ราชันเร้นลับ 1249 : เบ่งพลัง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

บึ้ม! บึ้ม!

ณ หลุมหลบภัยในกรุงเบ็คลันด์ ออเดรย์ที่แต่งกายในชุดล่าสัตว์เงี่ยหูฟังเสียงระเบิดที่ดังมาจากจุดห่างไกล

เมื่อหันศีรษะกลับมา หญิงสาวพบเมลิสซ่าที่กำลังจ้องมองตนด้วยใบหน้าสับสน

เด็กสาวที่เพิ่งกลายเป็นหญิงสาวถามเสียงสั่นเครือ

“มิสออเดรย์ ถ้าพวกเราพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ สงครามจะยุติลงหรือไม่? ภาวะขาดแคลนอาหารและภัยสงครามจะหมดไปไหม?”

ออเดรย์จ้องด้วยสายตาลุ่มลึกก่อนจะกล่าว

“แต่ถ้าลงเอยเช่นนั้น คุณก็ต้องเปลี่ยนศาสนา”

เมลิสซ่าเผยสีหน้าลังเลเนื่องจากจนปัญญาจะตอบ ทันใดนั้น ชาวเมืองที่ขดตัวอยู่ริมกำแพงโพล่งขึ้น

“ฉันนับถือเทพจักรกลไอน้ำ! ต่อให้ฟุซัคและอินทิสชนะสงคราม ฉันก็ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา!”

เมื่อถึงเวลานั้น ชีวิตจะกลับมาสงบสุขและอบอุ่นได้อีกครั้ง!

คำพูดดังกล่าวสั่นคลอนจิตใจของพลเรือนจำนวนมากที่ซ่อนตัวในหลุมหลบภัย หลายคนถกเถียงกันถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหลายคนในนี้เป็นสาวกของโบสถ์รัตติกาล

สำหรับคนส่วนใหญ่ ความเชื่อไม่สำคัญไปกว่าชีวิต เพราะไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดเทพแท้จริงก็ต้องคอยคุ้มครองพวกตน

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยดูแลความเรียบร้อยในหลุมหลบภัยมิได้ห้ามปรามหัวข้อสนทนา หลายคนทำเพียงเฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชา แต่ก็มีบางส่วนที่แสดงสีหน้าคาดหวัง

แต่ผู้แพ้จะมีชะตากรรมโหดร้ายกว่าที่พวกคุณคิด… ไม่ได้จบแค่การเปลี่ยนศาสนาแน่นอน… ไม่ว่าจะข้อมูลจากบันทึกประวัติศาสตร์หรือศาสตร์แห่งจิตวิทยามนุษย์ ทุกสิ่งหล่อหลอมให้ออเดรย์มองโลกในแง่ร้าย

หญิงสาวมองไปรอบตัวและอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อ

หลักยึดเหนี่ยวของเทพธิดากำลังสั่นคลอนอย่างหนัก… หากไม่ใช่เพราะทางโบสถ์คอยแจกจ่ายอาหารในช่วงที่ผ่านมา ป่านนี้คงพังครืนโดยสมบูรณ์ไปแล้ว…

และออเดรย์ก็เข้าใจความหมายของสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี หญิงสาวหลับตาเอียงคอพึมพำเงียบ:

ศึกระหว่างทวยเทพกำลังจะเริ่ม…

และผลลัพธ์ของสงครามใกล้จะได้ข้อสรุป

หลังจากพยักหน้าให้เมลิสซ่า ออเดรย์หันหลังและเดินไปทางประตูหลุมหลบภัย

ซูซี่ สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ขนทองกำลังนั่งยองอย่างสงบนิ่งอยู่ที่นั่นประหนึ่งองครักษ์

“เธอ… ไม่คิดจะกลับไปจริงๆ หรือ?” ซูซี่หรี่เสียงถามพลางฟุดฟิดจมูก

นับตั้งแต่กรุงเบ็คลันด์เริ่มถูกตีโอบในตอนเช้า ออเดรย์ก็ถูกพามายังหลุมหลบภัยแห่งนี้และซ่อนตัวจนถึงปัจจุบัน จึงไม่มีโอกาสกลับไปยังคฤหาสน์ของตระกูลที่เขตราชินี แต่เมื่อการต่อสู้เริ่มทวีความรุนแรง เอิร์ลฮอลล์ตัดสินใจส่งคนมารบเร้าให้เธอกลับบ้าน จะได้ย้ายไปยังหลุมหลบภัยของขุนนางโดยเฉพาะ

ออเดรย์ส่ายหน้าพลางยิ้มจาง

“ฉันมีบางสิ่งที่ต้องทำ”

โดยไม่รอให้ซูซี่ตอบ เธอยิ้มและกล่าวต่อ

“เธอต้องอยู่ที่นี่และคอยแอบปลอบประโลมพวกเขาแทนฉัน อย่าให้เกิดความโกลาหลเด็ดขาด ถ้ามีใครอยากสัมผัสตัวเธอก็ปล่อยให้เขาทำ”

ซูซี่ลังเลสองวินาที

“…ตกลง”

ออเดรย์ไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงเดินออกจากหลุมหลบภัยโดยที่ไม่มีทหารเวรยามคนใดสังเกตเห็น

ท้องฟ้าด้านนอกกำลังมืดครึ้ม อาคารหลายหลังพังถล่ม บางหลังอาบด้วยเปลวไฟที่ใกล้มอด ถนนหนทางโปร่งโล่งปราศจากคนเดิน

นี่คือเบ็คลันด์ที่ต่างออกไปจากความทรงจำของออเดรย์

เบ็คลันด์ตามปรกติจะมีสีโทนฟ้า เหลือง และเหลืองไข่ไก่ เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา รุ่งโรจน์ และเปี่ยมไปด้วยพลังงาน แต่ปัจจุบันเมืองหลวงแห่งอาณาจักรโลเอ็นกำลังถูกย้อมด้วยสีเทา ดำ และแดงสด เต็มไปด้วยความพังพินาศ โกลาหล และเงียบสงัด

เหลียวซ้ายแลขวาสักพักจนกระทั่งจับทิศทางได้ ออเดรย์ในชุดล่าสัตว์เดินตรงไปทางชายขอบของเมือง

สิ่งที่เธอต้องการจะทำนั้นไม่ซับซ้อน:

เข้าร่วมสงครามและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้โลเอ็นพ่ายแพ้ก่อนที่ศึกระหว่างทวยเทพจะจบลง

แต่ถ้าลงเอยด้วยชัยชนะของฝ่ายศัตรู หญิงสาวก็มีวิธีรับมือแล้วเช่นกัน นั่นคือการใช้พลังอย่างฝังการชี้นำ สะกดจิต โรคระบาดทางจิต และอีกมากมายเพื่อป้องกันมิให้ทหารกับผู้วิเศษของฝ่ายศัตรูระบายอารมณ์ใส่พลเรือน รวมถึงลดทอนความเสียหายของสงครามให้ได้มากที่สุด

ท่ามกลางเปลวไฟที่ไหววูบ ออเดรย์รีบเดินผ่านไปจนกระทั่งลับสายตา

หมู่เกาะรอสต์ เมืองแห่งการให้ บายัม ภายในห้องชั้นบนสุดของมหาวิหารคลื่นสมุทร

เดนิสที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำ กำลังเผชิญหน้ากับพระคาร์ดินัลผู้โด่งดังแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาวุโสใหญ่แห่งทูตพิพากษา แยนน์·ค็อตแมน

เมื่อเหลือบไปเห็นกล้ามต้นแขนอันบึกบึนใต้ชุดคลุมนักบวช เดนิสกลืนคำที่เตรียมไว้ลงคอและเรียบเรียงใหม่:

“ฉันมาด้วยเจตนาดี”

ด้วยเหตุผลบางประการ มันรู้สึกว่าผิวหนังของตนเริ่มชา ประหนึ่งมีสายฟ้าล่องหนกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ด้านบน

“เจตนาดี?” แยนน์·ค็อตแมนเจ้าของร่างกายกำยำบึกบึนแต่สง่างามคำรามต่ำ

ฟู่ว… โชคดีที่เราคิดเผื่อไว้แล้วว่าเส้นทางลูกเรือเป็นพวกฉุนเฉียวง่ายและไม่ค่อยขำมุกตลก และจะไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดทั้งนั้นในยามที่โทสะปะทุ… ก็เลยต้องมาคอยพูดเพราะกันแบบนี้… แม่เย็*! เดนิสพึมพำกับตัวเองพลางพยายามฝืนรักษารอยยิ้ม จากนั้นก็อธิบายเจตนารมณ์ของกลุ่มต่อต้าน

แยนน์·ค็อตแมนจ้องหน้าโจรสลัดที่คนดังที่ยังไม่แน่ชัดว่าออกจาก ‘ฝันทองคำ’ แล้วหรือยัง ตามด้วยพ่นลมหายใจ:

“ถ้าเราถอนกำลังหลักออกจากที่นี่… พวกนายจะปกป้องบายัมและหมู่เกาะข้างเคียงได้จริงหรือ? ถ้าทำไม่ได้ แล้วจะรับประกันได้อย่างไรว่าช่องทางรายได้ทั้งหมดของโลเอ็นจะปลอดภัย คิดว่ากองทัพร่วมฟุซัคเฟเนพ็อตอ่อนแอจนไม่สามารถทะลวงแนวป้องกันห่วยๆ ได้หรือ?”

ครึ่งเทพอย่างมันย่อมทราบแน่ชัดว่าเทพสมุทรคาเวทูว่าร่วงหล่นไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ใจว่าใครคือตัวแทน ‘เทพสมุทร’ คนใหม่ และตัวตนลึกลับดังกล่าวจะปกป้องหมู่เกาะรอสต์ได้จริงไหม

เป็นคำถามที่ดี… ถ้าอีกฝ่ายยิงคำถามที่สมเหตุสมผล ประตูแห่งการเจรจาก็จะเปิดออก… อันที่จริงเดนิสก็ไม่ทราบว่ากลุ่มต่อต้านจะใช้วิธีใดในการปกป้องช่องทางรายได้ของโลเอ็นขณะที่กองทัพและโบสถ์วายุถอนกำลังกลับไปช่วยเบ็คลันด์ มันเพียงเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์และมิสเตอร์ฟูลที่อยู่เบื้องหลังแข็งแกร่งมากพอที่จะรักษาสัญญา

ท่ามกลางกระแสความคิด เดนิสจ้องไปทางเจ้าสมุทรที่แผ่แรงกดดันมหาศาล:

“ฉันจะสวดวิงวอนถึงพระองค์และขอให้พระองค์ช่วยปกป้องหมู่เกาะรอสต์”

“โฮ่…” เจ้าสมุทร แยนน์·ค็อตแมนหรี่ตาลงและก้าวเข้าหา

ออร่าจากเส้นทางทรราชคุกคามหนักหน่วงจนเดนิสผงะถอยหลังสองก้าว มันรีบก้มหน้าลงและสวดวิงวอนเป็นการเร่งด่วน

“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งคลื่นยักษ์และลมพายุ มหาคาเวทูว่า ได้โปรดส่งพลังของพระองค์ลงมาปกป้องหมู่เกาะแห่งนี้…”

สิ้นเสียงสวดวิงวอน เดนิสรีบมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดเลย

แยนน์·ค็อตแมนจ้องหัวจรดเท้าก่อนจะกล่าวเย้ยหยัน

“ดูเหมือนว่าเทพของนายจะไม่ตอบสนองนะ…”

“แฮ่ม!” เดนิสกระแอมแห้งด้วยหัวใจที่เต้นระรัวราวกับกลองศึก

ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงกะทันหัน ประหนึ่งเมฆดำจำนวนมากถูกคลื่นย้ายมาที่นี่จนแสงอาทิตย์ถูกบดบัง

เจ้าสมุทร แยนน์·ค็อตแมนรีบมองออกไปนอกหน้าต่างตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็พบว่าท้องฟ้าที่ดำมืดทอดยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า

เนื่องจากน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์คือ ‘เขตการปกครอง’ ของมัน เจ้าสมุทรรายนี้จึงมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดผ่านนิมิต:

หมู่เกาะรอสต์ทั้งหมดรวมถึงน่านน้ำโดยรอบกำลังถูกหมอกหนาปกคลุม กลายเป็นดินแดนที่ดูไม่สมจริง

นกทะเลตัวหนึ่งบินเข้ามาในหมอกและพยายามลงจอดบนท่าเรือ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ

พลเมืองทั่วไปบนเกาะยังชีวิตไปตามปรกติ เพียงแค่รู้สึกว่าพายุกำลังจะก่อตัว

นี่มัน… รูม่านตาสีน้ำเงินเข้มของแยนน์·ค็อตแมนหดเกร็งรุนแรง จากนั้นก็รีบหันมาจ้องเดนิสผู้อ้างตัวว่าเป็นข้ารับใช้แห่งเทพสมุทร

เดนิสอ้าปากค้างเล็กน้อยโดยไม่หุบลง ความตกตะลึงของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่แยนน์·ค็อตแมนรู้สึก

หลายวินาทีถัดมา หมอกหนาสลายตัวไปพร้อมกับเงาดำบนท้องฟ้า บรรยากาศรอบหมู่เกาะรอสต์กลับมาเป็นปรกติ

“…” เดนิสกะพริบตาถี่ จนกระทั่งเห็นว่าเจ้าสมุทรหันกลับมาจ้องตนอีกครั้ง มันรีบกล่าวพลางหัวเราะในลำคอ “พระองค์ตอบสนองแล้ว”

ขณะกล่าว โจรสลัดคนดังที่มีค่าหัวเกินหนึ่งหมื่นปอนด์ตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาดในใจ

แม่เย็*! เดนิส! กล้าดียังไงถึงสงสัยในตัวมิสเตอร์ฟูล? ต…แต่ว่า มิสเตอร์ฟูลทรงพลังขนาดนี้เชียว?

แยนน์·ค็อตแมนเงียบงันไปหลายวินาที:

“ทางเราจะรับข้อเสนอนี้ไว้พิจารณา… ขอปรึกษาหารือกับบุคคลสำคัญในบายัมก่อน จะมอบคำตอบในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง”

เดนิสเชิดคางพลางยกมุมปาก

“แล้วจะรอนะ”

กล่าวจบ มันทำตามสัญชาตญาณของนักล่าโดยการแสดงความเคารพพอเป็นพิธีก่อนจะเดินออกจากห้อง

ท่ามกลางเสียงประตูไม้เสียดสี เส้นสายฟ้าจำนวนมากปรากฏขึ้นภายในดวงตาสีฟ้าของแยนน์·ค็อตแมน

เหนือสายหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ

ไคลน์โยน ‘ม่าน’ กลับเข้าไปในหม้อโลหะและทำการผนึกอีกครั้ง

เมื่อครู่มันเพิ่งใช้ตะกอนพลังลำดับ 1 อย่างบริวารเร้นลับในการระดมพลังมิติเหนือสายหมอกและสร้างความตกตะลึงให้กับแยนน์·ค็อตแมน

ในอีกครึ่งวัน ตะกอนพลังบริวารเร้นลับจะถูกสกัดออก และส่วนที่เหลือสามารถนำไปปรุงเป็นโอสถผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ได้ทันที… อา… แต่ถ้าตะกอนพลังเหลือแค่ลำดับ 2 เมื่อใด เราสามารถลองระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อป่นมันและแยกตะกอนพลังของปราชญ์เร้นลับกับจอมเวทพิสดารออก วิธีนี้จะช่วยลดอันตรายในการดื่มโอสถได้หลายระดับ… ไคลน์พึมพำก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง

สถานที่ปัจจุบันของมันมิใช่ดินแดนอันรกร้างและมืดมิดอีกต่อไป หากแต่เป็นวังราชาคนยักษ์ที่มีแสงสนธยาถูกแช่แข็ง

ชายหนุ่มรีบรุดหน้ามายังวังราชาคนยักษ์ก่อนที่ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จะเดินทางถึงค่ายหมู่บ้านยามบ่าย

ท่ามกลางแสงสนธยาสีส้ม ไคลน์สัมผัสถึงออร่าความเสื่อมทรามและอ่อนล้า มันแหงนหน้ามองอาคารที่ตั้งเด่นตระหง่านในตำแหน่งสูงสุด

ตำหนักและหอคอยจำนวนมากยังคงยิ่งใหญ่อลังการเฉกเช่นในยุคสมัยที่สอง ราวกับเป็นตำนานที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน

ไม่สิ ไม่ใช่ราวกับ แต่นี่คือตำนานของจริง

ไคลน์มีแผนจะเปิดตำหนักบรรทมของเทวทูตมืดซาสเรียก่อนที่ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์จะเดินทางมาถึง

ด้วยวิธีข้างต้น หากมีสิ่งไม่คาดฝันรออยู่ด้านใน ทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จะได้มีเวลาเตรียมตัวรับมือ สำหรับอันตรายที่ไคลน์อาจได้รับ มันไม่กังวลสักเท่าไร เพราะผู้ทำการทดลองไม่ใช่ใครนอกจากภาพฉายทางประวัติศาสตร์

………………………