บทที่ 575.3 ออกจากบ้านก็ต้องต่อยตีสักรอบสองรอบ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สุดท้ายการออกจากเมืองไปสังหารศัตรูครั้งนั้น การแสดงออกของเยี่ยนจั๋วทำให้ทุกคนต้องมองเขาเสียใหม่ แม้แต่พวกคนแก่หัวโบราณในตระกูลที่ไม่ว่าจะมองเขาอย่างไรก็ล้วนไม่ถูกชะตาก็ยังไม่พูดจาระคายหูที่ชวนให้คนโมโหอีก อย่างน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าก็ไม่พูดว่าเขาเยี่ยนจั๋วคือ ‘หมูที่ถูกตระกูลเยี่ยนตั้งใจเลี้ยงดู ไม่รู้ว่าปีศาจตนใดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โชคดีขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมากมาย ลำพังแค่เลือดหมูก็เอาไปขายได้หลายตัง ช่างเป็นการค้าที่ดีจริงๆ’ อีก

และครั้งนั้นก็เป็นครั้งที่ท่านแม่ของตนมองดูบุตรชายที่นอนป่วยอยู่บนเตียงแล้วร้องไห้ได้สมเหตุสมผลมากที่สุด

เมื่อก่อนทุกครั้งที่ออกไปก่อเรื่องนอกบ้าน ถูกคนรังแกก็ดี ต่อให้ถูกคนต่อยตีจนหน้าบวมจมูกเขียวก็ช่าง พอกลับมาถึงบ้าน ท่านพ่อจะไม่พูดอะไร ถึงขั้นคร้านจะมองบุตรชายอย่างเขาด้วยซ้ำ ในเรื่องของการออกจากบ้านลงสนามรบของเขานี้ บุรุษที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างมานานแล้วอย่างมากสุดก็แค่ชำเลืองตามองสตรีแต่งงานแล้วทีหนึ่งแล้วยิ้มอย่างเย็นชา แต่ครั้งนั้นที่เยี่ยนจั๋วออกจากหัวกำแพงเมือง บุรุษพูดน้อยที่ไม่มีมือสองข้างมานานกี่ปีก็ไม่เคยไปที่หัวกำแพงเมืองมานานเท่านั้นกลับพยายามค้อมเอวลงเพื่อแบกบุตรชายกลับเข้ามาในเมืองด้วยตัวเอง

ตอนนั้นกลับมาถึงตระกูลเยี่ยน นอนอยู่บนเตียง อาเหลียงยืนเอนพิงกรอบประตู ยิ้มตาหยีมองเยี่ยนจั๋วแล้วยกนิ้วโป้งให้

ตอนนี้นายน้อยใหญ่ของตระกูลเยี่ยนไม่ได้มีขอบเขตสูงที่สุด กระบี่บินก็ไม่ได้เร็วที่สุด สังหารศัตรูไม่ได้มากที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ตอแยด้วยยากที่สุด เพราะไอ้หมอนี่มีวิชาเอาตัวรอดเยอะที่สุด

เตี๋ยจ้างที่มีแขนข้างเดียว หลังจากแยกกับพวกเพื่อนๆ แล้วก็กลับไปยังตรอกเก่าโทรมสภาพรกรุงรังแห่งหนึ่ง อาศัยเงินเทพเซียนที่สะสมมาช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ นางจึงสามารถซื้อเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งได้ นี่ก็คือความฝันที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเตี๋ยจ้าง สามารถมีที่พักพิงให้หลบลมหลบฝนได้สักแห่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้เตี๋ยจ้างจึงไม่มีความปรารถนาอะไรอีกแล้ว

เดิมทีเตี๋ยจ้างนึกว่าความฝันนี้คงไม่อาจเป็นจริงได้ จนกระทั่งนางได้พบกับชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมคนนั้น เขาชื่อว่าอาเหลียง

ตอนเป็นเด็กนางชอบช่วยวิ่งไปซื้อเหล้าให้เขามากที่สุด ไม่ว่าจะตรอกเล็กหรือถนนใหญ่นางก็ล้วนไปมาหมดเพื่อซื้อเหล้าหลากหลายชนิดมาให้เขา อาเหลียงบอกว่า คนคนหนึ่งในช่วงเวลาที่อารมณ์แตกต่างกันก็จะต้องดื่มเหล้าที่แตกต่างกัน เหล้าบางอย่างช่วยทำให้ลืมความทุกข์ได้ ทำให้จากที่ไม่สบายใจกลายเป็นสบายใจ แล้วก็มีเหล้าบางอย่างที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนาน ทำให้อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีขึ้นไปอีก เหล้าที่ดีที่สุดก็คือเหล้าที่ทำให้คนดื่มโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ดื่มเหล้าก็คือแค่ดื่มเหล้า

ตอนนั้นเตี๋ยจ้างอายุยังน้อยเกินไป นางจึงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย สนใจแต่ว่าทุกครั้งที่ตนวิ่งไปซื้อเหล้าให้เขาจะสามารถเก็บสะสมเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่ แน่นอนว่าก็มีบางครั้งที่ต้องติดค้างค่าเหล้าเอาไว้ก่อน พอสนิทสนมกับอาเหลียงแล้ว อาเหลียงก็บอกว่าเป็นสตรีคนหนึ่ง ในเมื่อเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังหน้าตาดีขนาดนี้ ก็ควรต้องมีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นค่าเหล้าบางส่วนก็ให้บันทึกลงบัญชีของเตี๋ยจ้าง เขาอาเหลียงเป็นคนอย่างไร จะชักดาบไม่จ่ายเงินหรือ? วันหน้าหากมีโอกาสก็ลองไปถามใต้หล้าไพศาลดู ลองถามใครดูก็ได้ ถามสิว่ารู้จักบุรุษที่ชื่ออาเหลียงหรือไม่ ถามดูว่าอาเหลียงเคยติดหนี้ใครแล้วไม่จ่ายเงินไหม เด็กสาวเตี๋ยจ้างที่ตอนนั้นยังไม่ถูกปีศาจตัดแขนไปข้างหนึ่งมองอาเหลียงที่ตกอบเสียงดังสนั่นฟ้า ก็หลงเชื่อ

อันที่จริงชื่อเตี๋ยจ้างนี้ ยังเป็นอาเหลียงที่ช่วยตั้งให้ เขาบอกว่าทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาลงดงามกว่าสถานที่ที่นกไม่มาขี้แห่งนี้มากนัก โดยเฉพาะขุนเขาที่ทับซ้อนกัน (เตี๋ยจ้าง) สีเขียวมรกตราวกับจะคั้นน้ำได้นั้น งดงามเกินคำบรรยาย ภูเขาเขียวแต่ละลูกก็คล้ายกับสตรีแต่ละคนที่เรือนกายสะโอดสะองบอบบาง พวกนางตัวสูงขนาดนั้น ต่อให้บุรุษคิดจะไม่มองพวกนาง ก็ยังยาก

เตี๋ยจ้างเปิดประตูเรือน มานั่งอยู่ในลานบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นพี่หญิงหนิงได้กลับมาพบเจอกับคนที่ตัวเองชอบหลังจากจากลากันไปนานอีกครั้ง

นางจึงนึกถึงบัณฑิตลัทธิขงจื๊อที่เอา ‘ฮ่าวหรันชี่’ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) เล่มนั้นไป ปีนั้นเป็นนักปราชญ์ที่มาฝึกประสบการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ พอกลับไปก็ได้เป็นวิญญูชนของสถานศึกษาแล้ว

ไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่เจ้าของเรือนหลังนี้จะจากโลกนี้ไป จะยังมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้งหรือไม่ ความในใจบางอย่าง ไม่ว่าพูดไปแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ควรจะให้เขารู้สักหน่อย

ต่ง เฉิน คือแซ่ใหญ่ที่แท้จริงของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ตระกูลของเจ้าอ้วนเยี่ยนอาจจะอาศัยเงินเทพเซียนที่มากมายดุจภูเขาเงินภูเขาทอง แต่ตระกูลของต่งฮว่าฝูและเฉินซานชิวสองคนนี้กลับอาศัยเซียนกระบี่รุ่นแล้วรุ่นเล่า

บ้านของต่งฮว่าฝูอยู่ใกล้กับบ้านของเฉินซานชิวมาก จวนทั้งสองตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน

เด็กสาวหลายคนที่พอเติบใหญ่ ใบหน้ากลมๆ ก็แปรเปลี่ยนตามกาลเวลาไปเป็นใบหน้าเรียวเล็ก คางแหลมกันตามธรรมชาติ แต่พี่สาวของต่งฮว่าฝูกลับไม่เหมือนกัน ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางกลับยังมีใบหน้ากลมเกลี้ยง เพียงแต่ต่งปู้เต๋อที่เป็นเช่นนี้กลับยังมีคนมากมายที่มาชื่นชอบทั้งอย่างโจ่งแจ้งและทั้งแอบรักอย่างลับๆ เพราะวิชากระบี่ของต่งปู้เต๋อสูงมาก พลังพิฆาตก็ยิ่งโดดเด่นกว่าใคร ยามที่สังหารศัตรูต่งปู้เต๋อชอบเดิมพันด้วยชีวิตเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นจึงสามารถตัดสินเป็นตายได้อย่างรวดเร็ว เป็นบุคคลที่ขนาดตัวอ่อนเซียนกระบี่ใหญ่ที่หยิ่งทระนงอย่างหนิงเหยาก็ยังต้องเคารพนับถือ

ต่งฮว่าฝูไม่สนใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิง แล้วก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็รู้ว่าเฉินซานชิวสหายรักของตนชอบต่งปู้เต๋อพี่สาวของเขามาโดยตลอด คนทั้งสองอายุห่างกันไม่มาก ได้ยินมาว่าตอนเป็นเด็กยังเป็นเพื่อนเล่นเติบโตมาด้วยกัน น่าเสียดายที่พี่สาวไม่ชอบเฉินซานชิว แล้วก็เคยพูดกับน้องชายอย่างเขาเป็นการส่วนตัวว่า นางรังเกียจที่เฉินซานชิวหน้าตาดีเกินไป แม้แต่ต่งฮว่าฝูที่เป็นดั่งตอไม้ทึ่มทื่อก็ยังรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย ต่งฮว่าฝูถึงขั้นกลัวว่าหากวันใดพี่สาวจะต้องแต่งงานออกเรือนไปจริงๆ เฉินซานชิวจะเสียใจจนกลายไปเป็นผีขี้เหล้า เฉินซานชิวชอบตามก้นอาเหลียงไปขอเหล้าดื่มมาตั้งแต่เด็ก วิชากระบี่เรียนรู้จากเขามาได้ไม่มาก ทว่านิสัยเสียๆ กลับเอามาหมด แต่พูดไปแล้วก็แปลก เฉินซานชิวชอบพี่สาวตน ชอบอย่างสุดจิตสุดใจ ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครอง แต่เวลาอยู่กับสตรีมากมายที่เห็นได้ชัดว่างดงามกว่าพี่สาวเขา เฉินซานชิวก็ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ที่ดูเหมือนว่าขอแค่สตรีโตเต็มวัยขายเหล้าพวกนั้นได้เห็นเฉินซานชิว ดวงตาก็จะเป็นประกาย ปล่อยให้เฉินซานจิวค้างค่าเหล้าได้ตามใจ

หน้าประตูจวนตระกูลต่งมีต่งปู้เต๋อพี่สาวของเขา และยังมีสตรีออกเรือนแล้วที่ท่าทางตื่นเต้นคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คือมารดาแท้ๆ ของพวกเขาสองพี่น้องนั่นเอง

ต่งฮว่าฝูรู้สึกหัวโตเล็กน้อย เขารู้ดีว่าพวกนางสองแม่ลูกต้องได้ยินข่าวแล้ว ก็เลยคิดจะมาถามว่าตนรู้เรื่องเกี่ยวกับเฉินผิงอันมากน้อยแค่ไหน หรือว่าสตรีใต้หล้านี้ล้วนชอบเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยแบบนี้กันทุกคน?

ต่งฮว่าฝูหันไปมองเฉินซานชิวที่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมบนถนนใหญ่ แล้วค่อยหันไปมองพี่สาวที่กวักมือรัวๆ เรียกหาตน

ต่งฮว่าฝูรู้สึกเจ็บปวดแทนอีกฝ่ายนิดๆ เฉินซานชิวไม่เลวเลยจริงๆ นะ เหตุใดพี่หญิงถึงไม่ชอบเขาล่ะ

ต่งฮว่าฝูเดินเข้าไปหาช้าๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเพิ่มปัญหาให้ตัวเองอีก เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องของพี่หญิงหนิงกับเฉินผิงอันผู้นั้น ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น หากอยากรู้ พวกท่านก็ไปถามที่จวนหนิงเอาเอง”

นี่เป็นเพราะต่งฮว่าฝูมีบทเรียนแล้ว ปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันไปจากหัวกำแพงเมือง มีครั้งหนึ่งที่พักดื่มเหล้าระหว่างสองศึกใหญ่ พี่หญิงหนิงดื่มเยอะอย่างที่หาได้ยาก นางไม่ทันระวังพูดความในใจของตัวเองออกมา บอกว่ามือข้างเดียวของนางก็สามารถจัดการเฉินผิงอันร้อยคนได้ ต่งฮว่าฝูรู้สึกว่าคำพูดนี้น่าสนใจ พอกลับไปบ้านไม่ทันระวังเลยไปพูดให้พี่สาวอย่างต่งปู้เต๋อฟัง ผลกลับดีนัก พอพี่สาวรู้ ท่านแม่ก็รู้ พอพวกนางสองคนรู้ สตรีทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็รู้กันเกือบหมด

สุดท้ายพี่หญิงหนิงโมโหจนหน้าเขียว คราวนั้นถึงกับไม่ให้เขาเข้าบ้าน พวกเจ้าอ้วนเยี่ยนต่างก็ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของเขา แล้วพากันเดินเอ้อระเหยเข้าจวนไป หากตอนนั้นไม่เป็นเพราะต่งฮว่าฝูมีไหวพริบ ยืนอยู่นิ่งๆ แล้วพูดว่าตนยินดีให้พี่หญิงหนิงใช้กระบี่ฟันหลายๆ ทีถือเป็นการไถ่โทษ คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปชมทัศนียภาพที่หน้าผาสังหารมังกรของจวนหนิงอีก ปกติแล้วพี่หญิงหนิงไม่ค่อยโกรธใคร แต่ขอแค่นางโกรธขึ้นมา นั่นก็จบเห่แล้ว ปีนั้นแม้แต่อาเหลียงก็ยังจนปัญญา คราวนั้นพี่หญิงหนิงแอบออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง อาเหลียงไปที่ภูเขาห้อยหัวก็ยังขวางนางไม่อยู่ พอกลับมาที่นครแห่งนี้ก็ดื่มเหล้าเงียบๆ หน้าตาไร้รอยยิ้มอยู่หลายวัน จนกระทั่งเยี่ยนจั๋วบอกว่าไม่มีเงินแล้วจริงๆ อาเหลียงถึงได้ยิ้มกว้าง บอกว่าเหล้านี่ได้ผลจริงๆ ดื่มเหล้าไปแล้ว ความกลัดกลุ้มทุกอย่างก็จางหายไป จากนั้นอาเหลียงก็คล้องแขนเฉินซานชิว บอกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์ไปแล้ว พวกเราไปดื่มเหล้าไร้ทุกข์กันบ้างดีกว่า

คิดมาถึงตรงนี้ ต่งฮว่าฝูก็ให้รู้สึกนับถือคนแซ่เฉินผู้นั้นจากใจจริง ดูเหมือนว่าต่อให้พี่หญิงหนิงจะโกรธจริงๆ ไอ้หมอนั่นก็สามารถทำให้พี่หญิงหนิงหายโกรธได้อย่างรวดเร็ว

ต่งปู้เต๋อกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างร้อนใจว่า “ได้ยินมาว่าคนผู้นั้นมาถึงแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง?”

เพื่อสหายแล้ว ต่งฮว่าฝูก็ได้แต่เอาท่าไม้ตายออกมาใช้ “ท่านชอบอาเหลียงไม่ใช่หรือ? จะถามเรื่องของเฉินผิงอันทำไม? เปลี่ยนใจแล้วงั้นหรือ? ต่อให้เปลี่ยนใจท่านก็แย่งเขาจากพี่หญิงหนิงไม่ได้หรอก”

สตรียื่นนิ้วสองข้างออกมาทิ่มหน้าผากบุตรสาวของตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “เด็กดื้อ พยายามเข้าอีกหน่อย ต้องให้อาเหลียงมาเป็นลูกเขยของแม่ให้ได้นะ”

พอนึกถึงว่าในอนาคตวันหนึ่ง บุรุษใจดำตามืดบอดคนนั้นจะต้องดื่มเหล้าคารวะแม่ยายอย่างตนด้วยความเคาพนอบน้อม สตรีก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน นางยื่นมือมาแนบแก้ม จุ๊ปากพูดว่า “รู้สึกลำบากใจเลยนะเนี่ย”

ต่งปู้เต๋อยิ้มบางๆ “ท่านแม่ท่านรอก่อนเถอะ ต้องมีวันนั้นแน่นอน”

ต่งฮว่าฝูล่ะยอมแพ้สองแม่ลูกคู่นี้จริงๆ

ในอดีตท่านแม่ของตนเคยชอบอาเหลียง นั่นเป็นเรื่องที่คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรับรู้ ตอนนี้พวกท่านน้าท่านป้าทั้งหลายที่ชอบแวะเวียนไปเยือนตามบ้านต่างๆ ยังชอบจงใจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่านพ่อของเขาด้วย โชคดีที่ไม่ใช่ว่าท่านพ่อของเขาจะไม่มีวิธีรับมือ เพราะว่าถึงอย่างไรในบรรดาท่านน้าท่านป้าทั้งหลาย หรือไม่ก็คนในครอบครัวของพวกนาง ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครที่ไม่เคยชอบอาเหลียงมาก่อน กลับกันยังมีหลายคนเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างบิดาของเขาต่งฮว่าฝูก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่สามารถถามกระบี่อาเหลียงติดต่อกันถึงสามครั้ง ชายโสดที่เป็นฝ่ายขอถามกระบี่จากอาเหลียงมีมากมายก่ายกอง แต่ละคนพากันกรูเข้าไปหาอาเหลียง อาเหลียงเองก็มีน้ำใจ บอกว่าถามกระบี่นั้นได้ แต่ต้องรับเงินเทพเซียนในการประลองนี้มาก่อนก้อนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นวีรบุรุษชายชาตรีแต่ละคน หากทำร้ายให้เขาอาเหลียงได้รับบาดเจ็บ ซื้อยารักษาบาดแผลก็ต้องใช้เงินไม่ใช่หรือ ผลก็คืออาเหลียงได้เงินเทพเซียนมานับไม่ถ้วนภายในวันเดียว และจากนั้นอาเหลียงก็เกือบจะใช้หนี้ค่าเหล้าได้หมดภายในค่ำคืนเดียว ต่อมาอาเหลียงก็วิ่งไปบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กุมหมัดตะโกนเสียงดังว่าข้าผู้อาวุโสยอมแพ้แล้ว นายท่านใหญ่ทุกท่านล้วนมีฝีมือร้ายกาจ ขออวยพรให้ทุกท่านได้กอดสาวงามกลับบ้าน ค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ไม่ต้องขอบคุณผู้เฒ่าจันทราอย่างข้าอาเหลียง หากจะขอบคุณจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขัดขวางไม่ได้ ถึงเวลานั้นก็มาเลี้ยงเหล้าข้าแล้วกัน หากทุกท่านเงียบ ข้าก็จะถือว่าทุกท่านไม่ตอบตกลง วันหน้าค่อยมาพูดคุยกันใหม่ แต่หากมีความเคลื่อนไหว ก็ถือว่าพวกเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว

พออาเหลียงพูดจบ ในนครที่อยู่ท่ามกลางม่านราตรีก็เงียบสงัดไปครู่หนึ่งก่อน จากนั้นวินาถัดมาก็ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนนำ ชั่วพริบตานั้นตลอดทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงคำราม เสียงสบถก่นด่าของผู้ฝึกกระบี่ในเมือง ก่อนที่แต่ละคนจะพากันบังคับกระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศ คิดว่าจะไปเอาเรื่องเจ้าคนหน้าไม่อายผู้นั้น แต่อาเหลียงกลับหายตัวไปไม่เหลือเงา หนึ่งคนอาศัยหนึ่งกระบี่บุกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

ผลคือพวกบุรุษที่มีศัตรูร่วมกันได้แต่หันมามองหน้ากันเองอยู่บนหัวกำแพง แต่ละคนไม่เพียงแต่เสียเงินเปล่า พอกลับมาถึงในนครกลับอนาถยิ่งกว่าเดิม พวกสตรีต่างก็ตำหนิว่าพวกเขาว่าทำร้ายให้อาเหลียงต้องพาตัวไปเสี่ยงอันตราย หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับเขาขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!

แต่เรื่องที่น่าโมโหที่สุดกลับยังไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นเพราะมารู้ตอนหลังว่า คืนนั้นคนที่นำขบวนทุกคนก่อเรื่องวุ่นวายด้วยการพูดประโยคว่า ‘อาเหลียง ขอร้องเจ้าอย่าไปเลย บุรุษที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ล้วนไม่มีใครมีความรับผิดชอบได้เหมือนเจ้า’ กลับเป็นแม่นางน้อยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกคนหนึ่ง ว่ากันว่าประโยคชวนให้คนโมโหตายนี้เป็นอาเหลียงที่ยุยงให้นางพูด บุรุษตัวโตๆ อย่างพวกเขาจะไปเอาเรื่องแม่นางน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งก็คงไม่ได้ จึงได้แต่เงียบงันเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน แต่ละคนกลับไปลับดาบลับกระบี่ รอให้อาเหลียงกลับจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไหร่ จะไม่ท้ารบเขาตัวต่อตัวแน่ แต่ทุกคนจะร่วมมือกันฟันเจ้าตะพาบที่คิดอยากหลอกเอาเงินค่าเหล้าจนเสียสติผู้นี้ให้ตาย

ผลคืออาเหลียงกลับมาแล้ว

แต่ยังพ่วงเอาปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานหลายตนไล่ตามก้นมาด้วย

ครั้งนั้นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมใจกันออกจากเมืองไปสังหารศัตรู