ทะเลสาบแห่งนี้ด้านล่างแตกต่างจากสิ่งที่บอกไว้ในแผนที่ของหลิ่วหมิงมาก ตามที่ระบุไว้บนแผนที่ หุบเขาวาโยแยกร่างน่าจะเชื่อมไปยังพื้นที่บึงน้ำแห่งหนึ่งถึงจะถูก
ยามนี้บริเวณร้อยลี้รอบตัวทั้งสองคนล้วนเป็นสายธารและทะเลสาบ มีภาพบึงสักนิดที่ไหน
หรือพวกเขาจะจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาในชั้นจำกัดอันใดอีก?
อินหลิวที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็กวาดสายตามองรอบด้าน ทันใดนั้นเขาก็หลับตาสองข้างลงแล้วเข้าสมาธิอีกครั้ง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ลืมตาสองข้าง สีหน้าทะมึนยิ่งนัก
“ที่แห่งนี้น่าจะอยู่ห่างสุสานราชายมโลกไม่ไกลแล้ว แต่…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบทะเลสาบด้านล่างก็ประหนึ่งเดือดพล่านทั้งผืนในพริบตา ฟองอากาศฟองแล้วฟองเล่าผุดขึ้นมาไม่หยุด ต่อจากนั้นผิวทะเลสาบที่เดิมทีนิ่งสงบอย่างยิ่งก็พลันเกิดคลื่นถาโถม คลื่นยักษ์ระลอกแล้วระลอกเล่าซัดสาดจนเกิดน้ำวนขนาดมหึมาลูกหนึ่ง
น้ำทะเลสาบใสกระจ่างกลับกลายเป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึก อากาศรอบด้านเย็นยะเยือกในทันใด
“นี่…นี่มันน้ำจากแม่น้ำมืด!”
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสลงไปเบื้องล่าง ทันใดนั้นก็หลุดปากออกมา
อึดใจต่อมาเขาพลันรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง พลังมหาศาลสายหนึ่งทะลักออกมาจากน้ำวน เหมือนต้องการกระชากเขาลงไป พร้อมกันนั้นเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” “ฟึบ” ก็ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ เสาน้ำหนาเท่าไหสายแล้วสายเล่าพุ่งออกจากทะเลสาบแล้วกักทั้งสองคนไว้ด้านในประหนึ่งกรงขัง
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาตบอสูรสมุทรแปดขาตรงหน้าอก แผ่นหลังทอแสงสีเงินวูบหนึ่ง เสียงสายลมหวีดหวิวดังขึ้น จากนั้นร่างก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทว่าในเวลานี้เองเสียงกระแสจิตอันนิ่งสงบของอินหลิวก็ดังขึ้นในหู
“พี่อิ่น หนทางสู่สุสานราชายมโลกน่าจะอยู่ที่ก้นทะเลสาบแห่งนี้”
สิ้นเสียงก็เห็นแสงสีฟ้าเคลื่อนวนทั่วร่างอินหลิว เงาปลาหลีสีฟ้าปรากฏตัวขึ้นล้อมเขาเอาไว้ด้านใน จากนั้นกลายเป็นเงาสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งดังฟิ้วไปยังน้ำวนทันที
หลิ่วหมิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด สุดท้ายดวงตาก็สั่นไหวสองสามครั้งก่อนจะปล่อยปราณสีดำมากมายออกมากลายเป็นลำแสงสีดำสลับเงินสายหนึ่งพุ่งลงไปเช่นกัน
“ตู๊ม” “ตู๊ม” เสียงดังสนั่นดังขึ้นสองครั้ง!
หลิ่วหมิงกับอินหลิวสองคนดิ่งลงไปในน้ำวนตามต่อกัน
คลื่นยักษ์ที่สาดซัดอยู่รอบด้านโถมเข้ามายังใจกลางทะเลสาบพร้อมกัน ฟองคลื่นสาดกระเซ็นทั่วผืนฟ้า ทั่วทั้งทะเลสาบปั่นป่วนประหนึ่งจะพลิกคว่ำ
หลิ่วหมิงรับรู้เพียงสายน้ำรอบตัวหมุนวนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เองแสงสีฟ้าก็ส่องสว่างเบื้องล่างห่างไปไม่ไกล เงาหางปลามหึมาสีฟ้าหางหนึ่งสะบัดตบคลื่นน้ำรอบตัวหลิ่วหมิงจนแหวกออกสองฝั่งเปิดทางเส้นหนึ่งให้ตน
หลิ่วหมิงไม่รอช้า ปีกสองข้างบนแผ่นหลังกระพือครั้งหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งไล่ตามปลาหลีสีฟ้าไปติดๆ
ปรากฏว่าเส้นทางใต้น้ำสายนี้ นอกจากน้ำวนอันเชี่ยวกรากกับอสูรแห่งความมืดจำนวนหนึ่งที่ปรากฏตัวออกมาเป็นระยะแล้วก็ไม่มีอันตรายอะไรเป็นพิเศษอีก
พวกหลิ่วหมิงสองคนต่างใช้วิชาเคลื่อนไหวใต้น้ำหลบพ้นแต่ละอย่างมาได้อย่างปลอดภัย จนมาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ค่อนข้างเก่าค่ายกลหนึ่งที่ก้นทะเลสาบ
หลังจากฟ้าดินพลิกกลับตาลปัตรรอบหนึ่ง ทั้งสองคนก็ถูกเคลื่อนย้ายมาในถ้ำที่มีผนึกน้ำแข็งกองพะเนินอยู่แห่งหนึ่ง
……
นับจากนั้นทั้งสองคนก็ผ่านชั้นจำกัดอีกหลายชั้น แม้จะเผชิญอันตรายหลายครั้งจนสะบักสะบอมดูไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ฝ่าผ่านแต่ละชั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
แม้พลังเวทของอินหลิวผู้นี้จะถูกจำกัดไว้ แต่เขาก็ยังหยิบของประหลาดมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งออกมาช่วยทั้งสองคนให้ผ่านด่านอันยากลำบากได้เสมอ อีกทั้งเขาเหมือนจะมีความสามารถบางอย่างในการรู้ล่วงหน้า หลายครั้งที่เขาเตือนก่อนก้าวหนึ่งจนทำให้พวกเขาผ่านอันตรายหลายครั้งมาได้
สิ่งที่แสดงออกมาเหล่านี้ทำให้หลิ่วหมิงนึกทึ่ง ในใจยิ่งสงสัยตัวตนที่แท้จริงของเขาผู้นี้ขึ้นไปอีก
อินหลิวก็เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาแปลกใจของหลิ่วหมิงเช่นกัน แต่เขาทำท่าว่าไม่ใส่ใจ
เวลานี้ทั้งสองคนอยู่ในมิติสีเทาขมุกขมัวแห่งหนึ่ง หลังจากเข้ามาผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเก่าๆ ค่ายกลหนึ่งที่อยู่ในถ้ำลึกแห่งหนึ่งก่อนหน้านี้
หลิ่วหมิงมองรอบด้าน ในใจฉุกคิดถึงบางอย่าง
ที่แห่งนี้คล้ายกับมิติยามตนเข้าไปในฟองอากาศลึกลับอยู่บ้าง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามอยู่ในมิติแห่งนี้ พลังที่เดิมถูกกดไว้กลับฟื้นกลับคืนดังเดิม พลังเวทค่อยๆ กลับมาเต็มเปี่ยม
“หรือว่าที่นี่คือสุสานราชายมโลกแล้ว?” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นอย่างคลางแคลง
อินหลิวที่อยู่ด้านข้างกวาดสายตามองรอบด้านครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าให้หลิ่วหมิง
“จากที่ผู้แซ่อินรู้มา ที่แห่งนี้น่าจะยังไม่ใช่ แต่ข้าสังหรณ์ว่าน่าจะอยู่ห่างจากสุสานราชายมโลกอีกเพียงก้าวเดียวแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินก็อดไม่ได้หัวเราะฝืดเฝื่อน ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง อากาศสีเทาเบื้องหน้าก็สั่นกระเพื่อม
หลิ่วหมิงกับอินหลิวเห็นเช่นนี้ก็รีบตั้งท่าระวัง
ตลอดทางที่ผ่านมาทั้งสองคนได้เปิดหูเปิดตากับชั้นจำกัดแปลกประหลาดหลากหลายรูปแบบของสุสานราชายมโลกมาแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นสิ่งใดอีก…
ระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่าผุดขึ้นมาในมิติสีเทาหม่น แสงสีเทาสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นกระจกมหึมาบานหนึ่งก็โผล่ออกมาเบื้องหน้าทั้งสองคน ในกระจกมองเห็นเงาของหลิ่วหมิงกันอินหลิวชัดเจน ดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง แม้แต่สีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าก็สะท้อนออกมาราวกับมีชีวิต
อากาศที่กระเพื่อมรอบด้านค่อยๆ หยุดหายไปแล้วฟื้นกลับมาสงบอย่างรวดเร็วยิ่งนักราวกับว่าไม่มีเรื่องราวพิเศษเกิดขึ้นมาก่อน
“กระจก? นี่คือชั้นจำกัดอันใด?” สายตาของอินหลิวมองตนเองที่อยู่ในกระจกแล้วหันไปมองรอบด้าน จากนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างอึ้งๆ
หลิ่วหมิงก็คิดไม่ถึงดุจเดียวกัน ทว่าตอนนี้เองในหูก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของหลัวโหวดังขึ้น
“นี่คือค่ายกลอนธการก่อเกิด เป็นหนึ่งในค่ายกลประหลาดสิบอย่างของยุคโบราณ อาศัยสร้างร่างเงาเลียนแบบคนที่ถูกขังเอามาต่อสู้สังหารเจ้าตัว ต้องตัดสินแพ้ชนะให้ได้เท่านั้น ฝ่ายที่ชนะจึงจะได้ออกไป เดิมข้าไม่ควรเตือนเจ้า แต่ค่ายกลนี้จะดึงอดีตนับแต่ถือกำเนิดของเจ้ามาฉายให้เห็นอีกครั้ง คนธรรมดามักจะหวั่นไหวง่ายดายจนทำให้จิตใจไม่สงบถูกร่างเงาเอาชนะไปง่ายๆ เมื่อถูกร่างเงาเอาชนะ เจ้าก็จะกลายเป็นดั่งหุ่น จิตวิญญาณถูกค่ายกลนี้กลืนกิน แต่จากที่ข้าคาดการณ์ หากผ่านด่านนี้ไปได้ก็น่าจะเข้าไปในสุสานราชายมโลกที่แท้จริงได้แล้ว”
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ตักเตือน”
หลิ่วหมิงฟังจบกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระตุก รีบตอบกลับในห้วงความคิด
“ลืมเตือนเจ้าไปประโยคหนึ่ง ผู้ที่ผ่านค่ายกลนี้แล้วมีชีวิตรอดออกมาได้อย่างแท้จริงมีไม่มากนัก เรื่องขอบคุณ รอเจ้ารอดกลับมาแล้วค่อยพูดเถอะ” หลัวโหวยิ้มเย็นชา จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก
หลิ่วหมิงฟังจบ ดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดจะใคร่ครวญหาทางออก กระจกยักษ์เบื้องหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ผิวกระจกทอแสง ลำแสงสีเทาเส้นหนึ่งพุ่งพรวดออกมาล้อมร่างกายของหลิ่วหมิวเอาไว้
ชี่ๆ…
ลำแสงสีเทาส่องลงบนร่าง ทันใดนั้นปราณดำกลุ่มหนึ่งก็หลุดออกจากตัวเขา รูปลักษณ์บุรุษวัยกลางคนที่ผ้าคลุมพันเปลี่ยนสร้างขึ้นมลายหายไปกลับคืนเป็นหน้าตาดั้งเดิม
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที ร่างกายเคลื่อนไปมาอย่างต่อเนื่องพาเงาเลือนรางสายแล้วสายเล่าขยับตามจนชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งที่แห่งนั้นมีแต่เงาร่างของหลิ่วหมิง
แต่ไม่ว่าหลิ่วหมิงขยับเปลี่ยนท่าอย่างไร ลำแสงสีเทาก็ยังเกาะติดอยู่รอบตัวเขาประหนึ่งโรคร้ายในกระดูก
“อย่าเปลืองแรงเปล่าเลย ถ้าเจ้ายังอยู่ในมิติสีเทานี่ก็หลบไม่พ้นหรอก” เสียงของหลัวโหวดังขึ้นในจิตของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที ร่างกายพุ่งวูบหนึ่งก็หยุด เงาทั่วทั้งห้องสลายไปจนหมด
อินหลิวที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตกตะลึงกับหน้าตาที่เปลี่ยนไปอย่างมากของหลิ่วหมิงมากมายนัก
ในตอนนี้เองเงาของหลิ่วหมิงในกระจกก็เริ่มพร่ามัว จากนั้นภาพเหตุการณ์ภาพแล้วภาพเล่าก็ปรากฏขึ้นมา
เมื่อหลิ่วหมิงกวาดสายตามอง ร่างกายก็แข็งทื่อทันที!
บนกระจกบานยักษ์เบื้องหน้าคือภาพเกาะยักษ์ที่ปกคลุมด้วยม่านหมอกสีเทาหม่นแห่งหนึ่ง รอบด้านมีหมอกสีดำเวียนวน ดูเหมือนเป็นสถานที่อันรกร้างป่าเถื่อน
ริมเกาะมีเรือยักษ์สองลำจอดอยู่ บนชายฝั่งข้างลำเรือมีคนสองกลุ่มกำลังเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
กลุ่มคนที่หน้าตาเหมือนนักโทษสวมเสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์ ในมือถืออาวุธหยาบที่ทำจากกระดูกสัตว์นานาชนิด ส่วนคนอีกกลุ่มดูเหมือนเป็นทหารของทางการ บนร่างสวมเกราะเหล็ก เห็นชัดว่าอาวุธดีกว่ากันมาก
ระหว่างที่การต่อสู้ดุเดือดดำเนิน เวลาก็เคลื่อนคล้อยผ่านไป ฝั่งนักโทษอาศัยจำนวนคนมากค่อยๆ กดดันเหล่าทหาร
“นี่มัน…เกาะมฤตยู…” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน ท่ามกลางกลุ่มคนที่เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด เด็กหนุ่มผอมแกร็นคนหนึ่งถือกระบี่สั้นขึ้นสนิมโจมตีอย่างเฉียบคมจนล้มทหารได้นายแล้วนายเล่า
ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังดูเยาว์วัยแต่สีหน้าเย็นชาอยู่ตลอด การเข่นฆ่าอันโหดร้ายเหมือนจะไม่มีผลต่อสีหน้าของเขาแม้แต่น้อย
สายตาของหลิ่วหมิงจับอยู่บใบหน้าของเด็กหนุ่มในกระจก ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่าง
ภาพในกระจกแปรเปลี่ยนเร็วไว ภาพความทรงจำอันห่างไกลฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้นมา
ออกจากเกาะมฤตยู เข้านิกายปีศาจ เลื่อนสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เผชิญกับสงครามเผ่าเจ้าสมุทร ถูกจับตัวในเขตหนานไห่ เร่ร่อนมาถึงแผ่นดินจงเทียน เข้านิกายยอดบริสุทธิ์…
ภาพในกระจกเหมือนฉายสิ่งที่เขาเผชิญมาทั้งหมดนับแต่เกิดจนถึงตอนนี้ซ้ำอีกครั้ง แม้แต่ครั้งแรกที่เขากลายร่างเป็นปีศาจ ถูกจิตมารแทรกร่างก็ยังฉายออกมาด้วย ยิ่งเป็นความทรงจำที่ซ่อนไว้ลึก ภาพในกระจกก็ยิ่งชัด
หางตาของหลิ่วหมิงกระตุกอยู่หลายครั้ง ก่อนจะลอบเหล่มองอินหลิวที่อยู่ด้านข้าง
กระจกฉายสิ่งที่เขาเผชิญในอดีตออกมาแทบทั้งหมด ตัวตนเผ่ามนุษย์ของเขาจึงถูกเปิดโปงหมดสิ้น ไม่รู้ว่าอินหลิวจะมีปฏิกิริยาอย่างใด
ทว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลัวโหวและฟองอากาศลึกลับ กระจกกลับไม่แสดงออกมา น่าจะถูกหลัวโหวใช้วิชาปิดบังไว้ นี่ทำให้หลิ่วหมิงสบายใจขึ้นไม่น้อย
ภาพในกระจกเปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหยุดนิ่งอยู่ตรงช่วงเวลาที่หลิ่วหมิงพลัดเข้ามาในยมโลก
วิ้ง…
กระจกสีเทาหม่นกระเพื่อมอีกครั้ง ภาพทั้งหมดแตกสลายจนสิ้นก่อนจะสะท้อนเงาของหลิ่วหมิงอีกหน
ทันใดนั้นใบหน้าของหลิ่วหมิงที่อยู่ในกระจกก็ฉีกยิ้มประหลาด ร่างกายขยับก้าวเดินจนหลุดออกจากบานกระจกมายืนตรงหน้าหลิ่วหมิงห่างไปไม่กี่จั้ง
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที คนตรงหน้าไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือเสื้อผ้าที่สวม แม้แต่ลมปราณที่แผ่ออกมาล้วนเหมือนตัวเขาทุกประการไม่มีแตกต่างแม้แต่น้อย
“จุดที่ร้ายกาจของค่ายกลอนธการก่อเกิดก็คือสามารถหยั่งรู้ข้อมูลทุกสิ่งของผู้ฝึกฝนที่อยู่ในอาณาเขตของค่ายกล หลังจากนั้นสร้างร่างเงาที่พลังเทียบเท่าร่างต้นออกมาได้ ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่ยากจะเอาชนะที่สุดก็คือตนเอง” เสียงของหลัวโหวดังขึ้นแล้วทุ้มต่ำลงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงฟังจบก็จ้อง “หลิ่วหมิง” ที่อยู่ตรงข้ามเขม็ง สองตาหรี่ลงทันที