ตอนที่ 2422

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,422 : เข้าสู่พระราชวังใต้ดิน

ต้วนหลิงเทียนรู้จนไม่อาจรู้ดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว ว่าไฉนความแข็งแกร่งของเขาถึงสามารถเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์…

ประการแรกเลยเพราะตอนนี้เขามีกระบี่เซียนอมตะอยู่ในมือ!

ประการที่สองก็คือเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาเชี่ยวชาญ! และเวทย์พลังนี้ผู้เฒ่าหั่วยังบอกออกมาเองว่า…ต่อให้นำไปวางไว้ในระนาบเทวโลกมันก็จัดเป็นเวทย์พลังสนับสนุนที่น่าทึ่ง!

และสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ได้รับสืบทอดมรดกมาจากเซียนกระบี่อย่างฟงชิงหยาง และนั่นก็คือเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุด ยอดใจกระบี่

อย่างไรก็ตาม ยอดใจกระบี่นั้น ไม่อาจนับได้ว่าเป็นเวทย์พลังได้! มันจัดอยู่ในหมวดหมู่วรยุทธ์ เช่นนั้นจึงไม่ขัดแย้งกับเวทย์พลังประเภทจู่โจม กระทั่งยังผสานกับเวทย์พลังจู่โจมที่เหมาะสมได้อีกด้วย!

กล่าวอีกอย่างได้ว่า หากต้วนหลิงเทียนได้รับเวทย์พลังจู่โจมของระนาบเทวโลกล่ะก็ พลังต่อสู้ของเขาจะพุ่งทะยานสูงขึ้นอีกครั้ง!

แต่แน่นอนเลยก่อนอื่นใดเวทย์พลังจู่โจมที่ว่า จะต้องเป็นเวทย์พลังสายจู่โจมที่เข้ากันได้ดีกับยอดใจกระบี่!

หากมันเข้ากันไม่ได้และเป็นคนละแนวทางกัน ผลของมันไม่เพียงจะไม่เลิศล้ำอย่างที่ควร ยังยากจะเพิ่มพลังให้เขาได้

‘หากข้าได้เวทย์พลังจู่โจมประเภทกระบี่อย่างเซียนอมตะข้ามภพมาล่ะก็…มันต้องเข้ากันได้กับยอดใจกระบี่แน่นอน! ตราบใดที่ข้าเชี่ยวชาญมันได้พลังของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น!’

พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

ตอนนี้ด้วยการลงมือสุดกำลัง ความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์เท่านั้น

หากเขาได้รับเวทย์พลังจู่โจมจากระนาบเทวโลกและใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญล่ะก็ พลังฝีมือของเขาย่อมเพิ่มพูนสูงขึ้นจนน่าจะเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์!

‘และหากข้าสามารถบรลุขอบเขตสุดท้ายของยอดใจกระบี่ อย่างใจกระบี่รวมหนึ่ง…ความแข็งแกร่งของข้าต้องเทียบได้กระทั่งเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!!’

ยิ่งคิดถึงจุดนี้ใจต้วนหลิงเทียนก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างมิอาจห้าม

‘อย่างไรก็ตามนั่นมันยากเกินไป ขอบเขตที่ 5 ของยอดใจกระบี่ช่างเข้าใจได้ยากยิ่งนัก เผลอๆข้าคงไม่อาจบรรลุมันได้ทันก่อนที่จะขึ้นไประนาบเทวโลกด้วยซ้ำ…’

ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้เรื่องนี้ชัดดี

ดังนั้นไม่นานความตื่นเต้นยินดีในใจจึงค่อยๆซาลง

เขาเองก็พยายามตีความเคล็ดสุดท้ายของยอดใจกระบี่แล้ว หากแต่เขายังไม่อาจเข้าใจมันได้ ราวกับยังขาดโอกาสอะไรบางอย่าง และก่อนที่จะได้พบเจอโอกาสที่ว่าคงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะบรรลุมันได้

‘อย่างไรก็แล้วแต่…หากข้าได้รับเวทย์พลังจู่โจมจากสมบัติสถานระดับสวรรค์ที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋ทิ้งไว้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกับข้าเป็นที่สุด!’

ไม่นานสายตาต้วนหลิงเทียนก็กลับไปมองจ้องยังพระราชวังใต้ดินเบื้องล่าง

กลับกันหลังได้ยินคำพูดของจางยี่แล้ว นอกจากหลิ่วเสวียที่ยังมีสีหน้าสงบเฉยเมย หานเฉวี่ยไน่เองตอนนี้สองตาของนางเบิกกว้างกลมโตนัก เห็นชัดว่าประหลาดใจไม่น้อย

นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่านอกจากสมบัติสวรรค์แล้ว สมบัติสถานเบื้องหน้าอาจมีแม้กระทั่งเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก แถมยังมีเรื่องราวอันน่าตื่นตระหนกที่นางไม่เคยรู้มาก่อนอีกมากมาย

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

และในขณะเดียวกับที่สายตาของหานเฉวี่ยไน่ จางยี่ และหลิ่วเสวียหันมามองจ้องต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยขึ้นมาพอดี

หลังจากนั้นเขาก็โรยตัวลงจากฟ้า มุ่งหน้าไปยังพระราชวังใต้ดินเบื้องล่าง ที่บัดนี้ประตูใหญ่ได้เปิดอ้าออกรอคอยให้พวกเขาเข้าไปแต่แรก

หานเฉวี่ยไน่ก็รีบตามไปติดๆ

สำหรับทั้ง 3 แล้ว ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งผู้นำหลักและ ‘หัวใจ’ ของกลุ่มก็ว่าได้

ถึงแม้ว่าจะมีสมบัติสถานระดับสวรรค์ตั้งอยู่เบื้องหน้า แต่หากต้วนหลิงเทียนไม่นำเข้าไป ทุกคนก็ไม่กล้าเข้าไปก่อน

หลังจากเหินลงมายังพระราชวังเบื้องล่างและข้ามผ่านประตูใหญ่โตเข้าไป

อยู่ๆฉากเรื่องราวเบื้องหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปพลิกฟ้าคว่ำดินในฉับพลัน!

แน่นอนว่าสิ่งที่แลเห็นนั้น ไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับความงดงามในเคหะสถานโอ่อ่าอย่างพระราชวังใต้ดินแม้แต่น้อย!

“หืม?”

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว เพราะตอนนี้เบื้องหน้าในสายตาเขาไม่มีอะไรใกล้เคียงสิ่งที่สมควรอยู่ด้านในตัวกระราชวังสักกะผีกเดียว แต่เป็นบึงน้ำอันมืดมิดและบรรยากาศโดยรอบก็อึมครึมชวนให้ขวัญผวานัก!

“อะไรกัน ไม่ใช่ว่านี่มันก็แค่ประตูทางเข้ารึไง เข้ามาได้ไม่ทันไรก็เจอค่ายกลมายาแล้วหรอ?”

หานเฉวี่ยไน่อดไม่ได้ที่จะผงะไปกับทัศนียภาพเบื้องหน้า ร่างบางยังไปหลบหลังต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว

ถึงแม้พลังฝึกปรือของหานเฉวี่ยไน่ตอนนี้จะไม่ใช่ต่ำทราม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่แลดูอึมครึมน่ากลัวราวกับจะมีตัวอะไรผุดโผล่ขึ้นมาสร้างความสยดสยองให้นางได้ทุกเวลา กอปรทั้งได้รู้ว่านี่เป็นสมบัติสถานที่ตัวตนระดับต้าหลัวจินเซียนทิ้งไว้ นางก็ไม่กล้าดูเบามันแม้แต่น้อย…

และในขณะที่สีหน้าท่าทีของกลุ่มต้วนหลิงเทียนกำลังเคร่งขรึมจริงจังพร้อมรับสถานการณ์

“สมบัติสถานระดับสวรรค์แห่งนี้ที่ข้าสร้างไว้ แบ่งออกเป็น 9 ด่าน…ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถผ่านการทดสอบได้ ทุกๆ 3 ด่านเจ้าจักได้รับสิ่งที่ข้าเหลือทิ้งไว้อย่างหนึ่ง…”

เสียงไม่คุ้นเคยหากแต่คุ้นหูหนึ่งพลันดังขึ้นก้องไปทั่วบึงน้ำอันมืดมิดให้กลุ่มต้วนหลิงเทียนได้ยินกันชัดเจน

“เป็นเสียงของเซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋!”

หลิ่วเสวียอุทานออกมา ขณะเดียวกันนางก็เริ่มกวาดตามองไปทั่วๆด้วยสีหน้าท่าทีระวังทั้งระแวง หากแต่ไม่ว่านางจะจับจ้องมองไปเท่าไหร่ก็ไม่พบเหตุเปลี่ยนแปลงอะไร

“หลังจากที่ผ่านบททดสอบของข้า 3 ด่านแรก จะพบเจอยอดสมบัติสวรรค์ที่ข้าเหลือทิ้งไว้ หากผ่านบททดสอบได้ 6 ด่านจักได้รับเวทย์พลังที่ข้าทิ้งไว้ และหากสามารถผ่านพ้นได้ทั้ง 9 ด่าน พวกเจ้าจักได้รับหยกบันทึกอันมีองค์ความรู้ในเต๋าแห่งกระบี่ที่ตัวข้าได้ศึกษามาตลอดช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่าน…”

เสียงของหลี่ไป๋ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้สายตาของทุกคนลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที

โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียน

‘เวทย์พลัง…ที่นี่มีเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกจริงๆ!’

‘ที่สำคัญในฐานะที่หลี่ไป๋เองก็เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง…มีโอกาสสูงนักที่เวทย์พลังจากระนาบเทวโลกที่เหลือทิ้งไว้จะเป็นเวทย์พลังสายกระบี่!’

จังหวะหัวใจต้วนหลิงเทียนพลันเต้นถี่รัวขึ้นมาอย่างยากระงับ

เวทย์พลังที่หลี่ไป๋เหลือทิ้งไว้ มันต้องเป็นเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!

แต่สิ่งที่ทำให้เขาบังเกิดความสนใจมากที่สุดนั่นก็คือ เวทย์พลังที่ว่าจะใช่เวทย์พลังสายกระบี่หรือไม่!

‘นอกจากยอดสมบัติกับเวทย์พลังแล้วยังมีเต๋ากระบี่ที่หลี่ไป๋ศึกษามาอีกด้วย…นี่ไม่ใช่ว่าไม่ต่างอะไรจากมรดกเลยหรือไง?’

เมื่อได้รับรู้ว่าหลี่ไป๋ถึงกับทิ้งองค์ความรู้ของเต๋าแห่งกระบี่ที่แสวงหามานับพันปีเอาไว้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาทำนองนี้

เพราะกล่าวไปเต๋าแห่งกระบี่ของหลี่ไป๋ หากศึกษามันก็ไม่ต่างอะไรจากรับสืบทอดมรดกของหลี่ไป๋…

เช่นเดียวกับการได้รับรู้เต๋ากระบี่ที่เขาเคยได้มาจากระนาบเซียนอย่างเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุด ยอดใจกระบี่ ที่อาวุโสฟงชิงหยางทิ้งไว้เบื้องหลัง นั่นก็เรียกว่ามรดกของฟงชิงหยางไม่ใช่หรือไร?

“นี่มัน….ตกลงยังไงกันแน่?”

ต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะหันมองไปทางจางยี่ด้วยความสงสัยเต็มใจทันที

“อ่า น้องหลิงเทียนพอดีข้าลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง…ในสมบัติสถานระดับสวรรค์นั้น นอกจากยอดสมบัติกับเวทย์พลังของระนาบเทวโลกแล้วยังมีอีกสิ่งที่มักปรากฏอยู่เสมอ! นั่นคือมรดกที่ไม่สมบูรณ์ของต้าหลัวจินเซียน!”

เผชิญกับท่าทางสงสัยของต้วนหลิงเทียน จางยี่รีบกล่าวตอบออกไปทันที

“มรดกที่ไม่สมบูรณ์งั้นเหรอ?”

“ที่นี่ไม่ใช่สถานสมบัติที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋ทิ้งไว้เองหรือไร ไฉนถึงมีมรดกที่ไม่สมบูณ์ของหลี่ไป๋อยู่?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

“เพราะว่ามรดกที่ไม่สมบูรณ์ที่ว่า เป็นต้าหลัวจินเซียนจงใจเหลือทิ้งไว้เอง…ต่อให้ผู้ที่รับสืบทอดมรดกไปจะไปพบท่านหลี่ไป๋ในภายหลังก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้สืบทอดอะไร อย่างดีก็ยึดถือเจ้าเป็นเพียงศิษย์แต่ในนามเท่านั้น…”

“หากคิดเป็นศิษย์ที่แท้จริงของอาวุโสหลี่ไป๋และรับมอบมรดกที่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีเพียงต้องได้เข้าร่วมกับขุมพลังของอาวุโสหลี่ไป๋ให้ได้ก่อน! นั่นหมายความว่าอย่างน้อยๆเจ้าก็ต้องไปยังระนาบเทวโลกของอาวุโสหลี่ไป๋ให้ได้เสียก่อน แน่นอนว่าต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมตามเกณฑ์ขุมพลังของท่านด้วย”

จางยี่ค่อยๆกล่าวอธิบายออกมาอย่างงอดทน

“หากข้าได้รับมรดกที่ไม่สมบูรณ์ของต้าหลัวจินเซียนมา ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า…ต่อให้มีประโยชน์จริง แต่มันก็คงช่วยข้าได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น”

จางยี่พูดต่อ

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขารู้ดีว่าที่จางยี่พูดมันหมายถึงอะไร

มรดกที่ไม่สมบูรณ์ของต้าหลัวจินเซียน แม้ได้รับมาแต่ก็ช่วยเหลือได้แค่เล็กน้อย กระทั่งเผลอๆอาจจะไม่มีประโยชน์อันใด

เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนย่อมบังเกิดความสนใจต่อมรดกที่ไม่สมบูรณ์ที่ว่านั่นของหลี่ไป๋ขึ้นมาอยู่บ้าง

“ด่านที่หก…”

ทว่าอย่างไรก็ตาม…จังหวะนี้ความสนใจทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนได้ทุ่มไปยังการผ่านด่านที่ 6 ให้ได้เหนือสิ่งอื่นใด! เพราะตราบใดที่เขาผ่านด่านที่ 6 ได้สำเร็จ เขาก็จะได้รับเวทย์พลังของระนาบเทวโลกที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าอย่างหลี่ไป๋เหลือทิ้งไว้!

ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกเขามันบอก…ว่าไม่พ้นเวทย์พลังนั่นต้องเป็นเวทย์พลังสายกระบี่แน่นอน!!

“มาแล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงเตือนด้วยความระวังของจางยี่พลันดังขึ้น เป็นธรรมดาที่มันจะดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนชัดเจน จึงดึงสติต้วนหลิงเทียนที่เหม่อคิดให้กลับเข้าร่างทันที

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนดึงสติกลับมา เขาก็ได้ยินเสียง ‘ฟองอากาศแตก’ ราวกับน้ำเดือด

ปัวะ!

ปัวะ! ปัวะ!

ปัวะ! ปัวะ! ปัวะ!

เสียงราวกับฟองอากาศแตกออกดังขึ้นจากทุกทั่วสารทิศเข้าหูพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 และเมื่อมองไปก็พบว่าบึงน้ำดำรอบๆบัดนี้ ปรากฏฟองอากาศลอยผุดโผล่ขึ้นมาไม่หยุด

มองไปยังประหนึ่งธารลาวาที่กำลังเดือดพล่าน!

“กลิ่นอายพลังแปรปรวนนี่มัน…”

ตอนนี้ไม่ว่าจะหานเฉวี่ยไน่ จางยี่หรือหลิ่ววเสวีย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังผันผวนหนึ่งที่เริ่มแผ่กำจายออกมาจากบึงน้ำ

กลิ่นอายพลังผันผวนที่ว่า คล้ายทรงพลังไม่น้อยถึงขั้นทำให้หน้าทุกคนเปลี่ยนสีไป เว้นเสียก็แต่ต้วนหลิงเทียนที่ยังคงมีสีหน้าสงบไร้เรื่องราว คล้ายไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากกลิ่นอายพลังที่เอ่อล้นขึ้นมาจากใต้บึ้งสีมืดตรงหน้า

ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!

ทันใดนั้น บังเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งบึง!

เป็นบึงน้ำสีดำที่กกำลังเดือดพล่านปานธารลาวานั้น อยู่ดีๆก็มีบางสิ่งพุ่งขึ้นมา…เป็นกระบี่มหึมาจำนวนมาก! ด้วยความที่สีมันทึบ ทำให้ยามมองไกลๆราวกับพวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนหินดินโคลน!!

ตอนแรกที่กระบี่มหึมาเหล่านี้พึ่งทะยานโผล่พ้นผิวน้ำ ความเร็วของมันยังไม่ได้มากมายอะไร

หากทว่าเมื่อมันโผล่พ้นผิวน้ำออกมาได้สักพัก ก็ประหนึ่งนักโทษได้รับอิสระภาพจากการถูกจองจำก็ไม่ปาน!

จากกระบี่สีทึบที่แลดูเชื่องช้าไร้พิษภัย บัดนี้กลับกลายคล้ายดั่งนางแอ่นเหินเล่นลม! พวกมันพุ่งแหวกอากาศมาไปราวกับสายฟ้าฟาด!!

และพวกมันก็พุ่งทะยานไปปิดล้อมกลุ่มต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างแน่นหนา! มองไป 4 ทิศ 8 ทางพบเห็นแต่กระบี่มหึมาดังกล่าว!!

ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!

เสียงหอนแหวกอากาศดังก้องถี่ยิบ! เป็นกระบี่สีทึบที่ทำราวกับก้อนหินดินโคลนเหล่านั้น คล้ายได้รับพลังอำนาจนหนุนเสริมจากทวยเทพ! พวกมันพากันพุ่งทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่กลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 จากทุกทั่วสารทิศ!!