อีกาทองขวางนภา ร่างส่องประกายเจิดจ้าราวหล่อจากทองคำ ยามกระพือปีกดุจเมฆสยายบดบังฟ้า เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำเผาห้วงอากาศทั้งมวล ใต้หล้าล้วนสว่างไสว

มองจากไกลๆ ราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่เคลื่อนขวาง!

ครืน…

เปลวเพลิงบางส่วนทิ้งตัวลงบนพื้นดิน หลอมละลายพื้นดินจนเกิดรอยพรุนเต็มไปหมด พลังทำลายล้างน่าอัศจรรย์

อีกาทองอาศัยอยู่บนต้นฝูซาง โอ้อวดว่าตนเป็นลูกหลานสุริยเทพ เป็นหนึ่งในนกปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งบรรพกาล พลังต่อสู้น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

อีกาทองที่อยู่ไกลออกไปตัวนั้นบินทะยานกลางฟ้า พริบตาก็หายไปในเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไป

“มารดามันเถอะ อีกาทองพวกนี้ยังไม่ตายเรียบ ดูท่าลูกหลานของเผ่ามันก็อาจเข้าไปในแดนมกุฎด้วย”

สีหน้าเจ้าคางคกวูบไหวไม่หยุด

แดนมกุฎมี ‘สามพันแดน’ แต่ละแดนเหมือนอาณาเขตกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่ละอาณาเขตต่างมีทางเข้าหนึ่งโดยเฉพาะ

ช่องทางนี้ก็คือแท่นมรรคบูชาอริยะ!

นี่ก็บ่งชี้ว่าการเข้าสู่แท่นมรรคบูชาอริยะที่ต่างกันก็จะไปยังอาณาเขตในแดนมกุฎที่แตกต่าง ต่างฝ่ายต่างกระจัดกระจายกันออกไป

เส้นทางที่เจ้าคางคกเลือกคราวนี้ตั้งอยู่ในแถบสนามรบโบราณ ใกล้ๆ หุบเขาตะวันคล้อย ทั้งไม่มีขุมอำนาจกระจายอยู่เท่าไรนัก น่าจะนับได้ว่าเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยพอควร

แต่ตอนนี้เจ้าคางคกไม่กล้าแน่ใจอยู่บ้างแล้ว

หากเผ่าอีกาทองที่อาศัยอยู่ในหุบเขาตะวันคล้อยเข้ามายุ่ง ถึงแม้เข้าสู่แดนมกุฎได้ก็ต้องเข้าไปในเขตเดียวกัน ไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้แน่!

“การต่อสู้แห่งมหายุค การต่อสู้แห่งมกุฎ ล้วนมีคำว่าสู้ แค่เข้าไปในแดนมกุฎ ไยต้องหวาดกลัวที่จะสู้กับคนอื่นด้วยเล่า”

หลินสวินตบบ่าเจ้าคางคก

ตั้งแต่ระดับราชันขึ้นไปล้วนไม่มีทางเข้าสู่แดนมกุฎ นี่ก็เพียงพอแล้ว ขอแค่เป็นการแข่งขันในรุ่นเดียวกัน หลินสวินก็หาได้หวาดกลัวใครไม่

สนามรบโบราณกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ยิ่งเข้าไปลึกฟ้าดินก็ยิ่งมืดสลัว บนพื้นเต็มไปด้วยซากสมรภูมิ เศษกำแพงปรักหักพัง

ระหว่างเดินทางพวกหลินสวินทยอยพบเจอคนบางส่วน ไม่จำเป็นต้องสงสัย คนเหล่านี้ก็มารอแท่นมรรคบูชาอริยะมาเยือนเช่นกัน

“โฮก…”

ทันใดนั้นเสียงสัตว์ปีศาจพลันดังขึ้น ดังกระหึ่มดุจฟ้าคำราม สะท้อนก้องในสนามรบโบราณ ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดของฟ้าดินแถบนี้

พลันนั้นพวกหลินสวินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งทะยานฟ้ามาแต่ไกล คนมากมายล้วนนั่งมาบนนกปีศาจสัตว์อสูร

บ้างราววัวกิเลน บ้างเป็นอสูรกลืนวิญญาณ บ้างก็เป็นค้างคาวเลือด ล้วนแต่มีพลานุภาพถาโถมชวนตะลึง

พวกหลินสวินชะลอฝีเท้า ตลอดทางสังเกตเห็นว่า ยิ่งเวลาล่วงเลยเงาร่างผู้ฝึกปราณที่พบเจอก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ล้วนเกาะกลุ่มเป็นขบวนแทบทั้งสิ้น

ทั้งยังดูเหมือนผู้สืบทอดที่มาจากต่างขุมอำนาจ

“เจ้าคางคก เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าแท่นมรรคบูชาอริยะที่จะมาเยือนที่นี่มีคนรู้น้อยมาก” อาหลู่อดกล่าวพึมพำไม่ได้

ตลอดทางมานี้ล้วนเจอผู้ฝึกปราณนับร้อยนับพันแล้ว

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า”

เจ้าคางคกก็พูดไม่ออก ประสบการณ์ของเขามาจากสมัยบรรพกาล แต่เห็นชัดว่าตามการเปลี่ยนผันของกาลเวลาไร้สิ้นสุด ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว

“ไสหัวไป!”

ห้วงอากาศด้านหลังสั่นสะเทือน เสียงตวาดราวฟ้าคะนองหนึ่งดังขึ้น ยานสำเภายักษ์สีเลือดดุจปราสาทลำหนึ่งบีบกดชั้นฟ้ามาถึง

ยานสำเภานี้ใหญ่โตแดงฉานตลอดลำ ลายมรรคชวนประหวั่นไหลหลั่ง หน้ายานสำเภามีสัตว์ปีศาจสายพันธุ์บรรพกาลมากมายฉุดลากห้อตะบึง

แต่ละตัวล้วนเป็นสัตว์หายากอย่างชือไฟแปดกรงเล็บ สีแดงเพลิงตลอดตัว พลานุภาพร้ายกาจมองใต้หล้าอย่างเหยียดหยัน

มีแรดอสนีแยกฟ้า ยามห้อตะบึงห้วงอากาศล้วนถูกย่ำแหลกละเอียด

ยังมีนกกระจอกหางดำที่เรียกลมเรียกฝน ทั้งมีอสรพิษปีกหลากสีตัวใหญ่ราวมังกรที่เป็นทายาทมังกรมายาดึกดำบรรพ์

ยานสำเภายักษ์สีเลือด สัตว์สายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลมากมายกดอัดห้วงนภา คำรามก้องฟ้าดิน พลานุภาพชวนประหวั่นนั้นบีบกดแผ่นฟ้า ทำเอาสนามรบโบราณแถบนี้สั่นสะเทือน

บนยานสำเภายักษ์ชายชุดโบราณสวมเกี้ยวประดับสูงคนหนึ่งสองมือไพล่หลัง ช่วงเอวคาดขลุ่ยยาวเขียวมรกตเลาหนึ่ง เงาร่างหยิ่งทะนง แววตาดุจอินทรีกิริยาดั่งหมาป่า กลางนัยน์ตาวาบประกายอัศจรรย์เรืองรองจ้าตากว่าดวงตะวัน

ข้างกายเขายังล้อมรอบด้วยชายหญิงกลุ่มหนึ่ง ล้วนแต่บุคลิกไม่ธรรมดา

ครืน!

เห็นพวกหลินสวินสามคนอยู่ข้างหน้า แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดบรรพกาลพวกนั้นหรือทุกคนบนยานสำเภาสีเลือดก็ต่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เจ้าคางคกและอาหลู่ล้วนโกรธจัด ทว่ากลับถูกหลินสวินคุมตัวพาพุ่งหลบไปอีกด้าน หลีกทางแต่โดยดี

ห้วงอากาศแถบนี้อลหม่าน ยานสำเภาสีเลือดกดอัดผ่านไปโดยไม่หยุดพัก ส่งเสียงกัมปนาทห่างออกไปราวฟ้าคำราม เหลือไว้เพียงคลื่นลมแผ่กระจาย

ยังได้ยินเสียงเยาะหยันและปรามาสบางส่วนอยู่รางๆ คล้ายกำลังวิจารณ์พวกหลินสวิน เจือกลิ่นอายสัพยอก

เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างหัวเสีย สีหน้าไม่น่าดู เมื่อครู่คนพวกนั้นจงใจชัดๆ บนฟ้ากว้างใหญ่เสียปานนั้นยังดันทุรังเคลื่อนตัวเบียดพวกเขา นี่มันทำเกินไปแล้ว

หว่างคิ้วหลินสวินฉายแววเยียบเย็นวูบหนึ่ง

อะไรที่เรียกว่าอวดดีอันธพาล

นี่แหละใช่!

“การต่อสู้มหามรรคถอยเพียงก้าวทุกก้าวล้วนถอยร่น ทุกท่าน เจตจำนงพวกเจ้าถูกสั่นคลอนแล้ว เชิญกลับไปเถอะ มหามรรคขอบเขตมกุฎระดับราชันคงถูกลิขิตให้ไร้วาสนากับพวกเจ้าแน่”

เวลานี้ชายผมเทาท่าทางองอาจคนหนึ่งที่แบกธนูยาวกระดูกสัตว์ผ่านมาก็กล่าววิจารณ์ลอยๆ เจือความดูถูกเสี้ยวหนึ่ง

เขาก้าวย่างเพียงครา แสงมรรคใต้เท้าดุจใบบัว แบกเขาลอยล่องไปเบื้องหน้า ชั่วพริบตาก็โฉบไปยังที่ห่างไกล

จากนั้นอินทรีฟ้ากิเลนเขียวตัวหนึ่งโฉบขวางนภา บนตัวมันแบกหญิงสาวหน้าผากมนคนหนึ่ง นางกล่าวเย็นชา “หากยืนกรานมุ่งหน้าต่อก็เตรียมตัวเป็นแท่นรองเหยียบเถอะ ผู้อยู่ใต้ระดับราชันแม้ล้วนมีโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ แต่ก็มีคนได้กลายเป็นราชัน และมีคนที่ต้องฝังกระดูกเป็นหนทางให้คนอื่นเหยียบย่ำ”

สีหน้าเจ้าคางคกและอาหลู่ผิดแปลกหาใดเปรียบ แค่หลีกทางให้ก็ถูกมองเป็นการแสดงออกที่ขี้ขลาด ช่างทำให้คนเดือดดาล

“ทุกท่านอย่าได้หมดกำลังใจ บนยานสำเภาโลหิตเมื่อครู่คือผู้ฝึกปราณของสำนักโบราณ ‘เขาวิญญาณหมื่นอสูร’ กระทำการป่าเถื่อนและอวดดีเป็นที่สุด”

ชายหนุ่มปีกเทาแต่กำเนิดคนหนึ่งเข้ามาใกล้ ทำการกล่าวเตือนด้วยหวังดี ดูท่าทางเขาเห็นชัดว่าเป็นลูกหลานเผ่าวาทวาโยคนหนึ่ง

แต่เมื่อเขาเห็นรูปร่างหน้าตาหลินสวินชัดเจนก็พลันอึ้งงันทันที กล่าวเสียงหลง “เทพมารหลิน?”

เห็นชัดว่าเขาจำหลินสวินได้!

นึกถึงว่าตนกล่าวเตือนเทพมารหลินอย่างโอ้อวดไม่กระดากว่าอย่าท้อถอยไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มก็เหงื่อแตกพลั่ก

เขารีบร้อนกล่าวอย่างอักอ่วน “เมื่อครู่ข้าไม่รู้ว่าเป็นคุณชายหลิน คำพูดเตือนเหล่านั้นขอท่านอย่าถือสา”

หลินสวินมีหรือจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขา โบกมือให้เขาจากไป

“เขาวิญญาณหมื่นอสูรรึ ข้าจำไว้แล้ว!”

เวลานี้เจ้าคางคกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยปาก เขาเก็บกลั้นโทสะไว้เต็มท้อง ถูกคนตวาดให้ถอยหลีกทำให้เขาเดือดพล่านพอดูแล้ว เวลานี้ยังทยอยถูกคนสบประมาท ช่างเป็นการราดน้ำมันบนกองไฟ ทำให้เขาโกรธจนควันออกหู

“ยังมีเจ้าหนูแบกธนูยาวและนางตัวดีขี่อินทรีนั่น ข้าจำพวกมันไว้หมดแล้ว! มารดามันเถอะ กล้ามองพวกเราเป็นแท่นรองเหยียบ ข้าจะใช้เท้าเหยียบพวกมันให้ติดพื้นเลย”

อาหลู่กล่าวอย่างงุ่นง่าน ข้อต่อกระดูกทั่วร่างลั่นดังกร๊อบๆ

หลินสวินยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาดำใสกระจ่าง เขาไม่พูดมากความและไม่ล่าช้าอีก เดินหน้าต่อไป

ผ่านไปนาน

บนสนามรบโบราณข้างหน้าปรากฏเมืองแห่งหนึ่ง ทิวทัศน์งามตระการตาขวางกลางฟ้าดิน เสมือนตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดจนปัจจุบัน กลิ่นอายเหนือกาลเวลายังอบอวลอยู่ชั่วนิรันดร์

ตอนนี้มีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนกำลังรวมตัวหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่มุ่งไปข้างหน้าอีก ล้วนกำลังทอดมองและสำรวจเมืองแห่งนี้

เมืองนี้เก่าแก่นัก ตัวกำแพงทิ้งคราบเลือดกระดำกระด่าง ตั้งอยู่ในสนามรบโบราณ แม้ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดแต่กลับไม่ถูกพังทลายและเสียหาย เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ

มันไม่ได้ใหญ่โต มีอาณาเขตเพียงสิบกว่าลี้ แต่กำแพงเมืองกลับหนาดั่งภูผาสูงตระหง่าน ทั้งราวสัตว์ปีศาจดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งลงหลักปักฐานอยู่ตรงนั้น คล้ายไม่หวาดกลัวการกัดกร่อนแห่งกาลเวลา ทั้งไม่หวั่นเกรงพิบัติธรรมชาติภัยมนุษย์!

“เมืองนำทาง!”

คนมากมายต่างเผยความฮึกเหิมและมุ่งหวัง

ยามมหายุคมาเยือนจะมีแท่นมรรคบูชาอริยะสามพันแห่งบังเกิดขึ้นในต่างบริเวณทั่วหล้า มีเพียงก้าวผ่านแท่นมรรคบูชาอริยะถึงจะสามารถเข้าไปในแดนมกุฎได้

และ ‘เมืองนำทาง’ ที่กล่าวถึงก็คือสถานที่ซึ่งแท่นมรรคบูชาอริยะจะมาเยือน!

ฟ้าดินสลัว เมืองแห่งนี้เงียบสงัดเด่นตระหง่าน ประตูเมืองปิดสนิท

รอบเมืองสัตว์ปีศาจร้องคำราม ปักษาเทพขานเจื้อยแจ้ว กลุ่มขุมอำนาจผู้ฝึกปราณหลายหลากต่างยึดครองอาณาเขตเฝ้ารอ

คนเยอะมาก!

กวาดสายตามองจากไกลๆ ทั้งเมืองนำทางล้วนถูกเงาร่างผู้ฝึกปราณโอบล้อมดุจกระแสน้ำ แน่นขนัดมืดฟ้ามัวดิน

“ยามมหายุคมาเยือน แท่นมรรคบูชาอริยะก็จะมาที่เมืองนี้ ถึงเวลานั้นพลังผนึกเมืองจะเปิดออกให้ผู้ฝึกปราณเข้าไปข้างใน” เจ้าคางคกกล่าวเตือนเสียงเบา

หลินสวินพยักหน้า หากไม่เห็นกับตาตัวเองเขาคงไม่อาจจินตนาการ ว่าส่วนลึกของสนามรบโบราณที่ประหนึ่งซากปรักหักพังนี้ จะมีเมืองโบราณลึกลับเช่นนี้ตั้งอยู่

“คนมากเกินไปแล้ว อย่างน้อยก็มีหลายหมื่น!” อาหลู่ตกใจอยู่บ้าง สำรวจมองโดยรอบ

รอบเมืองนี้มีผู้ฝึกปราณมากมาย แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียดก็จะพบว่าพวกเขาต่างเกาะกลุ่มเป็นขบวน แบ่งออกเป็นกลุ่มของใครของมัน สามารถแยกแยะได้ชัดเจน

หลินสวินสังเกตเห็นเช่นกันว่าบุคคลขอบเขตมกุฎในที่นี้มีเยอะมาก โดดเด่นอยู่ในบริเวณต่างๆ ประหนึ่งหงส์ในหมู่กา ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

อีกาทองตัวหนึ่งยืนสยายปีกทองอร่ามจ้าตาดั่งดวงตะวัน

เหล่าชายหญิงทั้งหมดรวมตัวกันโดยรอบ บริเวณใกล้เคียงพวกเขาเว้นที่ว่างเป็นวงกว้าง ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้ ไม่ต่างอะไรกับการแบ่งอาณาเขต

ขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณของเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็เกาะกลุ่มรวมตัว ที่ถูกจับตามองที่สุดคือชายสวมเกี้ยวประดับสูง ตรงเอวคาดขลุ่ยยาวเขียวมรกต เงาร่างหยิ่งทะนงคนนั้น

“คนผู้นี้นามเหลียงเซวี่ยอิ๋น สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรที่เพิ่งปรากฏตัวบนโลกในช่วงนี้ ศักยภาพลึกล้ำเกินคาดเดา ได้ยินว่าเขาครอบครองมหามรรคเทียมฟ้าอัศจรรย์บางอย่าง สามารถใช้พลังแห่งหมื่นวิญญาณได้”

มีคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ เผยฐานะของชายสวมเกี้ยวประดับสูงนั่น

นอกจากนี้พวกหลินสวินก็สังเกตเห็นชายหนุ่มที่แบกธนูยาวกระดูกสัตว์ ผมเทาทั้งศีรษะนั่นกำลังสนทนากับคนกลุ่มหนึ่ง

ยามสังเกตเห็นสายตาหลินสวิน ชายหนุ่มผมเทาก็มองมาทางนี้วูบหนึ่ง แววตาเพลิดเพลิน มุมปากโค้งขึ้นราวยั่วยุ

ทันใดนั้นเสียงก้องกังวานหนึ่งพลันดังขึ้น อินทรีฟ้ากิเลนเขียวตัวหนึ่งโฉบลงมาจากฟากฟ้า

บนตัวมันมีหญิงสาวหน้าผากมน สีหน้าเย็นชาครัดเคร่งคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปโฉมงดงามไม่ธรรมดา กลิ่นอายทรงพลัง แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่บุคคลธรรมดา

บนหนทางก่อนหน้านี้พวกหลินสวินเคยพบหญิงสาวคนนี้มาก่อน ยังถูกฝ่ายตรงข้ามเหน็บแนมกระทบกระเทียบ บอกว่าหากยืนกรานมุ่งหน้าต่อไปจะต้องกลายเป็นแท่นรองเหยียบ!

………………….