ในคืนราตรี ภูเขาไฟของสำนักเหอเสียนเปล่งปลั่งพร่างพรายอย่างยิ่ง มันและภูเขาของอีกสองสำนักรวมกันก่อรูปร่างเป็นเหมือนกับประภาคาร ทำให้ศิษย์ของสามสำนักที่ออกไปข้างนอกในยามค่ำคืนแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลมาก แต่ก็ยังมองเห็นได้
สำหรับศิษย์ทั่วไปแล้ว สัตว์ประหลาดทั้งหมดที่อยู่ในยามค่ำคืนจะสลายหายไปเมื่อเข้าใกล้กับประตูสำนัก ราวกับไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนสามารถก้าวเข้ามาภายในขอบเขตภูเขาไฟของสามสำนักได้เลย
นี่แทบจะเป็นกฎข้อหนึ่งไปแล้ว จนถึงตอนนี้ ศิษย์ทั้งสามสำนักก็ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเข้ามาในประตูภูเขาเลยสักครั้ง ถึงขั้นที่ในบันทึกโบราณของสามสำนักก็ยังไม่มีบันทึกเรื่องแบบนี้เอาไว้
เหมือนกับว่าการดำรงอยู่ของสามสำนักคือเขตหวงห้ามสำหรับสัตว์ประหลาดในยามค่ำคืน
หวังเป่าเล่อก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขาเข้ามาใกล้กับภูเขาไฟของสำนักเหอเสียน ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปในทันที แต่ยืนอยู่ตรงนั้น มองประตูภูเขาของสำนักเหอเสียน
“ไม่รู้ว่า…ในโลกแห่งเสียง สามสำนักจะมีลักษณะอย่างไร”
หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนที่เขากลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด เขาไม่เคยเข้ามาใกล้ภูเขาไฟของสามสำนักเลย แต่ตอนนี้เขาเกิดแรงกระตุ้นในใจ ดังนั้นขณะที่นิ่งคิดและสังเกตเห็นว่าไม่มีสัตว์ประหลาดอยู่รอบๆ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็หายวับไปทันที
ดูเหมือนกับไม่มีอยู่ แต่ความจริงเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่โลกใต้ฝ่าเท้าของเขาได้เปลี่ยนไป ไม่ใช่คืนมืดมิด แต่ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงแล้ว
ชั่วขณะที่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็มองเห็น…ลักษณะที่แท้จริงของภูเขาไฟสำนักเหอเสียน
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ร่างกายที่อยู่ในโลกแห่งเสียงของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านทันที
นั่นมันภูเขาไฟที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่ามันคือ…โลงศพยักษ์!
โลงศพหลังนี้เป็นสีดำสนิท แต่ฝาโลงก็ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ตอนนี้มันวางอยู่ตรงนั้นและเต็มไปด้วยความมืดมนอึม ครึม ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับพลังแห่งการกลืนกิน
เมื่อมองไกลๆ ภูเขาไฟของสำนักเหิงฉินและเต๋าแห่งดนตรีก็เช่นเดียวกัน ล้วนเป็นโลงศพหินดำทั้งสิ้น
และในโลงศพนี้ก็มีดวงแสงแน่นขนัดกว่าหนึ่งแสนดวง ดวงแสงเหล่านี้บางดวงสว่างไสวอย่างยิ่ง บางดวงหม่นแสงมาก และดวงแสงทุกดวงที่นี่ก็คือผู้ฝึกตนแต่ละคนนั่นเอง
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นว่า…ในส่วนลึกของโลกศพสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉินนั้น กลับมีกลุ่มแสงมหึมาสองกลุ่มสถิตอยู่
มองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าความจริงดวงแสงในโลงศพแต่ละโลงพัวพันอยู่รอบกลุ่มแสงและเชื่อมต่อกับมันเป็นสายใยนับพันนับหมื่นสาย ราวกับกลุ่มแสงนี้คือแหล่งกำเนิดที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นรางๆ ว่าภายในกลุ่มแสงสองกลุ่มนี้คล้ายมีเงาร่างคนนั่งขัดสมาธิอยู่
“เจ้าปรารถนาเสียง…” หวังเป่าเล่อตื่นตัวอย่างยิ่ง เขานึกถึงเรื่องที่เจ้าแห่งสุขพูดเกี่ยวกับความลับของเจ้าปรารถนาเสียง
เจ้าปรารถนาเสียงนั้นมีร่างเดิมไม่สมบูรณ์ ถูกแบ่งเป็นสามร่าง ก่อเกิดเป็นร่างแยกสามร่างที่กลายมาเป็นเจ้าสำนักของสามสำนัก เหมือนว่าจะสอดคล้องกับคำพูดของเจ้าแห่งสุข พอหวังเป่าเล่อมองไปยังโลงศพของเต๋าแห่งดนตรีที่อยู่ไกลๆ เขามองเห็นเพียงดวงแสงจำนวนมากที่อยู่ในนั้นเท่านั้น แต่กลับไม่เห็นกลุ่มแสง
แต่พอดูดีๆ แล้ว เขาก็ยังสัมผัสได้รางๆ ว่าใจกลางของดวงแสงเหล่านั้นยังมีกลุ่มแสงสถิตอยู่ เพียงแต่มันสลัวมากเกินไป ดังนั้นจึงสังเกตเห็นได้ยาก
แม้แต่เงาร่างที่อยู่ในนั้นก็สลัวเลือนรางอย่างยิ่ง ราวกับลมหายใจคล้ายอ่อนแอเหลือเกิน
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่า…เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิผู้นี้ก็คือเจ้าปรารถนาเสียงที่วันนั้นปรากฏตัวขึ้นมาต่อสู้กับเจ้าปรารถนารสในเมืองปรารถนารสนั่นเอง
“เจ็ดอารมณ์ ไม่ได้โกหกข้า” หวังเป่าเล่อกำลังสังเกตการณ์อยู่ แต่จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมา เขาสังเกตเห็นว่าเงาร่างภายในแหล่งกำเนิดแสงมหึมาสองกลุ่มภายในโลงศพของสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉินนั้น คล้ายจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาถอนสายตากลับแล้วก็ถอยหลังไป ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่มีเพียงสองเต๋าและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดก็สามารถสัมผัสได้ถึงดวงจิตเทพมหาศาล มันกลับแผ่ออกมาจากภายในสำนักเหิงฉินและสำนักเหอเสียน แต่คล้ายไม่ได้มุ่งเป้ามาที่หวังเป่าเล่อ ดังนั้นการแผ่กระจายนี้จึงกวาดมองไปทั่วทั้งพื้นที่แทน
ทั้งหมดนี้พูดแล้วยืดยาว แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อที่กำลังถอยร่นอยู่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน โชคดีที่เขาตอบสนองได้รวดเร็ว สีหน้าของเขาแข็งทื่อทันทีเมื่อถึงช่วงวิกฤต ร่างกายเปลี่ยนไป กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลกแห่งเสียงที่ไม่มีคุณสมบัติแตกต่างอะไรเป็นพิเศษ
ดวงจิตเทพกวาดผ่านตัวเขาไป จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง เห็นชัดว่าเจ้าของดวงจิตเทพไม่ได้สังเกตเห็นอะไรมาก แต่ไม่นานก็มีร่างเต๋าสองร่างบินออกมาจากภายในภูเขาไฟของทั้งสองสำนัก แต่ละร่างพุ่งออกมาจากประตูสำนัก ราวกับกำลังค้นหา
ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ไกลจากสำนักเหอเสียนนัก ดังนั้นเขาจึงมองเห็นร่างของเยว่หลิงจื่อและสือหลิงจื่อทันที คนแรกขมวดคิ้วงามแล้วบินไปอีกทางไกลๆ แต่สือหลิงจื่อกลับบินพุ่งมาทางที่หวังเป่าเล่ออยู่
เมื่อเห็นหน้าตาท่าทางกวนบาทาของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็แค่นเสียงอยู่ในใจ ลอบกล่าวว่า ‘ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะโจมตีล่ะก็ จะต้องทำให้เจ้าได้เจ็บตัวแน่นอน’
เขาควบคุมความคิดที่อยากจะลงไม้ลงมือ หวังเป่าเล่อไม่สนใจสือหลิงจื่อ แต่แสร้งทำท่าทางเหมือนถูกดึงดูด แล้วเดินตามเขาอย่างมึนงงอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งความรู้สึกใจสั่นที่มาจากภายในภูเขาไฟของสองสำนักหายไป หวังเป่าเล่อลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าวันนี้จะปล่อยสือหลิงจื่อไปสักครั้ง
ดังนั้นเขาจึงถอนตัวออกจากโลกแห่งเสียง กลับสู่ค่ำคืนมืดมิด ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงกลับไปยังสำนักเหอเสียงอีกครั้งก่อนรุ่งสาง
หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในเขตภูเขาไฟอย่างตื่นตัวและระมัดระวัง หลังจากก้าวเข้าสู่ประตูสำนักแล้ว ความรู้สึกอันตรายแบบก่อนหน้านี้ก็ไม่ปรากฏขึ้นมาอีก หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจโล่งอก เขาคิดว่าเมื่อครู่ตนเองประมาทไปหน่อย
เจ้าปรารถนาเสียง ถึงอย่างไรก็เป็นร่างแปลงของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง แม้ว่าตนจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงแล้วกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด แต่เทียบกับพวกเขาแล้วก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึก รู้สึกว่าตัวเขาที่มีท่วงทำนองซ้อนทับกันถึงเจ็ดหมื่นกว่าท่อนยังอ่อนแอเกินไป
“ข้าต้องพยายามต่อไป!” หวังเป่าเล่อตั้งใจแน่วแน่ เมื่อเดินไปยังถ้ำที่พัก วงแหวนปราณที่ประตูสำนักด้านหลังก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมา ไม่นานร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใกล้ทันที
ขณะที่เขาก้าวเข้ามา ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีดังไปทั่วทุกทิศคล้ายกับปราณกระบี่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็เห็นใบหน้านิ่งขรึมของสือหลิงจื่อ ที่ตอนนี้กำลังพุ่งไปยังยอดเขา
เห็นได้ชัดว่าสือหลิงจื่อสังเกตเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อแล้ว แต่ในความคิดของเขา จะหวังเป่าเล่อก็ดี หรือศิษย์คนอื่นๆ ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นมดปลวก ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะเหลือบมอง และเลือกที่จะเมินเฉยแล้วเคลื่อนผ่านไปตรงๆ
คลื่นเสียงพุ่งสูง พัดม้วนอยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ในใจของเขายิ่งรู้สึกไม่ดีต่อสือหลิงจื่อมากขึ้น
“รอให้ข้าหาโอกาสได้ ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความเยี่ยมยอด!” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ ถอนสายตาที่มองไปยังสือหลิงจื่อแล้วกลับเข้าไปในถ้ำที่พัก นั่งขัดสมาธิ เริ่มตระหนักรู้ท่วงทำนอง ขณะเดียวกันก็รอคอยการทดสอบซึ่งกำลังจะถูกจัดขึ้นที่สามสำนักที่เจ็ดอารมณ์เอ่ยถึง
เป็นเช่นนี้ เวลาก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปแล้วเจ็ดวัน
ในช่วงเจ็ดวันนี้ หวังเป่าเล่อแทบจะไม่ได้ออกจากถ้ำที่พักเลย ท่วงทำนองของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยขณะที่อยู่ในการตระหนักรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อค้นพบว่าเมื่อผสานรวมกับกฎเกณฑ์ของสี่อารมณ์แล้ว การตระหนักรู้ของเขายิ่งเกินความจริงมากกว่าเดิม
อักขระซ้อนทับของเขาทะลวงจากเจ็ดหมื่น บรรลุถึงแปดหมื่นกว่าแล้ว
ขณะเดียวกัน การประกาศเรื่องการทดสอบก็แพร่เข้ามาในจิตใจของคนทุกคนผ่านแผ่นหยกของศิษย์แต่ละคนในวันที่แปดเช่นกัน
…………………………