บทที่ 576.4 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หนิงเหยาเอ่ย “หากจะประลองฝีมือกัน เจ้าก็ไปถามเขาเอาเอง หากเขาตกลง ข้าก็ไม่ขวาง แต่หากไม่ตกลง เจ้าขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์”

เจ้าอ้วนเยี่ยนกลอกตาไปมา “ป๋ายหมัวมัวคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธเพียงคนเดียวของพวกเรา หากป๋ายหมัวมัวไม่รังแกเขาเฉินผิงอัน จงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตร่างทอง เฉินผิงอันผู้นี้สามารถแบกรับหมัดของป๋ายหมัวมัวได้กี่ที? สามหมัดห้าหมัด? หรือว่าสิบหมัด?”

มุมปากของหนิงเหยากระดกขึ้น แต่ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตเห็น นางเอ่ยว่า “ป๋ายหมัวมัวเคยสอนหมัดเขาครั้งหนึ่ง แต่ไม่นานก็ยุติลง ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ด้วย แค่ได้ยินท่านปู่น่าหลันเล่าให้ฟังหลังจบเรื่อง แต่ข้าก็ไม่ได้ถามมาก สรุปก็คือป๋ายหมัวสอนหมัดอยู่บนสนามประลองยุทธ สองฝ่ายต่อยกันสองสามหมัด เตะกันสองสามทีก็ไม่สู้กันอีกแล้ว”

เจ้าอ้วนเยี่ยนถูมือ “เจ้าตัวดี ถึงขนาดประลองหมัดกับป๋ายหมัวมัวได้ถึงสองสามหมัด ต่อให้เป็นการประลองกันของขอบเขตร่างทองก็ถือว่าเฉินผิงอันร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ข้าจะต้องขอความรู้จากเขาดูสักหน่อยแล้ว”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้น ขอแค่เฉินผิงอันตอบตกลง พวกเจ้าจะประลองกันอย่างไรก็ตามใจ”

เจ้าอ้วนเยี่ยนถามอย่างระมัดระวังว่า “หากข้าไม่ทันระวังน้ำหนักมือ ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินไปบาดมือบาดขาของเฉินผิงอันเข้า จะทำอย่างไร? เจ้าคงไม่ช่วยเฉินผิงอันสั่งสอนข้าหรอกนะ? แต่ข้าสามารถรับรองได้ร้อยส่วนพันส่วนเลยว่าจะไม่มีทางออกกระบี่ใส่ใบหน้าเฉินผิงอันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าข้าแพ้!”

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรอีก

ปล่อยให้เยี่ยนจั๋วรนหาที่ตายอยู่กับตัวเองไป

ในช่วงเวลาที่ทั้งต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างต่างก็มีช่องโหว่ในการออกกระบี่ หนิงเหยาก็จะช่วยชี้แนะพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา

ทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันจึงต่างจดจำเอาไว้ในใจ

อันที่จริงตอนที่คนวัยเดียวกันกลุ่มนี้เพิ่งจะได้รู้จักกัน หนิงเหยาก็เคยชี้แนะวิชากระบี่ให้คนอื่นเช่นนี้ แต่พวกเจ้าอ้วนเยี่ยนมักจะรู้สึกว่าคำพูดของหนิงเหยาไม่มีเหตุผล ถึงขั้นที่ว่าผิดมากกว่าเดิมเสียอีก

เป็นอาเหลียงที่บอกความลับสวรรค์ในภายหลัง บอกว่าจุดที่สายตาของหนิงเหยามองไปถึง ด้วยตบะขอบเขตและสภาพจิตวิถีกระบี่ของพวกเจ้าในเวลานี้ไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย รอให้ผ่านไปอีกสักสองสามปี ขอบเขตตามทันแล้วก็จะเข้าใจได้เอง

และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่อาเหลียงพูดนั้น ถูกต้องแล้ว

ในทางส่วนตัว ยามที่หนิงเหยาไม่อยู่ เฉินซานชิวก็เคยบอกว่า การที่ตนซึ่งความปรารถนาใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้คือได้เป็นเถ้าแก่ร้านขายเหล้าตั้งใจมุมานะฝึกกระบี่ถึงขนาดนี้ ก็เพื่อไม่ให้ถูกหนิงเหยาทิ้งระยะห่างไกลถึงสองขอบเขต

การคุมเชิงกันของผู้ฝึกกระบี่ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเสียเวลามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีแค่การตัดสินแพ้ชนะก็ยิ่งใช้เวลาแค่ชั่วพริบตา หากไม่เป็นเพราะเวลานี้ต่งฮว่าฝูกับเตี๋ยจ้างอยากประลองฝีมือกัน อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ

หลังจากคนหนุ่มถ่านดำกับสตรีแขนเดียวต่างก็เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองไปแล้ว หนิงเหยาก็เดินเข้ามาในสนามประลองยุทธ มาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง แล้วเริ่มพูดถึงข้อบกพร่องที่เล็กน้อยยิบย่อยกว่าเมื่อครู่นี้

คนทั้งสองเงี่ยหูตั้งใจฟัง ไม่ได้รู้สึกว่าการรับฟังคำชี้แนะจากสหายมีอะไรน่าอาย ไม่อย่างนั้นคนวัยเดียวกันตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่รุ่นนี้ที่ผู้อาวุโสทุกคนของพวกเขาฝากความหวังไว้ให้ ก็คงต้องรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิงเหยา เพราะผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เคยยิ้มกล่าวว่า เด็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ แบ่งออกเป็นผู้ฝึกกระบี่สองประเภท หนิงเหยากับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนเว้นจากหนิงเหยา หากไม่ยอมแพ้ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรก็เอาชนะแม่หนูหนิงไม่ได้อยู่ดี

แต่ยามที่อยู่กับหนิงเหยา ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็เคยพูดจาทำนองเดียวกันนี้ แต่กลับไม่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกกระบี่ แต่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าไพศาล

ผู้ฝึกยุทธของใต้หล้า คนรุ่นหนุ่มสาวก็มีสภาพการณ์เช่นนี้เหมือนกัน แบ่งได้แค่สองประเภทเท่านั้น

ตอนนั้นหนิงเหยาไม่สนใจ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าท่านปู่เฉิน คำพูดประโยคนี้ของท่านไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้นางไม่อาจพิสูจน์ได้ ทว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีคนมาช่วยพิสูจน์ให้ว่านางพูดถูกต้องแน่นอน

ตอนนั้นดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคล้ายจะรอคำพูดประโยคนี้ของแม่นางน้อยอยู่ เขาจึงไม่ตอบโต้ แล้วก็ไม่ยอมรับ เอ่ยเพียงว่าเขาเฉินชิงตูจะตั้งตารอดู สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น

เพียงแต่ตอนนั้นหนิงเหยากลับรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เดิมทีนางก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เหตุใดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ถึงได้เห็นเป็นจริงเป็นจังได้ล่ะ?

ดังนั้นหนิงเหยาจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เฉินผิงอันฟัง พูดไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะคิดเป็นจริงเป็นจังอีก

ด้วยนิสัยของเขา ปีนั้นตอนที่ตนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วพูดเรื่องการฝึกหมัดเดินนิ่งกับเขาไปเรื่อยเปื่อย บอกว่าให้ฝึกหมัดได้หนึ่งล้านครั้งก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ผลกลับกลายเป็นอย่างไร คราวก่อนที่ได้กลับมาพบเจอกันที่ภูเขาห้อยหัวอีกครั้ง เขากลับบอกว่าเขาขาดอีกแค่ไม่กี่หมื่นหมัดก็จะฝึกจนครบหนึ่งล้านหมัดแล้ว

ตอนนั้นหนิงเหยาเกือบอดไม่ไหวปล่อยหมัดใส่หัวสมองทึ่มทื่อเหมือนตอไม้ของเขาแรงๆ เจ้าเฉินผิงอันโง่หรือไร? ฟังไม่ออกหรือว่านั่นเป็นประโยคล้อเล่นที่นางเอ่ยอย่างขอไปทีเท่านั้นเอง? บางครั้งข้าหนิงเหยาจะหาเรื่องชวนคุยกับเจ้าบ้างไม่ได้เลยหรือ?

เจ้าอ้วนเยี่ยนไปนั่งยองข้างกายเฉินผิงอัน พูดเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินท่านนี้ ข้าเองก็สร้างสรรค์วิชาหมัดขึ้นด้วยตัวเองหนึ่งชุด ไม่สู้เจ้าลองดูสักหน่อยแล้วช่วยชี้แนะให้ข้าดีไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา”

เยี่ยนจั๋วกระโดดผลุงขึ้นมา หอบหายใจฟืดฟาด แล้วปล่อยกระบวนท่าหมัดที่เฉินซานชิวรู้สึกทนมองไม่ได้พร้อมเสียงดังฮื่อฮ่า

เฉินซานชิวเป็นเช่นนี้ ต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างที่มองแค่ครั้งเดียวก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียน ไม่ยินดีจะมองให้เสียสายตาอีกเด็ดขาด กลัวว่าตัวเองจะตาบอดเอาได้

คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มชุดเขียวจะมองวิชาหมัดบ้าคลั่งของเจ้าอ้วนเยี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยรอยยิ้มบางๆ เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่ามีส่วนคล้ายคลึงวิชากระบี่มารคลั่งของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน

เยี่ยนจั๋วทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “คุณชายเฉิน วิชาหมัดนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “มีพลังอำนาจอย่างมาก ในด้านพลังอำนาจนั้นต้องเรียกว่าอยู่ในสถานะมิพ่ายแล้ว เจอศัตรูแต่ตนอยู่ในสถานะที่มิพ่ายก่อนแล้ว ก็คือหนึ่งในเป้าประสงค์ของผู้ฝึกยุทธ”

มือที่ลับกระบี่ของเฉินซานชิวพลันสั่นเบาๆ รู้สึกว่าความรู้สึกประหลาดที่คุ้นเคยในอดีตนั้นกลับมาอีกแล้ว

เฉินซานชิวล่ะประหลาดใจนัก หรือว่าเฉินผิงอันผู้นี้เรียนวรยุทธมาจากอาเหลียง? แต่เจ้าอาเหลียงผู้นั้นวิถีกระบี่และเวทกระบี่ล้วนสูงส่ง วิชาตระกูลเซียนซับซ้อนหลากหลายก็เข้าใจอยู่เยอะมาก มีเพียงอย่างเดียวคือไม่เคยบอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เข้าใจวิชาหมัด อย่างมากสุดก็แค่บอกว่าตัวเองคือมือกระบี่ในยุทธภพคนหนึ่งเท่านั้น

เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณชายเฉินคงไม่ขี้เหนียวที่จะสอนวิชาแก่ข้ากระมัง?”

สายตาของเฉินผิงอันเบนมองไปทางหนิงเหยา

หนิงเหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “อย่าดีกว่า”

เยี่ยนจั๋วหุบยิ้ม เอ่ยเนิบช้าโดยไม่มีท่าทางล้อเล่นอีก “เฉินผิงอัน ขอแค่เจ้ายังต้องออกจากบ้าน ก้าวออกไปจากธรณีประตูของจวนหนิง ก็ยากที่เจ้าจะหนีพ้นการท้าสู้ไปได้ สามวันผ่านไป อย่าว่าแต่ฉีโซ่วที่ไม่ได้เรื่องนั่นเลย แม้แต่ผังหยวนจี้และเกาเหย่โหว เจ้าสองคนนี้ที่ตอแยได้ยากยิ่งกว่าฉีโซ่วก็ต้องหมายหัวเจ้า ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีเจตนาร้าย แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาสองคนก็ต้องสงสัยใคร่รู้ในตัวของเจ้ามาก”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที

คนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว้นเพียงหนิงเหยาที่ไม่ต้องพูดถึง อันที่จริงล้วนเป็นดั่งคำกล่าวของป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดและผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่สามารถแบ่งออกคร่าวๆ ได้สามประเภท ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหว สามคนนี้คือผู้ที่โดดเด่นที่สุด ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของเซียนกระบี่ใหญ่ แม้จะบอกว่ามีคุณสมบัติเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะต้องเดินไปถึงที่สูงได้ ทว่าต่อให้ไม่พูดถึงความสูงส่งยาวไกลของมหามรรคาในอนาคต พูดถึงแค่ตอนนี้ ขอบเขตและตบะของสามคนนี้ก็ล้วนชวนให้คนพรั่นพรึงได้อย่างไม่ต้องสงสัย เกาเหย่โหวที่เป็นคนหนึ่งในนั้นมีชาติกำเนิดเหมือนเตี๋ยจ้างที่ต่างก็เกิดและเติบโตมาในตรอกเก่าโทรม จากนั้นก็มีวาสนาเป็นของตัวเอง เพียงไม่นานก็ลุกผงาดโดดเด่น และตอนนี้เกาเหย่โหวก็ได้กลายเป็นลูกเขยของตระกูลชั้นสูงบางตระกูลแล้ว

ฉีโซ่วคือลูกหลานตระกูลฉี

ส่วนผังหยวนจี้ผู้นั้นก็ยิ่งเป็น ‘คนสมบูรณ์แบบ’ รุ่นเยาว์ที่หาข้อบกพร่องใดๆ ไม่เจอ มีชาติกำเนิดจากตระกูลระดับกลาง แต่วันที่เขาลืมตาดูโลกก็ชักนำให้เกิดภาพบรรยากาศเหมือนยามที่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ลำดับต้นๆ ถือกำเนิดแล้ว อายุน้อยๆ ก็ได้ติดตามใต้เท้าอิ่นกวานที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้นเริ่มฝึกตน ถือเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานครึ่งตัว และผังหยวนจี้ก็สนิทกับอริยะสามลัทธิที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่มาก มักจะขอความรู้จากอริยะทั้งสามท่านบ่อยๆ

ดังนั้นหากจะบอกว่าฉีโซ่วคือคนหนุ่มที่มีฐานะเหมาะสมกับหนิงเหยาที่สุด ถ้าอย่างนั้นเพียงแค่ตัวตนของผังหยวนจี้ก็สามารถทำให้ผู้เฒ่าหลายคนรู้สึกว่าเขาต่างหากถึงจะเป็นเด็กรุ่นหลังที่คู่ควรกับหนิงเหยามากที่สุด

ต่อจากสามคนนี้ ถึงจะเป็นกลุ่มของต่งฮว่าฝู

ตามหลังพวกต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง ก็คือคนกลุ่มที่สาม ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยู่อันดับ ‘ล่างสุด’ ชั่วคราวแล้วจะทำให้คนอื่นไม่เห็นความสำคัญ ในความเป็นจริงแล้วต่อให้คนพวกนี้ไปอยู่ในอุตรกุรุทวีป นั่นก็ถือเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ตระกูลเซียนอักษรจงแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกแล้ว

แต่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ คำเรียกขานว่าผู้มีพรสวรรค์นี้กลับไม่ค่อยมีค่ามากนัก มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ที่มีอายุยืนยาวถึงจะถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง

เยี่ยนจั๋วเอ่ยต่อไปว่า “หากแม้แต่ข้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเมื่อเจ้าออกจากเรือนไป อย่างมากสุดผ่านได้แค่ด่านเดียวก็ต้องหยุดเดินต่อแล้ว”

เยี่ยนจั๋วจ้องคนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นเขม็ง “ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกเลวร้ายอะไรต่อเจ้าเฉินผิงอันจริงๆ แต่ข้าเยี่ยนจั๋วเป็นสหายของหนิงเหยา จึงไม่หวังให้บุรุษที่หนิงเหยาเลือก ออกจากบ้านไปก็ถูกคนคว่ำได้แค่ต่อยตีกันไม่กี่ที หากเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพนั้น บางทีหนิงเหยาอาจไม่สนใจ และตัวเจ้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่วันหน้าข้า ต่งถ่านดำ เตี๋ยจ้าง ซานชิวก็คงไม่มีหน้าออกไปดื่มเหล้านอกบ้านแล้ว”

สุดท้ายเยี่ยนจั๋วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าติดค้างคำขอบคุณพวกเรามาสิบปี ขอบคุณที่พวกเราร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหนิงเหยามานานหลายปี ข้าไม่รู้ว่าพวกเตี๋ยจ้างคิดอย่างไร แต่ข้าเยี่ยนจั๋วยังไม่ได้รับเอาไว้ มีเพียงเจ้าซ้อมข้าให้นอนพังพาบได้ ข้าถึงจะยอมรับ ต่อให้จะถูกเจ้าเล่นงานจนเลือดโชก เนื้อไขมันบนร่างหายไปหลายจินก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นแบบนั้นข้าจะยิ่งดีใจ! พูดแบบนี้ จะทำให้เจ้าเฉินผิงอันไม่สบายใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่ไม่สบายใจ ไม่มีเลยสักนิดเดียว”

เยี่ยนจั๋วกล่าวอย่างเดือดดาล “ถ้าอย่างนั้นยังมัวยืนบื้ออยู่ทำไม มา! พวกคนข้างนอกกำลังรอให้เจ้าออกจากบ้านอยู่นะ!”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “การต่อสู้ครั้งนี้ของพวกเรา ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราออกไปข้างนอกกันก่อน พอกลับมาแล้ว ขอแค่เจ้าเยี่ยนจั๋วยินดี อย่าว่าแต่สู้กันครั้งเดียวเลย สามครั้งก็ยังได้”

เยี่ยนจั๋วเกือบจะสบถด่าออกไป เพียงแต่พอคิดว่าหนิงเหยาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็อดทนข่มกลั้นจนหน้าแดงคอแดง “เจ้าคนนี้ทำไมไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมบ้างเลย ข้าก็บอกแล้วว่ามาสู้กับข้าก่อน ไม่ต้องแบ่งแพ้ชนะ แค่แต่ละคนได้รับบาดเจ็บ…”