอัปยศทั้งมวลที่สำนักได้รับ”

อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้า “ตอนนี้เขาปรากฏตัวแล้ว ก็ช่วยข้าจับตาดูร่องรอยของเขาหน่อย”

ข้ากระบี่พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที รู้ว่าเจ้านายคิดสังหารหลินสวินนั่นแล้ว!

“ท่านปู่หยวน ในที่สุดเจ้าหมอนี่ก็ปรากฏตัวแล้ว!”

ทันใดนั้นละแวกใกล้เคียงมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น

อวิ๋นชิ่งไป๋เงยมองไปก็เห็นว่าคนที่เอ่ยปากคือเด็กหนุ่มชุดไหมคนหนึ่ง คิ้วกระบี่เนตรดารา รูปงามโดดเด่น หยัดยืนอยู่ตรงนั้นราวกับกระเรียนในฝูงระกา

ทว่าเวลานี้หว่างคิ้วเด็กหนุ่มเปี่ยมไอสังหาร ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหด คนนอกอาจมองอะไรไม่ออก แต่อวิ๋นชิ่งไป๋กลับสังเกตเห็นในชั่วพริบตาว่าเด็กหนุ่มนี่ไม่ธรรมดายิ่ง!

“มองอะไร!”

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุดไหมหันขวับ นัยน์ตาสว่างจ้าดุจคมดาบไร้เทียมทานกวาดมองอวิ๋นชิ่งไป๋ คล้ายอยากเลือกคนมากัด

ข้ากระบี่สีหน้าขรึมลงทันที เมื่อไหร่กันที่บนโลกมีคนกล้าพูดจากับคุณชายเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักกลัวตาย!

ทว่าไม่รอให้ข้ากระบี่เอ่ยปาก อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เก็บสายตาคืนมา กล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

เขาพูดพลางหันหลังจากไป

ข้ากระบี่ชะงักไปคล้ายยากจะเชื่อ สงสัยนักว่าเหตุใดคุณชายถึงอดกลั้น

แต่สุดท้ายเขาไม่กล้าถาม เพียงปราดมองเด็กหนุ่มชุดไหมนั่นอีกครา จดจำรูปร่างลักษณะของอีกฝ่ายไว้แม่นยำแล้วจึงหันหลังตามอวิ๋นชิ่งไป๋ไป

เด็กหนุ่มชุดไหมเองก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็นชา

“คุณชายน้อย ต่อไปหากเจอชายชุดขาวนั่นที่แดนมกุฎถอยได้ก็ถอย หากต้องเป็นศัตรูก็สู้ให้เต็มกำลัง อย่าได้ยั้งมือแม้เพียงเสี้ยว”

วานรเฒ่าชุดเขียวตนหนึ่งปรากฏตัวด้านข้าง น้ำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมประสบการณ์

“เพราะเหตุใด” เด็กหนุ่มชุดไหมมุ่นคิ้ว

“เจ้าหนูนี่ยืนอยู่บนยอดมกุฎ ร่างกายดุจกระบี่ซ่อนคม ภัยคุกคามมากเกินไป”

วานรเฒ่าชุดเขียวแววตาล้ำลึกกล่าวเตือน “สาเหตุที่เขาจากไปก็แค่สังเกตเห็นข้าน้อยอยู่ด้านข้าง มิใช่ว่าหวาดกลัวการต่อสู้”

เด็กหนุ่มชุดไหมคิ้วขมวด สีหน้าวูบไหวไม่หยุด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกลับคืนความสงบ เหลือบสายตาไปยังต้นข่าวสารที่ห่างไกลแล้วกล่าว “ไม่พูดถึงเขาแล้ว ท่านปู่หยวน ท่านก็เห็นแล้วว่าเจ้าคนที่ชื่อหลินสวินนั่นปรากฏตัวแล้ว!”

วานรเฒ่าชุดเขียวเอ่ยรับคำหนึ่ง กล่าวเจืออาการทอดถอนใจ “ปีนั้นที่เกาะอริยะปัญจธาตุ ข้าก็สังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าหนูนี่ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะมีความสามารถล้ำลึกผิดธรรมดาเช่นนี้บนมกุฎมรรคาแล้ว คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อนดังคาด”

เด็กหนุ่มชุดไหมไม่พอใจทันที “ท่านปู่หยวน ปีนั้นเขากับคนอื่นๆ บุกเข้ามาในสถานที่จำศีลหลอมปราณของข้า ชิงยอดคัมภีร์มรรค ‘เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’ ของข้าไป! โจรถ่อยเช่นนี้ต้องกำจัดให้สิ้นทันที เหตุใดท่านยังชมมันอยู่ได้”

……………….