บทที่ 576.2 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ลึกล้ำต่อเว่ยจิ้น ปีนั้นที่พาพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ตอนที่อยู่เรือนของผีสาวสวมชุดแต่งงาน ก็เป็นเว่ยจิ้นที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าม่านฟ้าออกมา

ภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ที่ปราณกระบี่พุ่งทะยานดุจสายรุ้ง สำหรับเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเตะในปีนั้นแล้ว จิตใจของเขายากที่จะสงบนิ่งไปได้อีกนานหลายปี

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อายุยังไม่ถึงหกสิบปี ต่อให้เอามาวางไว้ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ถือเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยอย่างถึงที่สุด ผู้เฒ่าเองก็มีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเว่ยจิ้น ในความเป็นจริงแล้วคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนมีความรู้สึกที่ดีต่อเว่ยจิ้นทั้งนั้น นอกจากวิถีกระบี่ของตัวเว่ยจิ้นเองที่ไม่ธรรมดา รวมไปถึงเรื่องที่เขากล้าทิ้งอนาคตอันงดงามที่รออยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ววิ่งมาลงสนามรบเข่นฆ่าที่นี่ทั้งที่ตัวเองอายุยังน้อยแล้ว ประเด็นสำคัญคือเว่ยจิ้นยังเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า การที่ตนสามารถฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดได้รวดเร็วขนาดนี้ ล้วนเป็นเพราะคุณความชอบจากคำชี้แนะของอาเหลียงทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นตามคำบอกของบรรพจารย์ศาลลมหิมะของพวกเขา ก็คงต้องหยุดชะงักอยู่ที่ก่อกำเนิดนานถึงหกสิบปี ได้แต่อาศัยการขัดเกลาที่เป็นดั่งน้ำหยดลงหินทุกวัน ถึงจะมีหวังได้เป็นเซียนกระบี่อายุร้อยปี อันที่จริงประโยคนี้พูดได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูกไปทั้งหมด ผู้ฝึกลมปราณใต้หล้านี้ฝึกตนบนเส้นทางนับร้อยนับพันรูปแบบ แต่ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เผาผลาญเงินเทพเซียนมากที่สุด แล้วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่พิถีพิถันเรื่องคุณสมบัติมากที่สุด หากตัวของเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนมีแรงไฟไม่มากพอ รากฐานไม่ดีพอ ต่อให้เป็นอาเหลียงก็ไม่อาจกระชากพาเว่ยจิ้นเลื่อนไปสู่ขอบเขตหยกดิบได้

หลังจากที่เฉินผิงอันกลับไปเรือนหลังเล็กแล้ว

ป๋ายเลี่ยนซวงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายผู้เฒ่า

หญิงชราเอ่ยเหน็บแนมว่า “เซียนกระบี่ใหญ่น่าหลันที่ต่อให้ถูกไม้ฟาดก็ยังผายลมไม่ออก (เป็นคำด่าคนที่พูดไม่เก่ง ไม่รู้จักพูดคุย) วันนี้กลับพูดมากนัก เห็นว่าไม่มีใครช่วยท่านเขยของพวกเราพลิกเรื่องเก่าปีมะโว้ออกมา เลยคิดว่าเขาจะไม่มีโอกาสรู้เรื่องสกปรกในอดีตของเจ้ารึ?”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “เทียบกับเจ้าที่เขาคุยเรื่องไม่สำคัญ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องของผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ แต่ตอนพูดกับข้ากลับคุยทั้งเรื่องใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็คุยทั้งเรื่องเล็กยิบย่อยในชีวิตประจำ หากว่ากันตามนี้ ว่าที่ท่านเขยสนิทสนมกับใครมากกว่ากัน ก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว”

หญิงชราหลุดหัวเราะพรืด “เจ้านี่ไม่ยอมเสียหน้าเลยจริงๆ”

น่าหลันเย่สิงกล่าวอย่างระอาใจ “พวกเรามาว่ากันตามเนื้อผ้าได้ไหม?”

หญิงชราย้อนถาม “เจ้าเองก็รู้หรือว่าตัวเองหน้าไม่อาย?”

น่าหลันเย่สิงทอดถอนใจหนึ่งที เอาสองมือไพล่หลัง คิดในใจว่าไปดีกว่า

ยามที่ฝึกตน หนิงเหยามักจะมีสมาธิแน่วแน่อยู่เสมอ

เป็นเหตุให้สองวันต่อมา อย่างมากสุดช่วงเวลาว่างระหว่างการฝึกตนนางก็จะทำเพียงแค่ลืมตาขึ้นมองว่าเฉินผิงอันอยู่ใกล้กับศาลาของหน้าผาสังหารมังกรหรือไม่ หากไม่อยู่ นางก็ไม่ได้เดินลงไปจากภูเขาลูกเล็ก อย่างมากสุดก็แค่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเล่นอยู่ครู่หนึ่ง

ผ่านไปหนึ่งครั้ง ผ่านไปสองครั้ง รอจนเฉินผิงอันรู้จักที่จะมาปรากฏตัวอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้ว หนิงเหยาก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วแกล้งทำเป็นเริ่มฝึกตนต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันจึงได้แต่มองนางอยู่พักหนึ่งแล้วจากไป

นี่ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่รู้จักกาลเทศะจริงๆ แต่เป็นเพราะเมื่อมาฝึกตนอยู่ในจวนหนิง เขาค้นพบว่าหลังจากที่ตนเลื่อนเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่แล้ว ความเร็วในการหลอมอิฐเขียวสามสิบหกก้อนของอารามเต๋า เดิมทีก็เร็วขึ้นสามส่วนแล้ว พอมาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีเรื่องน่ายินดีที่ไม่เล็กอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเขาสามารถหลอมปณิธานเต๋าและโชคชะตาน้ำพวกนั้นให้เสร็จสิ้นได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก กว่าที่เฉินผิงอันจะตัดความคิดวุ่นวาย พยายามบอกให้ตัวเองคิดถึงนางน้อยลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถสงบใจฝึกตนได้อย่างแท้จริงแล้ว ยามอยู่ในเรือนหลังเล็กก็ทั้งหลอมวัตถุและหลอมลมปราณ จึงเริ่มเข้าสู่สภาวะหลงลืมตนเอง

แต่ครั้งนี้หลังจากที่เดินออกมาจากศาลา เฉินผิงอันกลับไม่ได้ตรงไปที่เรือนหลังเล็ก แต่ไปหาป๋ายหมัวมัว บอกว่ามีเรื่องอยากจะปรึกษาผู้อาวุโสทั้งสองท่าน จำเป็นต้องรบกวนให้ผู้เฒ่าทั้งสองไปที่เรือนของเขาสักหน่อย

ป๋ายเลี่ยนซวงพยักหน้ารับ แล้วออกเดินไปพร้อมกับเฉินผิงอัน ไม่มีท่าทีว่าจะไปเรียกน่าหลันเย่สิงมาแม้แต่น้อย แต่พอมาถึงประตูของเรือนหลังเล็ก นางกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เอ่ยว่าตาเฒ่ารีบไสหัวออกมา น่าหลันเย่สิงก็มาปรากฏตัวอยู่ใกล้กับคนทั้งสองอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันพาผู้อาวุโสทั้งสองเข้าไปในห้องแห่งนั้น แล้วรินน้ำชาให้พวกเขาคนละถ้วย

บนโต๊ะวางเจี้ยนเซียนที่ปีนั้นได้มาจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ รวมไปถึงแผ่นหยกแผ่นหนึ่งที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัว

เฉินผิงอันหน้าแดงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลังเลอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดเช่นไร

น่าหลันเย่สิงทำลายความเงียบขึ้นว่า “คุณชายเฉิน นี่คือสินสอดหรือ?”

หญิงชราหัวเราะปากกว้าง ยกฝ่ามือที่เหี่ยวย่นข้างหนึ่งขึ้นมาปิดปาก หัวเราะอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน มีใครเขาเอาสินสอดมามอบให้ถึงบ้านด้วยตัวเองบ้างเล่า?”

เฉินผิงอันโบกมือ “ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน ข้าจะต้องหาแม่สื่อมาแน่นอน และในใจข้าก็มีตัวเลือกอยู่แล้ว ธรรมเนียมเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับพิธีงานแต่งงานของที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่าไร อีกทั้งที่นี่ก็ไม่มีใครให้ข้าสอบถามเรื่องนี้ได้ จึงได้แต่เรียกผู้อาวุโสทั้งสองท่านให้มาช่วยวางแผน ข้ากลัวว่าหากมอบของพวกนี้ไปให้ จะดูเป็นของขวัญที่เบาไปหรือเปล่า หรือจะละเมิดข้อห้ามอะไรไหม เลยอยากจะขอปรึกษากับผู้อาวุโสทั้งสองให้แน่ใจก่อน พยายามไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ไม่ให้จวนหนิงต้องอับอายเพราะข้า”

ป๋ายเลี่ยนซวงหันมาสบตากับน่าหลันเย่สิงแล้วยิ้มให้กัน ต่างก็ไม่มีใครรีบร้อนเปิดปากพูด

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พูดเสียงทุ้มหนักว่า “แต่เรื่องพิธีการเหล่านี้ ข้าก็ได้แต่พยายามที่จะไม่ทำผิด พยายามทำให้ดีที่สุด รอบคอบที่สุด ทว่าเรื่องมาสู่ขอแม่นางหนิงนั้น ข้าเฉินผิงอันจะต้องเปิดปากพูดเองอย่างแน่นอน จวนหนิงและผู้อาวุโสทั้งสองท่านจะตอบตกลงหรือไม่ ก็สามารถพูดมาตามตรงได้เลย ตระกูลเหยาจะมีความเห็นอะไรหรือไม่ ข้าก็ล้วนรับฟังได้หมด แต่ตัวข้าเฉินผิงอันเองอยากแต่งงานกับหนิงเหยา เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา ไม่ว่าใครที่มาเกลี้ยกล่อม บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้เหตุผลของเจ้าจะดีจะถูกต้องแค่ไหน ก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

หญิงชราสบตากับน่าหลันเย่สิงอีกครั้ง คนทั้งสองยังคงไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินขยับไปด้านข้าง กุมหมัดคารวะ ค้อมเอวก้มหน้าลง คนหนุ่มพูดอย่างละอายใจว่า “ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ผู้อาวุโสในตระกูลล้วนไม่อยู่แล้ว ผู้อาวุโสที่ให้ความเคารพบนเส้นทางการฝึกตนทั้งสองท่านก็ล้วนพากันจากโลกนี้ไปแล้ว ยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่ง ตอนนี้ไม่อยู่ในใต้หล้าไพศาล และผู้น้อยก็ไม่อาจตามหาตัวเขาได้พบ ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ มาเยี่ยมเยือนจวนหนิงและจวนเหยากับข้าอย่างแน่นอน”

น่าหลันเย่สิงเตรียมจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกหญิงชราถลึงตาใส่ เขาเลยได้แต่ปิดปากเงียบ

หญิงชรายิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายเฉิน นั่งลงพูดคุยกันเถอะ”

เฉินผิงอันกลับมานั่งอีกครั้ง เขานั่งหลังตรงอกตั้ง นั่งอย่างสำรวมเรียบร้อยอยู่ตรงข้ามกับหญิงชรา ต่อให้จะแสร้งทำท่าสุขุม แต่ก็ยังดูลุกลนอยู่เล็กน้อย

หญิงชราชี้ไปยังกระบี่และชุดคลุมอาคมบนโต๊ะแล้วยิ้มว่า “คุณชายเฉินสามารถบอกเล่าความเป็นมาของวัตถุทั้งสองชิ้นนี้ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันรีบพยักหน้ารับ แล้วเล่าถึงความเป็นมาของวัตถุทั้งสองคร่าวๆ ไปหนึ่งรอบ

น่าหลันเย่สิงที่ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เขาจิบน้ำชาพลางรับฟังไปด้วย ทว่าแท้จริงแล้วผู้เฒ่าที่ผ่านลมผ่านฝนมาอย่างโชกโชนกลับตื่นตะลึงอยู่ในใจ

ชิ้นหนึ่งคือกระบี่เจี้ยนเซียนที่เฉินผิงอันบอกว่าไม่รู้ว่าเลื่อนขั้นไปอีกครึ่งระดับได้อย่างไร เป็นวัตถุที่หลังจากฮว่อหลงเจินเหรินของอุตรกุรุทวีปตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วก็บอกว่าเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง

อีกชิ้นหนึ่งคือชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่แรกเริ่มสุดมีระดับขั้นแค่ชุดคลุมอาคม อาศัยการกินเหรียญทองแดงแก่นทองที่คนกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่คุ้นเคย ตอนนี้ก็เลื่อนขั้นเป็นระดับอาวุธเซียนแล้วเช่นกัน

น่าหลันเย่สิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ต่อให้เป็นการแต่งงานระหว่างตระกูลแซ่ใหญ่อย่างเฉิน ต่ง ฉี สามารถเอาอาวุธกึ่งเซียนหรืออาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาเป็นสินสอดหรือเป็นของขวัญได้ก็ถือเป็นเรื่องที่สร้างความครึกครื้นได้มากแล้ว อีกทั้งยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน นั่นคือทุกครั้งที่ทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่แต่งงานกัน อาจจะห่างไปสักร้อยปีหรือหลายร้อยปี อาวุธเซียน อาวุธกึ่งเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้พวกนี้ก็จะต้องเผยกายบนโลกอีกครั้ง สลับกลับกันไปมา สรุปก็คือจากบ้านนี้ไปอยู่บ้านนั้น แล้วก็เปลี่ยนถ่ายจากบ้านนั้นมาบ้านนี้ ส่วนใหญ่มักจะวนเวียนผลัดมือกันอยู่ระหว่างสิบกว่าตระกูลของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงเห็นเรื่องนี้จนชินชาแล้ว เวลาพวกมันปรากฏตัวจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร เมื่อก่อนตอนที่อาเหลียงอยู่ที่นี่ เขายังชอบนำขบวนผู้คนให้ลงเดิมพัน นำพาพวกชายโสดกลุ่มใหญ่ที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำมาเดิมพันกันว่าของขวัญ สินสอดของสองบ้านที่ดองกันจะเป็นของสิ่งใดกันแน่

“เฉินผิงอัน เจ้าอายุยังน้อยก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้ว สำหรับเจ้าแล้วชุดคลุมอาคมจินหลี่ไม่ต่างจากซี่โครงไก่สักเท่าไร นำของชิ้นนี้มาเป็นสินสอด อันที่จริงก็ถือว่าเหมาะสมอย่างมาก”

ในที่สุดน่าหลันเย่สิงก็อดไม่ไหวเปิดปากเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อเจ้าสัญญากับคุณหนูแล้วว่าจะเป็นเซียนกระบี่ เหตุใดถึงยังเอาเจี้ยนเซียนที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนมามอบให้อีก? ทำไม หรือคิดว่าถึงอย่างไรเมื่อมอบให้คุณหนู ก็ไม่ต่างจากเปลี่ยนจากมือซ้ายมาสู่มือขวา สุดท้ายก็ยังตกอยู่ในมือของตัวเองอยู่ดี? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องเตือนเจ้าสักคำ จวนหนิงพูดง่าย แต่จวนเหยากลับไม่แน่เสมอไปว่าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า ระวังเถอะว่าถึงเวลานั้นเมื่อได้พบเจี้ยนเซียนเล่มนี้อีกครั้ง มันจะอยู่ในมือของเด็กรุ่นหลังตระกูลเหยาที่ออกกระบี่บนหัวกำแพงแล้ว”

หญิงชรากล่าวอย่างเดือดดาล “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง! เจ้าเฒ่าน่าหลัน ไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”

ทว่าคราวนี้น่าหลันเย่สิงกลับไม่คิดจะถอยให้แม้แต่น้อย เขาหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “คืนนี้คุยเรื่องใหญ่ ข้าคือบ่าวรับใช้เก่าแก่ของจวนหนิง ตอนที่นายท่านยังเด็ก ข้าก็คอยปกป้องนายท่านและแท่นสังหารมังกร นายท่านจากไปแล้ว ข้าก็จะปกป้องคุณหนูและแท่นสังหารมังกร พูดประโยคที่เหมือนคนหน้าด้านสักหน่อย ข้าก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของคุณหนูครึ่งตัว เพราะฉะนั้นการพูดคุยกันในห้องนี้ ทำไมข้าถึงจะไม่มีสิทธิ์พูด? ต่อให้เจ้าป๋ายเลี่ยนซวงออกหมัดขัดขวาง อย่างมากข้าก็แค่หลบไปพูดไป คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น วันนี้เดินออกจากห้องนี้ไปแล้ว หากข้ายังพูดมากอีกคำเดียว ก็ถือว่าข้าน่าหลันเย่สิงแก่แล้วแต่ยังไม่รู้จักทำตัวให้น่าเคารพ”

หญิงชราโมโหจนคิดจะออกหมัด

เฉินผิงอันต้องรีบห้าม “ป๋ายหมัวมัว ให้ท่านปู่น่าหลันพูดเถอะ สำหรับผู้น้อยแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี”

นางจึงหันหน้าไปพูดกับผู้เฒ่าว่า “น่าหลันเย่สิง ต่อจากนี้ทุกคำที่เจ้าพูดก็จะต้องเจอหมัดข้าหนึ่งหมัด เจ้าจงชั่งน้ำหนักดูให้ดี”

น่าหลันเย่สิงเริ่มดื่มชา

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “มอบสิ่งที่ดีที่สุดของตนให้กับคนที่ตัวเองรัก ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ยกตัวอย่างเช่นชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ เพื่อให้มันได้เลื่อนขั้น ข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย แต่ข้าก็ไม่เคยลังเล ยิ่งไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลัง หนิงเหยาสวมมันไว้บนร่าง เมื่อต้องเข่นฆ่ากับศัตรูในอนาคตอีกครั้ง ข้าก็จะเบาใจได้มาก ข้าคิดแค่นี้เท่านั้น ส่วนเจี้ยนเซียน มันท่องเที่ยวอยู่ข้างกายข้ามานานหลายปี หากจะบอกว่าไม่มีความผูกพันเลยก็ต้องเป็นคำโป้ปดแน่นอน อาวุธเซียนเล่มหนึ่ง มีมูลค่าสูงต่ำ หากบอกว่าไม่รู้ ไม่สนใจเลย ก็ยิ่งเป็นคำพูดหลอกตัวเองที่แม้แต่ตัวข้าก็ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักของหนิงเหยาที่อยู่ในใจของข้าแล้ว มันก็ยังเปรียบเทียบไม่ได้อยู่ดี เกี่ยวกับว่าควรจะมอบเจี้ยนเซียนเล่มนี้หรือไม่ นอกเหนือจากความผูกพันแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียมาก่อน แน่นอนว่าต้องเคย หากอยู่ในมือของข้า แล้วในศึกใหญ่ครั้งต่อไปจะยิ่งสามารถปกป้องหนิงเหยาได้ ข้าก็จะไม่มอบออกไป ข้าไม่มีทางทำเพื่อหน้าตาของตัวเอง หรือแค่เพื่อพิสูจน์ว่าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่เดินออกมาจากตรอกหนีผิงก็สามารถมอบสินสอดที่ไม่แพ้ตระกูลใหญ่โตตระกูลใดให้หนิงเหยาได้ ข้าไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน ตอนที่ยังเป็นเด็ก ต้องอยู่เพียงลำพัง มีชีวิตรอดจนมาเป็นเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ต้องเดินทางไกลหลายปีอย่างเดียวดาย ข้าเฉินผิงอันรู้ชัดเจนดีว่าเมื่อไหร่ที่สามารถทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์ เรื่องใดที่จำเป็นต้องคิดคำนวณอย่างละเอียด เมื่อไหร่ที่สามารถใช้ความรู้สึกตัดสิน หรือเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องระมัดระวังรอบคอบ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกเรื่องล้วนเคยคิดมาก่อนแล้ว ภายใต้เงื่อนไขที่สามารถรับประกันว่าในอนาคตข้ากับหนิงเหยาจะมีชีวิตที่สงบสุข ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ทั้งตัวเองและหนิงเหยามีหน้ามีตา ข้าก็จะทำอย่างสบายใจ ระหว่างนี้คำพูดและสายตาของคนอื่นไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าอายุน้อยไม่รู้ความ รู้สึกว่าฟ้าดินก็คือข้า ข้าก็คือฟ้าดิน แต่เป็นเพราะขบคิดใคร่ครวญถึงขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้มาก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงเลือกที่จะทำเช่นนี้ เมื่อทำแล้วถามใจตัวเองไม่ละอาย ค่าตอบแทนทั้งหลายที่ต้องจ่ายต่อจากนี้ก็ค่อยแบกรับเอาไว้ ก็แค่เหนื่อยกายเท่านั้น ไม่ได้เหนื่อยใจ”