ตอนที่ 1009 อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหลักปรัชญา

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

“…คาดการณ์อนาคตเหรอ”

เพเรลมานลูบคางตัวเองและขมวดคิ้วขณะที่พูด “แล้วนั่นมันเกี่ยวอะไรกับคณิตศาสตร์”

ชูลทซ์พยักหน้าและพูดกับอัลเบิร์ตด้วยท่าทีสับสน “ขอโทษนะ แต่มันฟังดูเหมือนออกมาจากละครเลย”

“แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์! ” อัลเบิร์ตพูดด้วยความตื่นเต้น “เราจะทำนายอนาคตโดยการใช้หลักคณิตศาสตร์”

อพาร์ตเม้นต์เงียบลงอีกครั้ง

ครุกแมนแสดงท่าทางให้อัลเบิร์ตนั่งลง แต่อัลเบิร์ตไม่สนใจ อัลเบิร์ตยังคงจ้องเพเรลมานต่อ

แต่…

ความหวังของเขาพังทลาย

ไม่เพียงแค่เพเรลมาน แต่ชูลทซ์เองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ

ราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องคนบ้าอยู่…

“ผมคิดว่าคุณเพ้อฝันมากไป”

ชูลทซ์กระแอมและทำลายความเงียบ เขาพูดต่อ “การทำนายอนาคตไม่ใช่หัวข้อคณิตศาสตร์ ผมไม่คิดว่ามันอยู่ภายใต้หลักฟิสิกส์ด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปรัชญา เพราะสุดท้ายแล้วมันมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรแน่นอนเลย ถ้าวันนี้ฝนตก ผมก็อาจจะไม่ได้มาที่นี่ก็ได้”

“แต่สภาพอากาศสามารถพยากรณ์กันได้! เส้นทางของคนไม่สามารถทำนายได้แต่กลุ่มคนทำนายได้ ลองดูอย่างการพยากรณ์การจราจรของนครนิวยอร์กและอากาศในช่วงห้าปีที่ผ่านมาสิ”

อัลเบิร์ตพูดต่อด้วยความมั่นใจ “มนุษย์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอนุภาคที่ลอยอยู่ในน้ำ เราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือสิ่งที่รบกวนเราไม่ใช่การปะทะกันของอะตอมแต่เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านเซลล์ประสาทที่ควบคุมการกระทำของเรา

“มีเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถติดตามกิจกรรมของมนุษย์ เช่นอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์โทรศัพท์ ถ้าเราวิเคราะห์ข้อมูลที่มีทั้งหมดได้ เราก็สามารถคาดการณ์ได้ไกลกว่าเรื่องที่น่าเบื่ออย่าง จำนวนคนที่เห็นโฆษณา เราสามารถคาดการณ์อนาคตได้ไกลสิบนาที สิบวัน หรือแม้กระทั่งสิบปี

“คุณไม่คิดว่ามันฟังดูน่าตื่นเต้นเหรอ”

ศาสตราจารย์ครุกแมนเริ่มปรบมือ

แต่เขาเป็นคนเดียวที่ปรบมือ

ทั้งเพเรลมานและชูลทซ์ดูสับสนงุนงง

แม้แต่ตัวลู่โจวเองก็ตกตะลึง เขาจำได้ว่าเขาเคยถกเถียงถึงปัญหาที่คล้ายกันนี้กับศาสตราจารย์ครุกแมนตอนอยู่เซี่ยงไฮ้

นั่นก็คือความเป็นไปได้ในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมทางสังคมและความสามารถในการผลิตขนาดใหญ่

“ฟังดูน่าสนใจดีครับ” ลู่โจวพูด เขาพูดต่อ “มันทำให้ผมนึกถึงประวัติศาสตร์จิตวิทยาของอสิมอฟ คุณนำทฤษฎีนี้มาจากสิ่งนี้ใช่ไหม”

“ไม่! ทฤษฎีของผมมาจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ โอเค ผมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากอสิมอฟนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้พูดถึงนิยายแฟนตาซีนะ นี่คือปัญหาทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่! “

“โอเค สมมุติว่าพฤติกรรมกลุ่มของมนุษย์เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ แต่แล้วอย่างไร” ชูลทซ์ขมวดคิ้วและพูด “แม้แต่พฤติกรรมของคุณเองหรือแม้แต่การสังเกตการณ์เองก็ส่งผลต่อการทดลอง มันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายและแทบจะเป็นไปไม่ได้”

“พระเจ้า แล้วจะทำวิจัยเรื่องทวิภาคคลื่นอนุภาคไปเพื่ออะไร คุณไม่คิดเหรอว่าการคาดการณ์อนาคตเป็นโปรเจกต์งานวิจัยที่น่าตื่นเต้น ถ้าเราจะพิสูจน์ได้ว่าการคาดการณ์อนาคตเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ชื่อของเราจะอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์”

ชัดเจนว่าอัลเบิร์ตและครุกแมนมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อชักชวนเพเรลมานให้ร่วมทีมวิจัยของพวกเขา

นักวิชาการอย่างเพเรลมานเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพวกเขาเรื่องโปรเจกต์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพเรลมานดูเหมือนจะเป็นคนที่ชักจูงได้ง่าย

เหตุผลที่เขาแก้ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเรก็เพราะเขาคุยกับแฮมิลตันเกี่ยวกับข้อคาดการณ์ที่อเมริกา…

อัลเบิร์ตเริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

ครุกแมนพยายามบอกให้เพื่อนของเขาใจเย็นเพราะพูดต่อก็ไม่เป็นผล

ผลลัพธ์ก็พอจะเดาได้ เพเรลมานปฏิเสธพวกเขาทันที

แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดว่าพวกเขาโง่เง่าเสียทีเดียว เพเรลมานพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงว่าเขาไม่คิดว่าการปรับใช้คณิตศาสตร์กับเรื่องที่น่าเบื่อเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

สำหรับชูลทซ์แล้ว เขามุ่งมั่นที่จะยกระดับคณิตศาสตร์ของตัวเองให้สูงขึ้น เขาคงไม่เสียเวลากับโปรเจกต์เล็กๆ แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธอย่างสุภาพและพูดว่าเขาจะลองกลับไปคิดถ้าพอมีเวลา

สำหรับลู่โจว…

จริงๆ แล้วเขาค่อนข้างสนใจปัญหาแปลกใหม่นี้

เขาไม่เหมือนชูลทซ์ เขารักในการใช้คณิตศาสตร์เพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับข้อบังคับและวิทยาศาสตร์อื่นๆ

ก็เหมือนกับศาสตราจารย์ครุกแมนเคยบอก การคาดการณ์อนาคตเป็นปัญหาที่น่าหลงใหล

แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเศรษฐศาสตร์ หรือใส่ใจสังคมศาสตร์ ปัญหานี้ก็ดูแปลกใหม่ใหม่และพิเศษ

แต่เขาไม่ได้ให้คำตอบทันที

“ผมขอเวลาคิดหน่อย ผมไม่มีแผนที่จะทำวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอื่นจนกว่าจะแก้สมมติฐานของรีมันน์ได้”

หลังจากที่ได้ยินลู่โจวพูดอัลเบิร์ตห่อไหล่และดูผิดหวังอย่างมาก

ในความคิดของเขา ลู่โจวก็แค่ปฏิเสธอย่างสุภาพ

“หลังจากที่แก้สมมติฐานของรีมันน์…พระเจ้า คุณเองก็อาจจะปฏิเสธก็ได้”

ครุกแมนดูเศร้าเล็กน้อย เขามองไปที่เพเรลมานและลู่โจว หลังจากนั้นก็พูดขึ้น

“เอาเป็นว่าคุณลองกลับไปคิดดูก็แล้วกัน”

ลู่โจว “จริงๆ แล้วผมมีคำถาม”

ครุกแมน “…คำถามอะไรกัน”

ลู่โจวพูด “ถ้าอนาคตคาดการณ์ได้จริงมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”

ครุกแมนพูด “ผมตอบไม่ได้ มันเป็นคำถามนอกเหนืองานวิชาการ ก็เหมือนตอนที่อัลเบิร์ตเขียนหนังสือ ลิงกต์ วิทยาศาสตร์ใหม่ของระบบเครือข่าย เขาไม่ได้คาดคิดว่าทฤษฎีของเขาจะถูกใช้ในซิลิคอนแวลลีย์เพื่อสร้างรายได้จากการโฆษณา…”

อัลเบิร์ตไม่ค่อยพอใจ

“นี่ อย่าพูดแบบนั้นสิ ข้อมูลที่มหาศาลไม่ใช่การโฆษณา! มันช่วยต่อต้านการก่อการร้าย การรักษาพยาบาล การออกแบบชุมชนเมือง และอื่นๆ “

ศาสตราจารย์ครุกแมนไม่สนใจอัลเบิร์ตและพูดต่อ “วันหนึ่ง อยู่ดีๆ เขาก็มาเจอผมและบอกว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนทฤษฎีให้เป็นเรื่องจริง ปฏิกิริยาแรกของผมคือปฏิเสธเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ตัดสินใจทำงานกับเขา”

ลู่โจวถามกลับว่า “ทำไมล่ะ?”

“ไม่ว่ามันจะเป็นการวิจัยทางทฤษฎีหรือการวิจัยประยุกต์ นักวิชาการก็ไม่ควรเป็นคนที่ระบุว่าเทคโนโลยีคือสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิชชั่นคือสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ คนส่วนใหญ่ในปี 1945 จะคิดแบบนั้น แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไป บางทีการมีอาวุธที่ทรงพลังอาจทำให้โลกสงบสุขก็ได้”

“ดังนั้นผมคิดว่าเราควรมองเรื่องนี้จากมุมมองทางวิชาการ เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการคาดการณ์อนาคต ไม่ใช่เราควรทำอะไรกับมัน”

“ไม่ว่าเราจะเลือกใช้เทคโนโลยีนี้หรือไม่ก็ตาม อารยธรรมของเราจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง”

ศาสตราจารย์ครุกแมนมองไปที่ลู่โจวอย่างจริงใจ หลังจากนั้นสักพัก ลู่โจวพยักหน้า

“ผมรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร

“เราจะคุยกันเรื่องนี้กันอย่างละเอียดในอนาคต”

ครุกแมนพยักหน้า อัลเบิร์ตยักไหล่และพูด “ผมตั้งตารอวันนั้นนะ”

แม้ว่าเขาจะเป็นนักฟิสิกส์ แต่เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสมมติฐานของรีมันน์

ข้อคาดการณ์ทางคณิตศาสตร์อื่นๆ เป็นเรื่องยาก แต่อย่างน้อยก็มีคนทำให้มันคืบหน้าขึ้นมา

สมมติฐานของรีมันน์ก็เหมือนเทือกเขาที่โดดเดี่ยว ที่ไม่มีใครปีนได้

มันอาจจะใช้เวลาหลายร้อยปีจนกว่าจะมีคนแก้มันได้…

บางทีจนถึงตอนนั้นอัลเบิร์ตอาจไม่อยู่แล้วก็ได้

………………………