ตอนที่ 2424

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,424 : ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจิน!

 

ดรุณีน้อยที่พึ่งปรากฏตัวเหนือทะเลสาบสีเลือดในชุดสีทองนางนี้ แลดูน่ารักน่าชังนัก แก้มตุ้ยนุ้ยของนางสีอมชมพูระเรื่อแลดูน่าหยิกจับเป็นที่สุด หน้าตายังหมดจดราวกับงานศิลปะอันประณีต

 

“เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ ในที่สุดพวกเจ้าก็ออกจากการปิดด่านได้ซะทีนะ! ข้ารอเป็นชาติแล้ว!!”

 

นอกจากดรุณีน้อยในชุดทองแล้ว ในเมื่อน่านฟ้าเหนือทะเลสาบโลหิตมีเพียงมังกรขาวกับมังกรดำเท่านั้น…

 

เช่นนั้นจึงบอกให้รู้ว่า…

 

เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่นางเรียกหานั้น ที่แท้ก็คือชื่อของมังกรดำและมังกรขาว 8 กรงเล็บ!

 

และทันทีที่ดรุณีน้อยชุดทองกล่าวทักออกมา สีตาแดงฉานของมังกรขาวและมังกรดำก็เริ่มอ่อนจางลง

 

ไม่นานก็หวนกลับมาเป็นปกติ

 

ตอนนี้ดวงตาของมังกรทั้ง 2 กลับมากระจ่างใสดั่งมุกมณีเลอค่า อีกทั้งกลิ่นอายกระหายเลือดและไอมารที่แผ่ซ่านปกคลุมทั่วร่างของมังกรทั้งสองตัว ก็เริ่มหดหายกลับเข้าร่าง

 

ซัว…

 

ทันใดนั้นประหนึ่งสายลมพัดผ่าน ร่างมหึมาของมังกรขาว 8 กรงเล็บก็ทอประกายสว่างวาบหนึ่ง พริบตาต่อมาร่างมหึมาก็อันตรธหานหายไป กลับกลายเป็นดรุณีน้อยในชุดสีขาว สองแก้มของนางยังกระจ่างอมชมพูไม่ต่างอะไรกับดรุณีน้อยชุดทอง

 

“เสี่ยวจิน…นี่เจ้าออกจากการปิดด่านก่อนกำหนดงั้นหรือ?”

 

ดรุณีน้อยอันเป็นร่างจำแลงของมังกรขาว 8 กรงเล็บตัวเขื่อง หันไปมองถามดรุณีน้อยชุดทองด้วยความแปลกใจ

 

“ใช่แล้ว! ดูด้วยว่าข้าเป็นใคร…และตอนนี้ข้าเสี่ยวจินก็ได้กลายเป็น ‘หนูกลืนสวรรค์เนตรสีชาด’ แล้วด้วย!”

 

ดรุณีน้อยในชุดสีทองที่แท้ก็คือเสี่ยวจินนั่นเอง และตอนนี้นางก็กำลังเท้าสะเอวเชิดหน้ากล่าวอวดดรุณีน้อยชุดขาวด้วยท่าทางภาคภูมิใจถึงขีดสุด!

 

“หึ!”

 

ตอนนี้เองพลันมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งสบถดังขึ้น มังกรดำ 8 กรงเล็บอีกตัว ก็เริ่มจำแลงกายเป็นมนุษย์เช่นกัน สองตายังหวนกลับมากระจ่างใสไร้สีเลือด

 

อย่างไรก็ตามแววตาของมันต่างจากดรุณีน้อยชุดขาวที่แลดูสดใสร่าเริงอยู่บ้าง เพราะแววตาของมันกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

ร่างมนุษย์ที่มังกรดำ 8 กรงเล็บจำแลงมา ก็อยู่ในรูปลักษณ์เด็กหนุ่มชุดดำ แลดูมีวัยไล่เลี่ยกับดรุณีน้อยชุดทองและชุดขาว

 

ถึงแม้ว่ามันจะแลดูยังเยาว์ไม่ทันโตเป็นหนุ่มดี หากแต่สีหน้าอ่อนวัยของมันกลับเผยความเฉยเมยเมินโลกออกมา ทำราวกับมันเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยก็ไม่ปาน…

 

“ทำไม…เสี่ยวเฮย! นี่เจ้าไม่เชื่อข้ารึ?”

 

ได้ยินเสียงสบถเยียบเย็นของชายหนุ่มชุดดำ ดรุณีน้อยชุดทองก็แลดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ กล่าออกอีกครั้งน้ำเสียงยังห้วนแข็ง ราวกับจะหาเรื่อง

 

“หากมิใช่เพราะบรรพชนรุ่นก่อนที่ทิ้ง บ่อโลหิตสืบทอด แห่งนี้เอาไว้เป็นสัตว์เซียนประเภทหนู มีหรือที่เจ้าจะสามารถออกจากการปิดด่านได้ก่อนพวกเรา”

 

เมื่อถูกดรุณีน้อยชุดทองมองถามมาอย่างหาเรื่อง หนุ่มน้อยชุดดำก็กล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ แววตายังอดไม่ได้ที่จะฉายความเบื่อหน่าย

 

“อ้อ! โทษทีละกัน ที่พอดีว่าที่นี่มันเข้ากันกับข้ามากกว่า”

 

“จริงสิ! แล้วตอนนี้ข้าก็เหนือกว่าเจ้าแล้วด้วย รู้หรือไม่?”

 

“หากเจ้าไม่เชื่อ…หรือจะเดี่ยวกับข้าตัวๆสักรอบ?”

 

ได้ยินวาจาปรามาสของหนุ่มน้อยชุดดำ ดรุณีน้อยชุดทองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา วาจาที่กล่าวออกระรัวภายหลังยังคล้ายจะจุดชนวนประทัด!

 

แน่นอนว่าวาจาท้าทายดังกล่าวก็สะกิดใจหนุ่มน้อยชุดดำนัก

 

“คิดเดี่ยวกับข้าหรือ? หากเจ้ามิอยากเจ็บตัว…ก็อย่าห้าวดีกว่ามั้ง!”

 

เผชิญกับคำท้าทายของดรุณีน้อยชุดทอง หนุ่มน้อยชุดดำก็กล่าววาจาค่อนแคะปรามาสออกไปอีกรอบ!

 

“ปากดีแท้เล่า! พูดแบบนี้มาตีกันเลยดีกว่า!!”

 

ถึงแม้ดรุณีน้อยชุดทองนั้นเห็นชัดว่าเป็นเพียงเด็กหญิงนางหนึ่ง แต่นางช่างห้าวหาญไม่ต่างอะไรจากเด็กชาย!

 

หลังจากที่นางตอบโต้กับเด็กหนุ่มชุดดำแล้ว นางก็หันไปมองดรุณีน้อยชุดขาวข้างๆพลางกล่าวออกด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “เสี่ยวไป๋คอยดูนะ ว่าข้าจะสั่งสอนเด็กน้อยนี่อย่างไร…มันคิดจริงๆหรือว่าพอเปลี่ยนเป็นมังกรมาร 8 กรงเล็บเข้าหน่อยแล้วข้าจะกลัวจนไม่กล้าทุบตีมัน?”

 

“พวกเจ้านี่นะ…”

 

เมื่อเห็นดรุณีน้อยชุดทองไม่ทันไรก็จะต่อยตีกับเด็กหนุ่มชุดดำแล้ว ดรุณีน้อยชุดขาวก็ได้แต่ทำหน้าอ่อนใจ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไร…

 

เชิญพวกท่านเอาที่สบายใจเลย…ตีกันไปเถอะ! นางเห็นภาพทำนองนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต!!

 

เพียงแต่ในอดีตพลังของทั้งคู่ค่อนข้างอ่อนด้อย…

 

‘แบบนี้ก็ดี…หากทั้งคู่ประมือกันจริง อย่างน้อยๆก็จะได้เห็นว่าความแข็งแกร่งของพวกเราในตอนนี้มีเท่าใดแล้ว จะได้รู้ด้วยว่าเสี่ยวเฮยเองแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน…เพราะข้าเองก็ยังรู้สึกว่าตอนนี้สมควรแข็งแกร่งพอๆกับเสี่ยวเฮย’

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไร่ ดรุณีน้อยชุดขาวก็หันไปมองจ้องเด็กหนุ่มชุดดำ

 

เสียดายที่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มาอยู่ที่นี่

 

หาไม่แล้วเขาคงรู้ได้ทันที

 

เด็กน้อยทั้ง 3 เหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอสรพิษน้อยในวันวานรวมถึงหนูขนทองตัวกลมที่เคยอยู่กับเขา

 

เสี่ยวเฮย

 

เสี่ยวไป๋

 

เสี่ยวจิน

 

ปงงงงง!!

 

เสียงประหนึ่งอัสนีฟาดผ้าดังลั่นกึกก้องไปทั่วแผ่นฟ้า

 

เป็นเสี่ยวเฮยที่ชิงลงมือก่อน ร่างเล็กโจนทะยานออกไปปานดาวหางลัดฟ้ายามค่ำคืน สองตามองจ้องดรุณีน้อยร่างทองไกลๆเขม็ง พลังทั่วร่างถูกเร่งเร้าขึ้นมาอย่างดุร้าย!

 

และไม่ว่าเสี่ยวเฮยโจนทะยานผ่านพ้นที่ใด ความว่างเปล่าพลันแตกสลายพังทลายลง! ก่อเกิดรอยแยกมิติมืดดำแปลบปลาบปานอสรพิษและหากไม่ใช้เวลาสักพัก เกรงว่าคงยอกที่รอยแยกจะสมานตัวปิดลง!!

 

หากต้วนหลิงเทียนได้มาแลเห็นฉากนี้ คงอดไม่ได้ที่จะชมดูจนตาลอยไปด้วยความทึ่งอยู่บ้าง

 

นั่นเพราะมิติและพื้นที่ของแดนเนรเทศก็หาได้อ่อนด้อยไปกว่าพื้นที่มิติของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่!

 

กล่าวได้ว่าเมื่อสามารถทลายว่างเปล่าฉีกเปิดรอยแยกมิติที่แดนเนรเทศได้ ก็สามารถกระทำแบบเดียวกันได้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!

 

และในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ผู้ที่สามารถทลายความว่างเปล่า ฉีกเปิดรอยแยกมิติได้แบบนี้ ก็เห็นทีจะมีแต่ตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ขึ้นไป!

 

ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ยามลงมือเต็มกำลัง ก็ทำได้แค่ทลายว่างเปล่าเล็กน้อย ฉีกเปิดรอยแยกได้ประเดี๋ยวประด๋าว มิใช่ฉีกเปิดเป็นรอยค้างไว้…

 

ทว่าตอนนี้เสี่ยวเฉยเพียงแค่เร่งพลังโจนทะยานแหวกฟ้าพุ่งไป กลับสร้างรอยแยกมิติทิ้งไว้เป็นทาง เห็นได้ชัดว่าพลังของเสี่ยวเฮยสูงพอจะฉีกเปิดมิติได้อย่างรุนแรง ถึงขั้นทำให้รอยแยกคงค้างไว้แบบนั้น!

 

กล่าวได้อีกอย่างว่า พลังของเสี่ยวเฮยยามนี้ หาได้ด้อยไปกว่าเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์ไม่!

 

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

 

……

 

เสี่ยวเฮยพุ่งทะยานออกไปที่ใดความว่างสะท้านสะเทือนถึงจุดแตกหัก ก่อเกิดรอยแยกมิติสีดำน่ากลัวลากยาวไปเป็นทาง สภาวะแลดูดุร้ายเกรี้ยวกราดนัก!

 

“มาได้ดี!”

 

หากแต่เผชิญหน้ากับเสี่ยวเฮยที่โจนทะยานเข้ามาด้วยพลัดุร้าย เสี่ยวจินไม่เพียงไม่กลัว สองตายังทอประกายสว่างจ้าเผยจิตต่อสู้อันฮึกเหิมห้าวหาญ!

 

ทันใดนั้นมวลพลังอันไร้คู่เปรียบก็ปะทุออกมาท่วมร่างเล็กๆของนาง!

 

และยามเมื่อมวลพลังดังกล่าวปะทุออกมาะสะท้านสะเทือน ห้วงมิติรอบกายก็พังทลายลงทันใด! ก่อเกิดรอยแยกมิติอันน่ากลัวฉีกเปิด!!

 

ปงงง!!

 

เสียงสนั่นประหนึ่งฟ้าร้องลั่นดังอีกคำรบ เป็นเสี่ยวจินกระโจนสวนเข้าใส่เสี่ยวเฮย!

 

นางไม่คิดหลีกหนีเสี่ยวเฮยที่เร่งเร้าสภาวะบุกมาถึงขีดสุด แต่หาญกล้าพุ่งสวนเข้าใส่พร้อมปะทะกับเสี่ยวเฮยอย่างไร้หวาดกลัว!

 

ต้องทราบด้วยว่ากระทำเช่นนี้นางย่อมไม่มีเปรียบอะไร

 

เพราะเสี่ยวเฮยที่ชิงลงมือก่อนย่อมเร่งเร้าสภาวะได้เหนือกว่านาง!

 

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

 

……

 

ขณะที่เสี่ยวจินพุ่งสวนเข้าใส่เสี่ยวเฮย แน่นอนว่าตามรายทางที่นางโจนผ่าน ก็คงเหลือรอยแยกทิ้งไว้เป็นทางไม่ต่าง!

 

นอกจากนี้ความหนาของรอยแยกยังถึงขั้นเหนือกว่าความหนาของรอยแยกที่เสี่ยวเฮยฉีกเปิดยามโจนทะยานเข้ามาเสียอีก!

 

‘นี่พลังของพวกเรา…เพิ่มพูนจนแข็งแกร่งขึ้นระดับนี้แล้วหรือ?’

 

ก่อนที่เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินจะทันได้ต่อยตีกัน เสี่ยวไป๋ที่ชมดูเรื่องราวอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเห็นว่าทั้งคู่สามารถฉีกเปิดความว่างเปล่าได้แล้ว สองตาเผยความไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง

 

เพราะตอนนี้เบื้องหน้าเสี่ยวไป๋ ความว่างเปล่ามต่างใดจากกระดาษแผ่นหนึ่ง ฉีกเปิดได้ง่ายดายนัก!

 

และหากจะมองจากรอยแยกที่ทั้งสองฉีกเปิดขึ้นเบื้องหน้า ที่ราวกับมีกระบี่คมกรีดแหวกจนเป็นแผลลึกยากสมานตัวนั่น เสี่ยวไป๋ก็ตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง…

 

‘แต่…ดูเหมือนเสี่ยวจินจะแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวเฮย’

 

‘ต้องทราบด้วยว่า…ในอดีตแม้พลังของเสี่ยวจินจะอ่อนด้อยกว่าเสี่ยวเฮยเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ยังด้อยกว่า ผ่านไปราวๆร้อยกระบวนท่าที่สุดนางก็ถูกเสี่ยวเฮยกำราบได้อยู่ดี!’

 

‘แต่ตอนนี้…’

 

ไม่ต้องอธิบายใดให้มากนัก เพียงมองจากรอยแยกมิติที่ทั้งคู่ฉีกเปิด เสี่ยวไป๋ก็แลเห็นได้ไม่ยาก

 

ว่าความหนาของรอยแยกมิติที่เสี่ยวจินฉีกเปิดได้ มันเหนือกว่าเสี่ยวไป๋อยู่ขั้นหนึ่ง!

 

นั่นบ่งบอกให้รู้ว่า…ความแข็งแกร่งของเสี่ยวจินก้าวข้ามเสี่ยวเฮยไปแล้ว!

 

‘แต่นี่ก็มิแปลกอันใด…อย่างที่เสี่ยวเฮยพูด ผู้ที่ทิ้งบ่อโลหิตสืบทอดแห่งนี้ไว้อย่างไรก็เป็นบรรพชนที่เป็นสัตว์เซียนประเภทหนูเหมือนเสี่ยวจิน…ไม่เพียงแต่ทำให้เสี่ยวจินกลายพันธุ์จาก ‘หนูสวรรค์นัยน์ตาหยก’ ไปเป็น ‘หนูกลืนสวรรค์เนตรสีชาด’ พลังยังก้าวหน้าขึ้นครั้งใหญ่!’

 

‘อีกทั้งเพราะความเข้ากันได้ทางสายพันธุ์…ก็ไม่แปลกที่เสี่ยวจินจะใช้เวลาในบ่อโลหิตสืบทอดน้อยกว่าพวกเรา!’

 

คิดถึงจุดนี้เสี่ยวไป๋ก็รู้สึกโล่งใจ การที่แข็งแกร่งขึ้นย่อมเป็นเรื่องดี และตอนนี้ที่พลังเสี่ยวจินจะเหนือกว่าเสี่ยวเฮยก็นับเป็นเรื่องปกติ และนางก็ไม่ได้อิจฉาอะไรแม้แต่น้อย

 

‘หากไม่ได้เสี่ยวจิน พวกเราไหนเลยจะได้พบเจอสถานที่แห่งนี้…’

 

เมื่อคิดถึงวาสนาที่นางได้รับมา เสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะหันมองไปทางเสี่ยวจินด้วยสายตาสำนึกขอบคุณ ไม่นานแววตาก็เริ่มเลื่อนลอยราวกับเหม่อคิดถึงเรื่องราวต่างๆ

 

ตอนแรกนั้นนางกับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินอยู่ๆก็ถูกจับมาทิ้งไว้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง…

 

จากนั้นไม่นานพวกนางก็ได้พบเจอกับซูหลี่ สหายของพี่ใหญ่หลิงเทียน…

 

หากแต่สถานการณ์ของซูหลี่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก และพวกนางเองก็กลัววว่าซูหลี่จะเกิดเรื่องจึงลอบติดตามซูหลี่มา

 

ไม่ว่าซูหลี่จะไปที่ไหนพวกนางก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย

 

และที่ไฉนพวกนางกระทำเรื่องนี้เป็นเพราะว่า…

 

หากพวกนางไม่ลอบติดตามให้ความคุ้มครองซูหลี่ แล้วเกิดซูหลี่ประสบเหตุร้ายอะไรเข้า วันหน้าพวกนางคงไม่มีหน้าไปพบพี่ใหญ่หลิงเทียนแน่…

 

นอกจากนั้นพวกนางรู้ดีว่าที่ไฉนซูหลี่ถึงไม่ฆ่าพวกนางทิ้งแต่แรก เป็นอีกฝ่ายจดจำพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกนางได้ในสินาทีสุดท้าย!

 

หาไม่แล้วพวกนางคงตกตายเป็นผีภายใต้คมกระบี่ซูหลี่ไปแต่แรก!

 

พวกนางติดตามซูหลี่ไปเรื่อยๆ ผ่านสถานที่ต่างๆในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามากมาย

 

จนสุดท้ายก็ออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มาถึงแดนเนรเทศในที่สุด

 

และนั่นก็ทำให้พวกนางรู้สึกไม่สบายตัวเป็นที่สุด เพราะแดนเนรเทศช่างมีพลังวิญญาณฟ้าดินเบาบางเหลือเกิน…แต่ไม่สบายตัวเพียงใดก็ทำได้แค่ทน และคอยติดตามซูหลี่สืบต่อ

 

และในระหว่างทางที่ติดตามกันมา อาการของซูหลี่ก็ค่อยๆดีขึ้น ทั้งยังสามารถคุมสติได้ บางทีก็หันมาสนทนากับพวกนางด้วยดีประโยคสองประโยค…

 

ทำให้พวกนางคิดว่าหากซูหลี่หายดีแล้วพวกนางจะพาซูหลี่กลับไปด้วย! แต่ทว่าในระหว่างเดินทางอยู่นั้นเอง…

 

“นี่เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ ข้ารู้สึกเสมือนมีบางสิ่งกำลังเรียกหาข้า…พวกเจ้าใช่รู้สึกเหมือนกันหรือไม่?”

 

เป็นเพราคำพูดของเสี่ยวจินที่อยู่ๆก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง พวกนางกับซูหลี่จึงติดตามเสี่ยวจินมาจนถึงสถานที่แห่งนี้…