ติงเซี่ยวเฉินรีบเดินมาจากหน้าแถวด้วยสีหน้าหยิ่งยโสราวกับในที่นี้ไม่มีใครเลยที่อยู่ในสายตาของเขา
แต่เมื่อเดินมาถึงเม่าซูอวี่ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็ยรอยยิ้มอันเป็นมิตรทันทีและกล่าว “ซูอวี่ ทำไมเจ้าต้องต่อแถวให้เสียเวลาด้วย? มากับข้า ข้าจะพาเจ้าไปด้านหน้าเอง”
“ติงเซี่ยวเฉิน ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อข้าห้วนๆอย่างสนิทสนม?” เม่าซูอวี่เผยท่าทางไม่สบอารมณ์ “เรียกข้าแม่นางเม่า หรือไม่ก็เม่าซูอวี่!”
ติงเซี่ยวเฉินชะงัก สีหน้าของเขาเผยถึงความรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตามองไปยังหลิงฮันและจักรพรรดินีและคำรามอย่างโมโหเพื่อระบายความอับอาย “พวกเจ้ามองอะไร?”
หลิงฮันไม่คิดจะยอมถูกสบประมาท แต่ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากตอบโต้เม่าซูอวี่ก็ยื่นมือมาขวางเขาและกล่าว “เจ้าจะไปพาลหาเรื่องคนอื่นเพื่ออะไร?”
แววตาของติงเซี่ยวเฉินมืดมน เขาจดจ้องไปยังหลิงฮันด้วยแววตาเข่นฆ่าก่อนจะเค้นเสียงเดินจากไป
“ระวังหมอนั่นไว้ให้ดี เข้าต้องวางแผนทำอะไรเจ้าแน่” เม่าซูอวี่กล่าวกับหลิงฮัน “แต่ไม่ต้องกังวล หากมีข้าอยู่หมอนั่นคงไม่กล้าทำอะไร เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น เจ้าอยู่ข้างๆข้าเอาไว้แล้วจะปลอดภัย”
นางกล่าวอย่างมั่นใจ
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ขอบคุณเจ้ามาก”
เขาตัดสินใจว่าหากได้เผชิญหน้ากับติงเซี่ยวเฉิน เขาจะสั่งสอนให้อีกฝ่ายรู้เองว่าสวรรค์และปฐพีนั้นต่างชั้นกันเพียงใด
แถวค่อยๆขยับไปด้านหน้าอย่างช้าๆ อัจฉริยะที่ปรากฏให้เห็นมีอยู่ไม่กี่คนเนื่องจากเมื่อเทียบกับขนาดของดินแดนแห่งเซียน เมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ
ในที่สุดแถวก็ขยับจนมาถึงพวกหลิงฮัน นอกจากพวกเขาสามคนสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลือใครอื่นอีก
ในสามคนจักรพรรดินีเป็นคนแรกที่เดินขึ้นหน้า
การคัดเลือกคนสมัครเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการทดสอบ คุณสมบัติของผู้ทดสอบคือต้องบรรลุระดับวารีนิรันดร์เป็นอย่างน้อย
การทดสอบแรกนั้นง่ายมาก จะมีหินก้อนหนึ่งที่ประทับรูปแบบอาคมเอาไว้ เมื่อโจมตีหินก้อนนั้นด้วยพลังทั้งหมดมันก็จะแสดงผลศักยะภาพของผู้ทดสอบออกมาโดยวัดจากพลังต่อสู้ ประสิทธิภาพของปราณก่อเกิดและทักษะบ่มเพาะ
กล่าวได้ว่าการทดสอบนี้ค่อนข้างแม่นยำพอสมควร
จักรพรรดินียกฝ่ามือขึ้นและผลักเบาๆเข้าใส่หินทดสอบ ‘ตูม’ หินทดสอบปลดปล่อยแสงสีขาวกระจ่างออกมาก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเส้นแสงสองเส้นก็ลอยออกมาจากฝั่งซ้ายขวาของหินทดสอบ
เส้นหนึ่งเป็นสีแดงและอีกเส้นหนึ่งเป็นสีม่วง เส้นสีแดงมีความสูงเพียงครึ่งหนึ่งของเส้นสีม่วงเท่านั้น
“ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูง ศักยภาพสองดาวครึ่ง!” เจ้าหน้าที่ทดสอบมองจักรพรรดินีด้วยสีหน้าตกตะลึง ในการทดสอบนี้ ศักยภาพของนางเป็นรองเพียงแค่ติงเซี่ยวเฉิน!
แม้อัจฉริยะระดับนี้ไม่ได้มีแค่จักรพรรดินีคนเดียว แต่นางจะต้องแข็งแกร่งติดสิบอันดับแรกแน่นอน
เส้นแสงสีแดงแสดงถึงระดับพลังบ่มเพาะ ส่วนเส้นแสงสีม่วงแสดงถึงศักยภาพของผู้ทดสอบ หากความสูงของเส้นแสงสีม่วงสูงกว่าเส้นสีแดงแสดงว่าผู้ทดสอบมีพลังต่อสู้ที่สูงกว่าระดับพลังบ่มเพาะ ยิ่งเส้นสีม่วงสูงกว่าเส้นสีแดงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีศักยภาพสูงเท่านั้น
ผู้ทดสอบส่วนใหญ่นั้นจะมีเส้นแสงสีแดงและม่วงที่สูงเท่ากัน ซึ่งคนเหล่านี้จะถูกคัดออกจากการสมัครเข้ากองกำลังทันที
‘แสดงศักยภาพแค่สองดาวก็พอ’ นี่คือสิ่งที่หลิงฮันกับจักรพรรดินีตกลงกันเอาไว้ เนื่องจากพวกเขาไม่อยากเป็นที่สนใจมากเกินไปและยังรู้เรื่องของดินแดนแห่งเซียนกับเมืองธุลีจันรทราเพียงน้อยนิด แต่ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีจะพลั้งมือโจมตีแรงเกินไปเล็กน้อยทำให้เผลอแสดงศักยภาพออกมาเป็นสองดาวครึ่ง
“ผ่าน หมายเลขของเจ้าคือ 5572!” เจ้าหน้าที่ทดสอบมอบแผ่นป้ายให้นาง เนื่องจากการทดสอบนี้ยังไม่ใช่การทดสอบหลักพวกเขาจึงคร้านเกินกว่าจะบันทึกชื่อของผู้เข้าทดสอบ
จักรพรรดินีรับแผ่นป้ายมาและขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรอหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มให้กับเม่าซูอวี่และกล่าว “เชิญแม่นางเม่าก่อน” ในฐานะสุภาพบุรุษ เขาสมควรยอมให้ตัวเองเป็นคนสุดท้าย
เม่าซูอวี่ไม่ปฏิเสธและก้าวเดินขึ้นหน้า หลังจากโคจรพลังชั่วครู่นางก็ปล่อยการโจมตีที่รุนแรงเข้าใส่ก้อนหินทดสอบ คลื่นแสงสีขาวถูกปลดปล่อยออกมาและหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เส้นแสงสีแดงและม่วงจะพุ่งออกมาอีกครั้ง
“ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด ศักยภาพสามดาว!” เจ้าหน้าที่ทดสอบอุทาน ในที่สุดก็มีสุดยอดอัจฉริยะเทียบเท่าติงเซี่ยวเฉินปรากฏตัว ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังเป็นสตรีที่งดงามมากอีกด้วย
แต่ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หนึ่งเป็นอัจฉริยะจากตระกูลติง ส่วนอีกคนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพสูงสุด ทั้งสองย่อมเกิดมาด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่าคนอื่น
“แม่นางเม่า หมายเลขของท่านคือ 5573” เจ้าหน้าที่ทดสอบลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพและมอบแผ่นป้ายให้เม่าซูอวี่
เมื่อรับแผ่นป้ายมาแล้วในขณะที่กำลังจะเดินจากไปจู่ๆเม่าซูอวี่ก็หยุดชะงัก นางขยับถอยหลังสองก้าวและหันไปมองหลิงฮัน
เนื่องจากหลิงฮันยอมให้นางทำการทดสอบก่อน อย่างน้อยนางก็ต้องการไว้หน้าอีกฝ่ายบ้างโดยการดูการทดสอบของเขาให้จบ ยิ่งกว่านั้นนางจะยังกล่าวไปก่อนหน้านี้ด้วยแล้วว่าหากพวกหลิงฮันอยู่ใกล้นาง นางจะรับประกันความปลอดภัยจากติงเซี่ยวเฉินให้
ในระยะที่ห่างออกไป ติงเซี่ยวเฉินกอดอกและแสยะยิ้ม
หลิงฮันที่แต่เดิมคิดจะไม่ทำตัวโดดเด่นเมื่อเห็นท่าทีของติงเซี่ยวเฉินก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาหันมองติงเซี่ยวเฉินพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหินทดสอบ
‘พรึบ’ ปราณดาบพุ่งทะยานออกไป หินทดสอบปลดปล่อยคลื่นแสงสีขาวออกมาก่อนที่เส้นแสงสีแดงและม่วงจะปรากฏให้เห็น
“ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูง ศักยภาพสามดาวครึ่ง!” เจ้าหน้าที่ทดสอบมองไปยังก้อนหินทดสอบด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเป็นบ้า
หินทดสอบพังรึเปล่า?
สามดาวครึ่ง? บ้าไปแล้ว…
“ว่าไงนะ!” ติงเซี่ยวเฉินไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้ เขารีบทะยานร่างเข้ามาใกล้และจดจ้องไปยังหินทดสอบ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
หมอนี่เหนือกว่าเขา!
การที่มีศักยภาพถึงสามดาวครึ่งหมายความว่าอย่างไร?
อัจฉริยะเช่นนี้มีคุณสมบัติจะบรรลุเป็นระดับโลกียนิพพานสี่นิพพาน!
แต่พูดก็พูดแล้ว จอมยุทธระดับนิรันดร์นั้นทั้งๆที่มีอายุขัยที่ไม่จำกัดแท้ๆ ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาหลานพันล้านปีของดินแดนแห่งเซียนก็สมควรจะมีนิรันดร์อยู่มากมาย แต่เหตุใดความจริงกลับมีจำนวนอยู่น้อยนิด นั่นเพราะสวรรค์และปฐพีของที่นี่มีสิ่งที่เรียกว่าบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ ในทุกๆหนึ่งร้อยล้านปีหากนิรันดร์ไม่แข็งแกร่งพอที่จะผ่านพ้นบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ไปได้ ต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็โอกาสสิ้นชีพ
หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพาน แม้จะมีอายุขัยไร้สิ้นสุดแต่นิรันดร์ส่วนใหญ่ก็ตกตายด้วยบาปเคราะห์แห่งสวรรค์
มีคำกล่าวว่าราชาสวรรค์เก้าระดับนั้น การจะทะลวงผ่านแต่ละระดับเป็นเรื่องยากลำบากราวกับก้าวเท้าไต่เต้าขึ้นสวรรค์