บทที่ 1107 ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,107 ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่

หลินเป่ยเฉินมองหน้าเหยียนหรู่อี้และหันกลับมามองหน้าหูเหม่ยเอ๋อร์

ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้มีความร้ายกาจมากขึ้นนะ?

“นายท่านเจ้าคะ วันนี้ข้าน้อยยังไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือเลยนะ”

เฉียนเหมยพูดออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง

หลินเป่ยเฉินนั่งลงหยิบเมล็ดแตงโมออกมารับประทานพร้อมกับพูดว่า “เฉียนเหมย เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ ความแข็งแกร่งของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง หากเจ้าพ่ายแพ้จนถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ไม่ต้องเดือดร้อนให้ข้าคอยเสียเวลาแก้แค้นแทนเจ้าอีกหรือ?”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน”

เฉียนเหมยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

นางรู้ดีว่าตนเองไม่สมควรก่อปัญหา

บนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงในขณะนี้ การประลองคู่สุดท้ายได้เริ่มขึ้นแล้ว

เป็นการพบกันระหว่างตัวแทนจากหุบเขาผีเสื้อพิษและผู้กล้าจากเมืองไป๋หยุน

ตัวแทนคนแรกที่ฝ่ายหุบเขาผีเสื้อพิษส่งออกมา ย่อมต้องเป็นเหอชิงฮวา

นางกระโดดลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลองพร้อมกับปลดปล่อยเสน่ห์อันเย้ายวนใจให้แก่บรรดาผู้รับชมโดยรอบ เอวคอดกิ่ว ผมยาวสลวย ริมฝีปากแดง หน้าอกอวบอิ่ม ช่วงขาเรียวยาวโผล่พ้นออกมาจากชายกระโปรงสีเขียวอ่อน ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความงามของอิสตรีมากยิ่งขึ้น

นี่ย่อมเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจผู้คนได้เป็นจำนวนมาก

ในอาณาเขตที่นั่งของผู้กล้าจากเมืองไป๋หยุน พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันสีหน้าเคร่งเครียด

“คงได้เวลาที่ผู้อาวุโสเว่ยเหอจะออกไปแสดงฝีมือแล้วกระมัง?”

ท่านเจ้าเมืองไป๋หยุนฉู่อวิ๋นซุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

ในฐานะยอดฝีมือที่ว่าจ้างมาจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยนในราคาแพงลิบลิ่ว เว่ยเหอคงไม่คิดที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ จนจบงานประลองหรอกกระมัง?

“เป็นความคิดที่ประเสริฐนัก”

ในฐานะมือกระบี่รับจ้าง ผู้อาวุโสเว่ยเหอย่อมเคยชินต่อการปฏิบัติตามคำสั่งนายจ้าง เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนร่างกลายเป็นลำแสง พุ่งตัวลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลองอย่างรวดเร็ว

ชายชราผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่กว่าเจ็ดเซี๊ยะ แขนขาอุดมด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ มองดูแล้วไม่ต่างไปจากหมีป่าตัวหนึ่ง

และอาวุธในมือเขาก็คือกระบี่ใหญ่ที่ต้องใช้สองมือจับเล่มหนึ่ง

“หืม เขาใช้กระบี่ใหญ่หรือนี่?”

หลินเป่ยเฉินหรี่ตามองด้วยความสนใจ

หลังจากพิจารณาดูอาวุธของมือกระบี่รับจ้างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็พบว่าด้ามจับของมันมีที่ยึดเหนี่ยวไม่ต่างจากที่จับประตูบ้านในโลกยุคปัจจุบัน ใบกระบี่มีความหนาและแข็งแรงทนทาน สะท้อนประกายแห่งความสวยงามและความดุร้ายในเวลาเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นตัวคนหรือตัวกระบี่ ต่างก็ให้ความรู้สึกถึงการทำลายล้างทั้งสิ้น

สาวน้อยจากหุบเขาผีเสื้อพิษเหอชิงฮวายืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเปรียบเทียบนางกับเว่ยเหอแล้ว นี่ก็ไม่ต่างจากการพบกันระหว่างจิ้งจอกน้อยกับหมียักษ์ตัวหนึ่ง

เว่ยเหอระเบิดเสียงคำรามขู่ขวัญ

แคว่ก!

เสื้อผ้าท่อนบนของเขาพลันขาดกระจุย

ปรากฏว่ากล้ามเนื้อของเขาพองตัวขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์

“ให้ตายสิ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ตาลุงคนนี้ก็ตั้งใจฉีกเสื้อโชว์กล้ามเลยงั้นเหรอ”

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว

ช่างร้ายกาจ ช่างร้ายกาจจริง ๆ

เมื่อเว่ยเหอยกกระบี่ของตนเองขึ้นอย่างช้า ๆ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกับว่ายอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงได้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย

มวลพลังที่หลอมรวมอยู่กับพื้นดินถูกดูดขึ้นมาสู่ร่างของเว่ยเหอ

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดนึกถึงฮันปู้ฟู่ขึ้นมาไม่ได้

ศิษย์พี่ฮันของเขาก็มีพลังปราณธาตุดินแบบนี้เช่นกัน น่าเสียดายที่…

ไม่รู้เลยว่าป่านนี้การค้นหาที่หุบเขาดาวตกจะเป็นอย่างไรบ้าง

ระหว่างที่หลินเป่ยเฉินจมอยู่กับความคิดในอดีต การต่อสู้บนสังเวียนประลองก็เริ่มขึ้นแล้ว

เว่ยเหอมีรูปแบบการโจมตีที่หนักหน่วงรุนแรงตามคาด

หลินเป่ยเฉินเห็นชายชราฟาดฟันกระบี่แต่ละครั้ง มวลอากาศก็ปั่นป่วนโกลาหล เห็นได้ชัดว่ากระบี่ยักษ์เล่มนี้มีอานุภาพการทำลายล้างรุนแรงและน่าหวาดกลัว

แต่ข้อเสียคือการเคลื่อนตัวของเขาค่อนข้างเชื่องช้า หากนับดูความรวดเร็วในกลุ่มผู้มีพลังขั้นเซียนด้วยกัน เว่ยเหอนับว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางเชื่องช้าทีเดียว

และสิ่งที่เป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นก็คือคู่ต่อสู้ของเว่ยเหอในขณะนี้ คือสาวน้อยจากหุบเขาผีเสื้อพิษเหอชิงฮวา นางเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหก จุดเด่นคือสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วราวกับลำแสง ดังนั้นทุกครั้งที่กระบี่ยักษ์ในมือเว่ยเหอโจมตีออกมา เหอชิงฮวาจึงสามารถหลบหลีกได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ

หลังการต่อสู้อันดุเดือดผ่านไปหลายกระบวนท่า…

ผลั่ก!

ฝ่ามือของเหอชิงฮวาก็กระแทกเข้าใส่หน้าอกของเว่ยเหอ

ฝ่ามือของนางจมหายเข้าไปในกล้ามเนื้อหน้าอก ไม่ทราบเลยว่ากระดูกหน้าอกของชายชราต้องแตกหักไปกี่ชิ้น

ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า!

ได้ยินเหมือนเสียงเนื้อไหม้ไฟดังขึ้น

เว่ยเหอซวนเซถอยหลัง บริเวณหน้าอกมีหมอกควันสีดำลอยขึ้นมา ปรากฏว่ากล้ามเนื้อและกระดูกของเขากำลังถูกเผาไหม้…

“ท่านแพ้แล้ว”

เหอชิงฮวาไม่มีเจตนาสังหารฝ่ายตรงข้าม เพียงกล่าวว่า “เชิญไสหัวไปซะ”

ชายชราทรุดลงนั่งคุกเข่าบนพื้น ก้มมองรอยฝ่ามือสีดำที่ประทับอยู่บนหน้าอกของตนเองและรับทราบทันทีว่านี่คืออานุภาพของพิษผีเสื้อราตรีจากหุบเขาผีเสื้อพิษ ดังนั้นเขาจึงอดตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้

เว่ยเหอไม่พูดคำใดอีก เพียงหมุนตัวเหินร่างกลับขึ้นไปยังกลุ่มที่นั่งของผู้กล้าจากเมืองไป๋หยุน

เพียงเท้าสัมผัสพื้นเท่านั้น สองขาก็อ่อนยวบ ชายชราหมดสติไปทันที

ติงซานฉือนั่งอยู่ตรงนั้นพอดี จึงสามารถกระโดดไปรับร่างเอาไว้ได้ทัน

ฉู่อวิ๋นซุนผู้เป็นเจ้าเมืองหัวเราะเยาะออกมา ก่อนกล่าวว่า “ใช้การไม่ได้ ต้มน้ำยังไม่ทันเดือดเสียด้วยซ้ำ”

“นี่เขาโดนพิษผีเสื้อราตรีนะ เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือไม่?”

ติงซานฉือกล่าว “ยังไม่รีบเอายาถอนพิษมาอีก”

ฉู่อวิ๋นซุนหัวเราะในลำคอ “ปล่อยให้ตายไปก็ประเสริฐแล้ว ถือว่าช่วยพวกเราประหยัดเงินเยอะทีเดียว ฮ่า ๆๆ”

พูดจบ บุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าเมืองก็ทำท่าจะกระโดดลงสู่สังเวียนประลอง

แต่ฝ่ามือที่ขาวผ่องก็ตะปบลงไปบนหัวไหล่ของเขา

ฉู่อวิ๋นซุนหันกลับมามองหน้าลู่กวนไห่ด้วยแววตาสงสัย

ผู้เป็นภรรยาส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ท่านลงมือไม่ได้อีกแล้ว”

ฉู่อวิ๋นซุนสูดหายใจลึก อดรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาไม่ได้ ต่อจากนั้นจึงหันมามองหน้าติงซานฉือและออกคำสั่ง “ท่านออกไปต่อสู้เถอะ”

“ข้าเนี่ยนะ?”

ติงซานฉืออุทานด้วยความตกใจ “เมื่อเช้าข้ารับประทานเผ็ดมากเกินไป บัดนี้กำลังเริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้ว…”

“เลิกกล่าววาจาไร้สาระเสียที”

ฉู่อวิ๋นซุนหัวเราะเยาะเย้ยหยัน “ในเมื่อท่านเป็นถึงเจ้าสำนักกระบี่อมตะ ท่านก็สมควรทำตามคำสั่งของข้า รีบออกไปเผชิญหน้าคู่ประลองเดี๋ยวนี้”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองหน้าลู่กวนไห่และถามว่า “ไม่ทราบท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นใด?”

ลู่กวนไห่ไม่ตอบ

ติงซานฉือล้วงมือหยิบยาถอนพิษที่พกติดตัวออกมาและไม่รู้เลยว่ามันจะใช้ได้ผลหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็นำยาถอนพิษนั้นยัดใส่ปากเว่ยเหอ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงนำตัวอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ ก่อนพูดว่า “ประเสริฐ ในเมื่อพวกเจ้าไม่กลัวความอับอาย ข้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรทั้งนั้น”

วูบ!

อาจารย์ของหลินเป่ยเฉินพุ่งตัวเป็นลำแสงลงไปยืนอยู่บนเวทีประลอง

“อิอิ ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสติงนี่เอง… ไม่ทราบว่าท่านยังเหลือไฟในการต่อสู้อยู่อีกหรือเจ้าคะ?”

เหอชิงฮวาใช้สายตาสำรวจมองติงซานฉือตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความสงสัยว่าเศษขยะชั้นต่ำเช่นนี้สามารถเป็นอาจารย์ของยอดฝีมืออย่างหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?

หรือว่าชายชราผู้นี้จะซ่อนเร้นฝีมือที่แท้จริงของตนเองเอาไว้?

“เหตุไฉนสตรีโฉมงามเช่นเจ้าถึงนิยมชมชอบกล่าววาจาทำร้ายจิตใจผู้คนนัก?”

ติงซานฉือพูดด้วยความโกรธแค้น

น้ำเสียงแข็งกร้าว สีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง

“ในเมื่อรอบที่แล้ว ผู้อาวุโสติงหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต แล้วเหตุไฉนวันนี้ถึงยอมออกมาต่อสู้ล่ะเจ้าคะ?”

เหอชิงฮวาเดินนวยนาดเข้ามาใช้สายตาตำรวจมองติงซานฉืออย่างใกล้ชิด “นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเหยียบเท้าลงมาถึงสังเวียนประลอง หรือท่านมีความมั่นใจว่าจะสามารถผ่านข้าน้อยไปได้?”

ติงซานฉือหัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม “ข้าจะผ่านไปได้หรือไม่ ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับเจ้า”

“หืม?”

ปีกทั้งสองข้างที่อยู่บนแผ่นหลังของเหอชิงฮวาขยับไหวเล็กน้อย

แล้วยาพิษที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ถูกสะบัดออกมาจากปีกทั้งสองข้างนั้นโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว

ติงซานฉือกระซิบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“นี่ผู้อาวุโสติงมีเจตนาทำลายสมาธิข้าน้อยใช่หรือไม่?”

เหอชิงฮวามึนงงในคำพูดของชายชราเล็กน้อย แต่แล้วนางก็ยิ้มออกมาอย่างยั่วยวน “ผู้อาวุโสติงเจ้าคะ หากท่านซ่อนเร้นฝีมือที่แท้จริงอยู่ละก็… ได้โปรดแสดงฝีมือออกมาดีกว่านะเจ้าคะ หรือว่าท่านทำใจสังหารสตรีที่สวยงามเช่นข้าน้อยไม่ลง?”

“ดูเหมือนเจ้าจะบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ สินะ”

ติงซานฉือพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

เหอชิงฮวาตื่นตกใจขึ้นมาอีกครั้ง

แล้วนางก็เห็นติงซานฉือประสานมือค้อมศีรษะให้แก่ตนเองหน้าตาเฉย “ข้าขอยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้”

พูดจบ ชายชราก็พุ่งตัวเป็นลำแสงหลบหนีออกมาจากสังเวียนประลองทันที

นี่มันอะไรกัน?

เหอชิงฮวาเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

นี่… ติงซานฉือ…ยอมแพ้จริง ๆ หรือ?

ยาพิษของนางทำให้ชายชราประสาทหลอนรวดเร็วขนาดนี้เลยหรืออย่างไร?

ขอยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้เนี่ยนะ?

นี่มัน…

เป็นการวางกลยุทธ์ หรือเป็นเพราะความกลัวตายกันแน่?

เหอชิงฮวาไม่เคยคิดฝันเลยว่าตนเองจะได้พบเจอบุคคลเช่นนี้บนสังเวียนประลองของยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิง

เกิดเสียงอุทานดังขึ้นรอบบริเวณ

ยอดเยี่ยม

ยอดเยี่ยมจริง ๆ

ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงเลยว่าติงซานฉือที่เคยยอมแพ้คู่ต่อสู้อย่างไร้ยางอายมาแล้วในรอบแรก จะประพฤติตัวเช่นเดิมในการต่อสู้รอบที่สอง

ยังจะมีผู้ใดไร้ยางอายได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้อีก?

แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้

ก่อนหน้านี้ เขาเข้าใจมาตลอดว่าสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกในการเอาชนะใจหญิงสาวก็คือความหล่อเหลา ตราบใดที่มีความหล่อเหลามากพอ ก็จะสามารถครอบครองหัวใจหญิงงามได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่บัดนี้ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิด

ปรากฏว่าสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกในการเอาชนะใจสตรีคือความไร้ยางอายต่างหาก

มิเช่นนั้นแล้ว อาจารย์ของเขาจะยึดครองหัวใจองค์หญิงแห่งท้องทะเลและลู่กวนไห่ได้อย่างไร?

แต่ช่างน่าเสียดายนัก

เด็กหนุ่มผู้รักในความยุติธรรมและเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วอย่างเขา ไม่สามารถประพฤติตนไร้ยางอายเช่นอาจารย์ติงได้เลยจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

ณ ที่นั่งของกลุ่มผู้กล้าจากเมืองไป๋หยุน ฉู่อวิ๋นซุนกำลังใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล