ราชันเร้นลับ 1260 : รู้แจ้ง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

โดยไม่จำเป็นต้องมีใครพูด สี่ครึ่งเทพเข้าใจได้ตรงกันทันที:

ชายผู้มีส่วนสูงทัดเทียมคนยักษ์และกำลังหลับใหลบนบัลลังก์เหล็กดำ ไม่ใช่ใครนอกจากหัตถ์ซ้ายแห่งเทพ รองประมุขสวรรค์ เทวทูตมืดซาสเรีย!

จากบรรดาพวกมัน โลเฟียร์เป็นคนเดียวที่สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลได้ชัดเจน เพราะนี่เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ได้รับเมื่อครั้งสวดวิงวอนถึงพระผู้สร้างแท้จริง ออร่าที่สามารถทำให้ความคิดของเธอกระจัดกระจาย ดวงวิญญาณเสื่อมทราม และร่างกายสั่นเทิ้ม

ทันใดนั้น เธอได้ยินใครบางคนระเบิดเสียงหัวเราะ จึงรีบหันไปมองด้านข้างด้วยความมึนงง

ไคลน์กำลังงอตัวขำ

“ท่านกำลังหลับอยู่… เราควรปลุกหรือรอให้ตื่นเองดี? และถ้าเลือกที่จะปลุก พวกเราควรทักทายท่านว่าอย่างไร? พระคุณเจ้าเทวทูตมืด? ท่านประมุขแห่งกุหลาบไถ่บาป?”

สองคำถามดังกล่าวอาจแฝงไว้ด้วยความโอหังและเย่อหยิ่ง แต่ก็ช่วยให้คนอย่างโคลินหลุดพ้นจากภาวะกดดันและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น

หลายคนคิดหาคำตอบของคำถามแรกตามสัญชาตญาณ เพราะมันค่อนข้างสำคัญและเกี่ยวพันกับอนาคตของพวกตน

โคลินครุ่นคิดสักพัก:

“ตอนนี้อย่าเพิ่งปลุกท่าน พยายามเข้าใกล้และค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม”

“คิดเหมือนกันเลย” ไคลน์ดีดนิ้วด้วยมือซ้ายพลางเดินไปทางบัลลังก์เหล็กดำ

ในเวลาเดียวกัน มันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สามารถฟื้นฟูดวงวิญญาณให้กลับมาสมบูรณ์ได้ก่อนจะเข้ามาสำรวจ ไม่อย่างนั้นคงมิอาจควบคุมพฤติกรรมไร้มารยาทที่เกิดจาก ‘บุคลิกเสมือน’ เพราะขณะกำลังคิดว่าควรทักทายอย่างไรดี ในหัวผุดคำหนึ่งขึ้นมาว่า: สวัสดีน้องสาว!

เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินไปข้างหน้าสองก้าว โลเฟียร์เริ่มได้สติกลับมา

“ฉันจะลองใช้ดวงวิญญาณที่ต้อนมา”

นี่เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัยและช่วยลดความเสี่ยงให้กับสมาชิกทีมสำรวจ

ไคลน์ที่กำลังถือไม้เท้า พยักหน้าพลางหันข้างมายิ้มให้

ร่างมายาสูงเกือบสี่เมตรโผล่ขึ้นตรงหน้าโลเฟียร์ เหนือศีรษะมีเขาแพะที่สลักลวดลายลึกลับ ผิวสีดำด้านและเต็มไปด้วยบรรยากาศเลวทราม

เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากปีศาจ

แตกต่างจากปีศาจที่ไคลน์เคยเห็นทั้งหมด บนร่างกายของมันมีร่องรอยการผุกร่อน หนองข้นสีเหลืองเขียวไหลย้อย ลักษณะคล้ายกับผสานเข้ากับคุณสมบัติ ‘การเสื่อมทราม’

หลังจากไคลน์จ้องร่างมายาหัวจรดเท้าสักพัก ปีศาจตนดังกล่าวสยายปีกคล้ายค้างคาวขนาดใหญ่พร้อมกับสร้างเปลวไฟสีฟ้าที่ดูเกรี้ยวกราดและเหม็นฉุนกลิ่นกำมะถัน

มันย่างกรายไปข้างหน้าและเดินบนขั้นบันไดที่สร้างมาเพื่อให้คนยักษ์ใช้งาน จากนั้นก็อาศัยลางสังหรณ์แจ้งเตือนอันตรายเพื่อสำรวจหาความผิดปรกติโดยรอบ

ระหว่างที่โคลิน ไคลน์ และอีกสองครึ่งเทพกำลังให้ความสนใจปีศาจ พวกมันก็ตรวจสอบรอบวังเงาแห่งนี้ไปพลาง เพียงไม่นานก็พบบานประตูคู่สีเทาน้ำเงินซ่อนอยู่ด้านหลังบัลลังก์เหล็กที่ซาสเรียกำลังบรรทม บนประตูมีภาพวาดเกี่ยวกับยามพระอาทิตย์ตก

นี่อาจเป็นประตูที่พาออกไปสู่โลกภายนอก… ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในหัวสามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์

ในเวลาเดียวกัน อสูรที่กำลังเดินสำรวจเกิดชะงักฝีเท้ากะทันหัน ทันใดนั้น ร่างของมันถูกรายล้อมด้วยประกายสายฟ้าก่อนจะระเบิดออกเป็นเศษซากและสลายไปท่ามกลางเสียง ‘เปรี้ยะ’ ที่ดังอย่างต่อเนื่อง

เสาลำแสงที่มีเกลียวเปลวไฟพันรอบ ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าพร้อมกับชำระล้างดวงวิญญาณของปีศาจตนนั้นจนหมดจด

โลเฟียร์มิได้เสียใจที่ต้องสูญเสียวิญญาณแกะ เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากยังคิดหาวิธีสำรวจที่ดีกว่านี้ไม่ได้

ไคลน์มองไปรอบตัวก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

“อย่างที่คิด ผมต้องออกโรงเองเหมือนเคย”

ขณะกล่าวก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับล้วงหยิบกล่องไม้ขีด จากนั้นก็จุดทีละก้านและโปรยออกไปรอบทิศ

“อันที่จริง ผมค่อนข้างขี้อายนะ” หลังจากโยนไม้ขีดไฟไปครึ่งกล่อง ไคลน์หันหลังกลับมายิ้มให้ทุกคน

กระทั่งเดอร์ริค·เบเกอร์ก็ยังไม่ปักใจเชื่อประโยคเมื่อครู่

ถัดมา ท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวไฟสีแดง ไคลน์ย่างกรายไปยังบัลลังก์เหล็กดำที่น่าจะเคยเป็นของเทพบรรพกาล

จนกระทั่งมาถึงจุดที่วิญญาณปีศาจถูกทำลาย ถุงมือซ้ายของมันกระชับขึ้นทันที

ไคลน์ก้มหน้าลงและพบว่ายุบพองหิวโหยได้เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์หนังมนุษย์ กึ่งกลางฝ่ามือมีรอยแยกขนาดใหญ่และฟันซี่ขาวเรียงสวย

สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้กำลังพยายามกัดกินเลือดเนื้อไคลน์และสูบวิญญาณเข้าไป

ยุบพองหิวโหยเสื่อมทราม!

“ชิ!” ไคลน์ออกอาการหงุดหงิดชัดเจนก่อนจะชำเลืองไปทางไม้เท้าดวงดาว มันยืนยันว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ที่ไม่มีสัญญาณชีพชิ้นนี้ยังไม่กลายพันธุ์หรือแสดงท่าทีผิดปรกติ

จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นและใช้ส่วนปลายของไม้เท้าดวงดาวยัดใส่ปากยุบพองหิวโหย

ยุบพองหิวโหยกัดไม้เท้าสักพักก่อนจะสงบลงหลังจากสัมผัสถึงแรงกดดันจากตัวตนที่มีระดับสูงกว่า

หลังจากยืนขำสักพัก ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งเป็นระยะทางหลายเมตร

ทันใดนั้นเอง รอยปริแตกเริ่มปรากฏบนเงาแผ่นบางที่คลุมผนัง กำแพง เพดาน เสา และพื้น จากนั้นดวงตาสีทองเหลืองก็โผล่ขึ้นจากรอยแยก

ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าไคลน์ที่กำลังถูกสายตาจำนวนมากจดจ้อง

ตอนแรกมาในรูปลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เจ้าของผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและบุคลิกเย็นชา แต่จากนั้นก็บิดเบี้ยวและแปรเปลี่ยนเป็นไคลน์·โมเร็ตติเจ้าของผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลและบรรยากาศนักวิชาการ จากนั้นก็กลายเป็นภาพมายาคลุมเครือที่รายล้อมด้วยหมอกสีเทา

ทันใดนั้นเอง ร่างที่คล้ายกับพยายามเปิดโปงความลับของไคลน์พลันหยุดชะงัก

บึ้ม!

ร่างดังกล่าวระเบิดออกและกลายเป็นเศษกระจกมายาที่ร่วงกราวลงพื้น

ไคลน์ยักคิ้วก่อนจะยิ้ม

“นี่คือพลังรู้แจ้งของเส้นทางนักอ่าน?”

เมื่อสิ้นเสียง ดวงตาทองเหลืองจำนวนมากที่ผุดจากจุดภายในตำหนักพลันสั่นสะท้าน จากนั้นก็เปล่งเสียงที่คล้ายกับดังมาจากโบราณกาล

“ออร่าของ… ปราสาทต้นกำเนิด…”

ปราสาทต้นกำเนิด… โคลิน·อีเลียดทำหน้าคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้

อา… ต้องมี ‘แก่นต้นกำเนิด’ เท่านั้นซาสเรียถึงจะตอบสนอง? เข้าใจแล้วว่าทำไมแฮงแมนที่ควบคุมครึ่งเทพผู้แฝงตัวอยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างโลเฟียร์ ถึงต้องบีบบังคับให้เรามาหาเทวทูตมืดแทน… ไคลน์พยายามข่มบุคลิกเสมือนที่ต้องการจะพูดทุกความคิดในใจ

ขณะไคลน์กำลังขบคิดถึงสิ่งที่ควรพูดออกไป ดวงตาทองเหลืองที่ซ่อนตัวในเงามืดเปล่งเสียงออกมาอีกหนึ่งประโยค:

“ชะตากรรมของเจ้าเกี่ยวพันกับอมานีซิส เลโอเดโร อาดัม อามุนด์ เฮราเบอร์เก้น โอซาคุส เมดีซี โอโรเลอุส และพระองค์…”

โคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์ย่อมเคยได้ยินชื่อที่ดวงตาทองเหลืองกล่าวออกมา และทราบว่าคนแรกคือเทพธิดารัตติกาล ส่วนที่เหลือคือเจ็ดในแปดราชาเทวทูต โดยเกือบทั้งหมดได้กลายเป็นเทพแท้จริงแล้วในปัจจุบัน ข้อเท็จจริงนี้ทำให้พวกมันเกิดความตะลึงอย่างมาก เพราะคาดไม่ถึงว่าชะตากรรมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะมีส่วนพัวพันกับตัวตนที่มีลำดับสูงกว่า 1 มากมายถึงเพียงนี้

เมื่อนับรวมเทวทูตมืดตรงหน้า มิสเตอร์เวิร์ลถือว่ามีชะตากรรมพัวพันกับราชาเทวทูตครบทั้งแปดตนแล้ว… น่าเหลือเชื่อมาก… เดอร์ริคสรรเสริญอีกฝ่ายจากก้นบึ้งหัวใจ

ไคลน์ไม่มีอารมณ์จะรำพันติดตลก เพียงถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“พระองค์?”

ไคลน์เชื่อว่า ‘พระองค์’ ในที่นี้หมายถึงพระผู้สร้างแท้จริง เพราะการกัดเซาะจากอีกฝ่ายยังคงหลงเหลือภายในร่างกายตน

ดวงตาทองเหลืองบนม่านเงาเงียบไปสักพักก่อนจะตอบเสียงล่องลอย

“ท่านคือตัวข้าอีกคน…”

พระผู้สร้างแท้จริงคืออีกด้านของเทพสุริยันบรรพกาลอย่างที่คิด… เป็นด้านที่เกิดจากซากศพของเทพ เต็มไปด้วยความเกลียดชังและขุ่นเคือง ถือครองอำนาจในขอบเขตความเสื่อมทราม? ภายในใจ ไคลน์ลากเครื่องหมาย ‘เท่ากับ’ จากทารกสีดำที่นั่งอยู่ในท้องและกัดกินลำไส้ของเทพสุริยันบรรพกาล มายังพระผู้สร้างแท้จริง ขณะเดียวกันก็ยืนยันได้ว่าดวงตาทองเหลืองที่กำลังพูดอยู่กับตน คือจิตตกค้างของเทวทูตมืดซาสเรีย

มันครุ่นคิดสักพักก่อนจะยิ้มอย่างมิอาจหักห้าม

“เหตุใดท่านถึงก่อตั้งกุหลาบไถ่บาปเพื่อลอบสังหารเทพสุริยันบรรพกาล?”

ข้อมูลที่มาพร้อมกับคำถามดังกล่าวคือสิ่งที่ทั้งโคลินและโลเฟียร์มีเค้าลางในใจอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์พูดออกมาต่อหน้า หัวใจของพวกมันอดไม่ได้ที่จะเศร้าและสับสน

ม่านเงาที่ปกคลุมผนัง พื้น เพดาน และเสาเริ่มสั่นสะเทือน แต่เทวทูตมืดที่กำลังหลับใหลยังคงไม่เคลื่อนไหว

ดวงตาทองเหลืองจ้องไคลน์และกล่าว

“เทพสุริยันเป็นเพียงนามเดิมของข้า ตอนนี้เจ้าควรเรียกว่า: พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงปัญญา… หรือไม่ก็พระเจ้า”

…ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร หมอนี่พยายามเดินสายนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว… ไคลน์พลันระเบิดเสียงหัวเราะ แต่ทันใดนั้นพลันเกิดความกลัว เนื่องจากเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังลบหลู่รองประมุขสวรรค์ หัตถ์ซ้ายแห่งเทพ ราชาเหนือราชาเทวทูต และ ‘ส่วนหนึ่ง’ ของพระองค์

เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโกรธเคือง ไคลน์รีบเปลี่ยนข้อหัวด้วยคำถาม

“แล้วทำไมท่านถึงร่วมมือกับเทพธิดารัตติกาลเพื่อก่อตั้งกุหลาบไถ่บาปและทรยศตัวเอง?”

ดวงตาทองเหลืองกลับไปเงียบอีกครั้ง ม่านเงาที่ปกคลุมทุกสิ่งภายในห้องกำลังสั่นไหวแผ่วเบาโดยไม่หยุด

ผ่านไปหลายวินาที เสียงล่องลอยกล่าวอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

“มหาต้นกำเนิดตื่นขึ้นในร่างกายข้า…”

ได้ยินคำตอบ รูม่านตาไคลน์เบิกกว้างทันที ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นท้ายทอยอย่างบอกไม่ถูก

ข้อเท็จจริงดังกล่าวถือว่าใกล้เคียงกับสมมติฐานขอตน เพียงแต่น่าสะพรึงกลัวกว่าหลายเท่า

ทันใดนั้น เงาดำรอบตัวชายหนุ่มทวีความหนาแน่นและเข้มข้นทันที แฝงไปด้วยความชั่วร้ายและหมองหม่น ราวกับกำลังจะให้กำเนิดบางสิ่งที่น่าสะพรึง อันตราย นิรนาม และมิอาจต้านทาน

แม้โคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์จะมิได้เข้าใจคำพูดเทวทูตมืดโดยสมบูรณ์ แต่พวกมันก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากถ้อยคำที่มืดมนและน่าสะพรึงจนร่างกายพากันสั่นสะท้าน

“มหาต้นกำเนิดตื่นขึ้นในร่างกายข้า…”

ถ้อยคำดังกล่าวดังก้องกังวานอยู่เป็นเวลานาน

………………………