แม้ภายนอกไคลน์จะพูดกระตุ้น แต่กลับทำเพียงโยนไม้เท้าแห่งชีวิตลงไปที่บันไดขั้นล่างโดยให้โลเฟียร์รักษาอาการบาดเจ็บของโคลินเอง
อดีต ‘นักบวชกุหลาบ’ อย่างโลเฟียร์คือคนที่แทบไม่ต้องกังวลผลข้างเคียงของไม้เท้าแห่งชีวิต เพราะไม่ว่าร่างกายของหญิงสาวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใด ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับขอบเขตดวงวิญญาณและจิตใจ เธอสามารถจัดการมันได้
ขณะเดียวกัน เดอร์ริครีบวิ่งไปยังกึ่งกลางบันไดยักษ์เพื่อเก็บแขนของเจ้าเมืองข้างที่ขาด
ตราบใดที่แขนขายังไม่หายไป ไม้เท้าแห่งชีวิตสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและต่อให้ติดเหมือนของใหม่!
ไคลน์ที่ยังคงฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าให้โคลินก่อนจะกระโดดเข้าไปในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ มันวิ่งไปจนถึงช่วงเวลาก่อนยุคสมัยที่หนึ่งและซ่อนตัวอยู่ในจุดแสง
จากนั้นก็ส่งตัวเองกลับสู่ปราสาทต้นกำเนิดด้วยเพียงความคิด และอาศัยความช่วยเหลือจากดาวแดงเดอะฟูลที่ยังคงยุบพองตลอดเวลาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้านในตำหนักราชาคนยักษ์
แต่แม้จะมองด้วยตาทิพย์ ไคลน์ก็ไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากความมืด
สมแล้วที่เป็นหัตถ์ซ้ายของเทพ รองประมุขสวรรค์ และราชาเทวทูตที่ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับ ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ … ไคลน์ถอนหายใจสักพักก่อนจะขมวดคิ้ว
ตอนนี้มันเริ่มสงสัยว่า ต่อให้เดอะซันน้อยเข้าไปด้านในและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล แต่ตนก็คงมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด เว้นเสียแต่จะกลายเป็นเทวทูตและได้รับสิทธิ์ควบคุมปราสาทต้นกำเนิดมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น สัมผัสวิญญาณของไคลน์ยังร้องเตือนอย่างรุนแรงว่า ภายในตำหนักบรรทมของเทวทูตมืดยังมีพลังลึกลับซุกซ่อนอยู่อีกมาก ไม่ว่ายังไงก็ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด
ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิเพื่อตรวจสอบสถานการณ์รอบตัวโดยละเอียด พยายามค้นหาร่องรอยของตัวตนระดับสูงอย่างอาดัมและอามุนด์ แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใดเลย
หลังจากถอนหายใจผ่อนคลาย ไคลน์รีบป่นตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ที่สกัดออกจาก ‘ม่าน’ โดยเหลือไว้เพียงตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 3 ทำให้ตะกอนพลังลำดับ 2 ที่แยกออกมามีความบริสุทธิ์
เมื่อกลับมายังสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ‘บุคลิกเสมือน’ ได้ส่งผลต่อจิตใจไคลน์โดยทำให้มีนิสัยคล้ายตัวตลก
วินาทีถัดมา มันออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้าตำหนักราชาคนยักษ์ที่ประตูทางเข้ากำลังเปิดอ้า
หุ่นเชิดอัศวินสีเงินที่กำลังคุกเข่าใช้ดาบปักพื้นเพื่อสร้างบาเรียคุ้มกัน เปลี่ยนท่ามาเป็นลุกขึ้นยืน
ปัจจุบันแขนข้างที่ขาดของโคลินถูกสมานติดกับร่างกายอีกครั้ง โลเฟียร์เองก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว ปัญหาเดียวที่เหลืออยู่คงเป็นรวงข้าวสีทองที่งอกขึ้นบริเวณท้ายทอยของเธอ
พวกมันเดินกลับมาพร้อมเดอร์ริคและยื่นไม้เท้าแห่งชีวิตให้ไคลน์
หลังจากรับไว้ ชายหนุ่มสะบัดพร้อมกับยกเลิกภาพฉาย ส่งผลให้ไม้เท้าเลือนหายไปกับความว่างเปล่า
ทันทีหลังจากนั้น ไคลน์เหยียดแขนออกไปจับอากาศโดยหวังจะอัญเชิญมิสผู้ส่งสารที่สภาพสมบูรณ์ที่สุดออกมา
แต่โคลินโพล่งขึ้นแทรก:
“คุณกำลังจะอัญเชิญเทวทูตตนนั้น?”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นท่าน ผมมีตัวเลือกมากมาย” ไคลน์กล่าวข้อเท็จจริงด้วยสีหน้าท่าทีล้นเกินพอดี
ปัจจุบันโคลินสลายร่างคนยักษ์และกลับสู่ส่วนสูงสองเมตรกว่าตามปรกติ เพราะไม่ว่าอย่างไร การคงสภาพร่างสัตว์ในตำนานก็ถือเป็นภาระอันหนักอึ้งสำหรับผู้วิเศษเสมอ
ขณะโคลินสวมเกราะสีเงินและลดดาบสองเล่มกลับไปเป็นขนาดปรกติ มันกล่าวกับไคลน์อย่างใจเย็น:
“สัตว์ประหลาดที่ถูกกัดกร่อนนั่นเผยลักษณะของสิ่งมีชีวิตเสื่อมทราม ตำหนักบรรทมของเทวทูตมืดซาสเรียก็น่าจะไม่แตกต่างกัน”
ท่านเจ้าเมืองต้องการสื่อว่า ภาพฉายเทวทูตของมิสเตอร์เวิร์ลอาจหักหลังเมื่อเข้าไปในตำหนักบรรทมของเทวทูตมืด? เทวทูตเสื่อมทราม… แม้จะเป็นแค่ภาพฉาย แต่พวกเราคงต้องสูญเสียมหาศาล… เดอร์ริคเข้าใจความนัยของเจ้าเมืองได้ทันที
ในอีกด้านหนึ่ง ท้ายทอยของโลเฟียร์ยุบพองเล็กน้อยก่อนจะกลืนกินรวงข้าวให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
“มีเหตุผล” ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า ตามด้วยดีดนิ้ว
จากนั้นก็ดึงอีกาธรรมดาออกจากสายหมอกประวัติศาสตร์และสั่งให้มันบินเข้าไปในความมืดด้านในตัวอาคาร
เมื่อร่างอีกาถูกความมืดโอบกอดโดยสมบูรณ์ ไคลน์กระตุกแผ่วเบาก่อนจะหันมาพูดกับโคลิน
“ขาดการติดต่อ…”
โคลินตอบอย่างไม่ประหลาดใจ
“ราชาเทวทูตเชียวนะ”
ไคลน์กระตุกมุมปากอย่างมิอาจควบคุม สำหรับมัน สภาพแวดล้อมดังกล่าวถือเป็นเงื่อนไขที่หนักหนาสาหัส เพราะนั่นหมายความว่าไคลน์จะมิอาจส่งภาพฉายเทวทูตเข้าไปต่อสู้แทนตัวเองได้
และ ‘เงา’ ซึ่งเคยถูกเฉือนออกจากร่างต้นในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ดี
“นั่นสินะ” ชายหนุ่มเหยียดแขนออกไปดึงความว่างเปล่าสักพักก่อนจะลากไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีออกมา
0-62 ไม้เท้าดวงดาว!
มันคงต้องลองเสี่ยงดูว่าภาพฉายของสมบัติปิดผนึกกับหุ่นเชิดจะถูกทำให้เสื่อมทรามและทรยศตนหรือไม่
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ โคลิน·อีเลียด โลเฟียร์ และเดอร์ริคต่างจ้องเข้าไปในความมืดด้านหลังประตูพร้อมกัน
ไคลน์ใช้ไม้เท้าดวงดาวชี้ไปยังความมืดข้างหน้าและพูดพลางยิ้ม
“หลังจากนี้จะอันตรายมาก… ทุกคนมีโอกาสตาย ไม่ว่าจะพวกคุณหรือผม”
กล่าวจบ ชายหนุ่มกดหมวกลงพร้อมกับเดินตามหุ่นเชิดอัศวินสีเงินผ่านกรอบประตูที่เปิดอ้า ย่างกรายเข้าไปในความมืดมิดด้านหลัง
โคลิน·อีเลียด โลเฟียร์ และเดอร์ริคไม่กล่าวคำใด เพียงเดินตามหลังไปอย่างเงียบงันด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
…
กรุงเบ็คลันด์ บริเวณแนวรบด้านนอกเมือง
ออเดรย์ผู้ใช้ ‘คำลวง’ ปรับแต่งรูปลักษณ์มังกรของตน กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับครึ่งเทพของกองทัพฟุซัคที่สวมหน้ากากกับถุงมือและแต่งกายในชุดนายทหาร
ปราการป้องกันสุดแข็งแกร่ง รวมถึงดาบใหญ่ที่ควบแน่นจากแสงรุ่งอรุณและเรเพียร์ที่สามารถเทเลพอร์ตกับอำพรางตัวตน พลังพิเศษน่าสะพรึงของอีกฝ่ายสร้างความประทับใจให้กับหญิงสาวอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าครึ่งเทพในกองทัพฟุซัคและอินทิสเกือบทั้งหมดจะไม่หนีไปจากอัศวินสีเงิน นักล่าปีศาจ อัศวินเลือดเหล็ก นักบวชสงคราม ผู้เจิดจรัส ผู้ชี้นำคุณธรรม นักแปรธาตุ และผู้บรรลุความลับ จนเธอสามารถศึกษาข้อมูลพลังพิเศษเพื่อรับมือล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ป่านนี้ออเดรย์ผู้ยังขาดประสบการณ์การรบจริงคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
อาศัยเพียงประสบการณ์พื้นฐาน ออเดรย์สามารถต้านรับการโจมตีระลอกแรกได้อย่างเต็มกลืนและค่อยๆ สั่งสมความเยือกเย็น จากนั้นก็พึ่งพาพลังจำพวก ‘สะกดจิตต่อสู้’ ‘ช่วงชิงจิตใจ’ ‘ลมหายใจจิต’ และ ‘พายุจิต’ เพื่อพลิกกระแสสงครามจนรอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤติ
แต่แน่นอน กุญแจสำคัญคือการที่ ‘ออร่าเทพ’ จากการเผยร่างสัตว์ในตำนานของออเดรย์สามารถส่งอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของอัศวินสีเงิน แถมยังช่วยให้ออเดรย์มีร่างกายที่ทนทานต่อการโจมตีอันหนักหน่วง ไม่อย่างนั้นคงถูกสุดยอดนักรบปิดบัญชีในพริบตา
แต่ในฐานะลำดับ 3 แห่งเส้นทางนักรบ แม่ทัพของฟุซัคย่อมจิตใจอันแข็งกล้าและไม่ถูกตบตาโดยภาพลวงตาได้ง่ายนัก การโจมตีทางจิตของออเดรย์ย่อมถูกลดทอนประสิทธิภาพลงหลายส่วน พลังบางชนิดก็ไม่ได้ผลเลย ดังนั้นฝ่ายที่ถือไพ่ได้เปรียบจึงยังเป็นอัศวินสีเงินผู้สามารถใช้ ‘แสงอำพราง’ เพื่อปกปิดตัวตนและคอยลอบโจมตีด้วย ‘เรเพียร์เงิน’
ออเดรย์ยังใจเย็นได้ในสถานการณ์ตรงหน้า นั่นเพราะระหว่างต่อสู้เธอได้สร้างบุคลิกเสมือนเพิ่มเติม จากนั้นก็แอบใช้พวกมันหว่านเมล็ดพันธุ์โรคระบาดทางจิตไว้ในสภาพแวดล้อมโดยรอบ
อีกไม่นานแม่ทัพของฟุซัครายนี้ก็จะติดเชื้อ!
แต่ทันใดนั้นเอง หอกเพลิงสีแดงจำนวนมากถูกยิงมาจากแนวรบของกองทัพผสมจนเต็มท้องฟ้า
อัศวินสีเงินไม่คิดหลบหลีก แต่ยิ่งรุกโจมตีใส่ออเดรย์อย่างหนักเพื่อตรึงเธอไว้ในตำแหน่งเดิม
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
ห่าฝนหอกเพลิงกระหน่ำยิงใส่สองครึ่งเทพเบื้องล่าง
ใบหน้าออเดรย์เริ่มบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม ตามเกล็ดมังกรสีเทาเผยรอยไหม้หลายจุด แต่ทางชุดเกราะสีเงินของอีกฝ่ายกลับยังคงส่องสว่างโดยแทบไม่ได้รับความเสียหาย
เมื่อเทียบกับ ‘คนยักษ์’ ที่โดดเด่นด้านการป้องกัน ความสามารถในการต้านรับการโจมตีของมังกรย่อมตกเป็นรอง
นี่คือวินาทีที่ออเดรย์ได้ตระหนักว่าเธอกำลังอยู่ในสงคราม ไม่ใช่ศึกดวลเดี่ยวบนลานประลอง
ขณะหอกเพลิงระลอกใหม่เตรียมระดมยิงใส่ตำแหน่งเดิม ความโกลาหลพลันอุบัติขึ้นท่ามกลางแนวรบของกองกำลังผสม และดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงจนสร้างความปั่นป่วนเป็นวงกว้าง
ทันใดนั้นเอง หมอกหนาทึบที่ปกคลุมสนามรบพลันสลายไปในพริบตาราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
ออเดรย์และแม่ทัพฟุซัคต่างหยุดดวลกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งสองพบว่าร่างกายของตนกำลังอ่อนแอสุดขีดอย่างผิดธรรมชาติ กระทั่งจะยกแขนขึ้นมาสักข้างก็ยังเป็นเรื่องยากลำบาก
หญิงสาวพบว่าด้านหลังของแนวรบศัตรู แสงสว่างสีส้มแดงแผ่ออกจากเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งปกคลุมพื้นที่กว่าครึ่งของผืนนภา พร้อมกับบดบังแสงอาทิตย์
สนามรบรอบด้านนอกกรุงเบ็คลันด์พลันกลายเป็นยามสนธยา!
ในเวลาเดียวกัน ความมืดอันลุ่มลึกสีดำสนิทพลันแผ่ปกคลุมท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งและปะทะเข้ากับท้องฟ้าสีส้มแสด
ทหารและนายทหารทุกคนในสมรภูมิล้วนผล็อยหลับลึกอย่างไม่ได้สติ
…
ภายในกรุงเบ็คลันด์ ด้านนอกมหาวิหารนักบุญฮิลลัน
เลียวนาร์ดที่แต่งกายด้วยถุงมือสีแดง แหงนมองท้องฟ้ากึ่งมืดกึ่งสนธยา
มันถอนหายใจแผ่วเบาพลางมองเข้าไปยังทางเข้าวิหารนักบุญฮิลลัน
ไอคานส์·เบอร์นาร์ดเจ้าของผมสีน้ำตาล และหน่วยจิตแห่งจักรกลที่เหลือต่างกำลังยืนแหงนมองฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา พวกมันได้รับความช่วยเหลือเชิงลึกจากหน่วยถุงมือแดงของเลียวนาร์ดในการกวาดล้างกองกำลังชั่วร้ายที่แฝงตัวอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ ขณะเดียวกันก็คอยสืบหาองค์กรลับที่ศรัทธาเดอะฟูลและใช้ไพ่ทาโรต์เป็นโค้ดเนม
…
หมู่เกาะรอสต์ เมืองแห่งการให้ บายัม บนหอระฆังของมหาวิหารคลื่นสมุทร
เดนิสเฝ้ามองกลุ่มต่อต้านเคลื่อนพลเข้ามาในเมืองและยึดครองสถานที่หลายแห่ง จากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วและหันไปพูดกับอัลเจอร์
“ดูนั่นสิ… พวกเขาได้รับความนิยมอย่างมากไม่ว่าจะเป็นที่ใดในเมือง”
อัลเจอร์มองตามชนพื้นเมืองผิวเข้มโดยไม่ตอบโต้คำพูดเดนิส
เดนิสที่กำลังผ่อนคลายหัวเราะในลำคอและกล่าวต่อ
“ฉันคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้”
อัลเจอร์เงยหน้าขึ้นและเตรียมพูดบางสิ่ง แต่ทันใดนั้นเอง มันสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลและรีบหันไปทางท้องฟ้าฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ
ตำแหน่งที่อัลเจอร์กำลังจ้องมองพลันมืดลงกะทันหัน เมฆดำจำนวนมหาศาลซ้อนทับกันหลายชั้นและปลดปล่อยฝูงอสรพิษสายฟ้าออกมา
คลื่นสมุทรสีครามเข้มพวยพุ่งจากผิวทะเล อาศัยความช่วยเหลือจากสายลมกระโชกเพื่อเชื่อมท้องฟ้าและมหาสมุทรเข้าด้วยกัน
ณ จุดที่ทะเลและท้องฟ้าผสมผสานกลมกลืน ลำแห่งหนึ่งสว่างขึ้นในลักษณะที่ไม่สุกสว่าง ไม่เจิดจ้า และไม่มีสี คล้ายกับเป็นการรวมตัวกันของวัตถุมายาจำนวนมหาศาล
…………………………