เบื้องหน้าของเงาร่างที่คล้ายจะแหลกสลาย ยามนี้เปลวเพลิงสีดำพลันลุกโชติ ก่อนจะควบรวมออกมาเป็นชิ้นส่วนตาข่ายจำนวนนับไม่ถ้วน ผนึกพวกนี้ราวกับรังผึ้งก็ไม่ปาน มีจำนวนมากมายเบียดแน่นไปหมด
และทุกๆ ชิ้นส่วนตาข่ายราวกับว่าด้านในของมันมีพื้นที่ขนาดใหญ่…และที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเงาร่างนี้ ก็เป็นเพียงแค่ขนาดย่อส่วนของมันเท่านั้น แต่หากลองพินิจอย่างละเอียด ก็สามารถมองจากเงาร่างย่อส่วนพวกนี้ได้ จะเห็นว่าในชิ้นส่วนตาข่ายเล็กๆ หนึ่งชิ้น ทุกชิ้นนั้นมีผู้ฝึกตนของสามสำนักอยู่สองคน
การทดสอบครั้งนี้ คือการต่อสู้ในพื้นที่จำกัด!
ยามที่เงาร่างใกล้จะแหลกสลายกำลังจับจ้องภายในชิ้นส่วนตาข่ายนับไม่ถ้วนอยู่นี้เอง ในตอนนั้นภายในชิ้นส่วนตาข่ายชิ้นหนึ่ง พลันปรากฏร่างของหวังเป่าเล่อ
และในตอนที่โผล่ออกมานั้น หวังเป่าเล่อก็ปล่อยกระแสจิต เขามองไปรอบด้าน ก่อนที่นัยน์ตาจะทอประกายวาบ วิธีการทดสอบครั้งนี้ เขาไม่ทราบมาก่อนเลย ยามนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ดี แต่หลังจากเห็นภาพทุกสิ่งรอบๆ แล้วทั้งหมด ในใจหวังเป่าเล่อก็ได้คำตอบ
“นี่คือเวทีประลองแบบไม่ยึดติดกับผืนดิน?” ในใจหวังเป่าเล่อคิด สถานที่ที่เขาอยู่นี้ เป็นเทือกเขาแห่งหนึ่ง มองไปแล้วยิ่งใหญ่มาก ทว่าในความจริงก็มีขนาดประมาณเมืองปรารถนาเสียง
สำหรับคนทั่วไป มันอาจจะไพศาลกว้างใหญ่ แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เขาอยากไปที่ไหนก็ย่อมไปได้ในทันที
เมื่อมองอาณาเขตแห่งนี้ นี่คงไม่ใช่การตะลุมบอนกัน ดังนั้นแล้วคงจะเป็นการประลองเดี่ยวเท่านั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงให้แลกเปลี่ยนฝีมือไปทีละรอบ สุดท้ายแล้วก็จะได้ที่หนึ่ง…” หวังเป่าเล่อสามารถจินตนาการได้ สถานที่ประลองแบบที่ตนอยู่คงจะมีจำนวนมากมาย และทุกๆ ที่ล้วนมีการประลอง
“เวทีประลองเยอะขนาดนี้ คงจับเอาทั้งคนเก่งไม่เก่งมาผสม ไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คนแรกของข้า จะเป็นผู้ใด…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาพลันขยับร่างหายไปจากตรงนั้น แล้วกลายเป็นท่วงทำนองเพลงบทหนึ่ง จากนั้นเคลื่อนกายด้วยความรวดเร็วผ่านเทือกเขา
ยอดเขาของสถานที่แห่งนี้มีอยู่สี่แห่ง แต่ว่าระหว่างยอดเขาทั้งหลายมีป่าทึบอยู่ผืนหนึ่ง และในป่าทึบผืนนี้ มีเสียงแผดคำรามดังลอดมา ทำให้ใบไม้จำนวนมากสั่นไหว เกิดเสียงซู่ซ่าขึ้นทันที
และท่ามกลางเสียงซู่ซ่านี้เอง แท้จริงแล้วมันกำลังดังประสานกับท่วงทำนองเพลงอันยากจะแยกแยะและยากจะสังเกตพบได้บทหนึ่ง แม้มองแล้วป่านี้จะปกติ แต่แท้จริงนั้นการสั่นไหวของใบไม้ทั้งหมดล้วนสอดประสานไปกับเสียงหนักเบาแห่งดนตรีเพลิง
“โชคไม่เลวจริงๆ ศึกครั้งแรก ที่แท้ก็มอบสถานที่ที่เหมาะสมขนาดนี้ให้ข้า…” ท่ามกลางเสียงพัดหมุนซู่ซ่า มีเงาร่างซึ่งคนนอกมองไม่เห็น กำลังทะยานผ่านแมกไม้ไปสอดประสานกับช่วงเสียงทั้งหลาย
คนผู้นี้มาจากเต๋าแห่งจังหวะดนตรี เป็นผู้ฝึกตนอาวุโสกว่าอีกรุ่นหนึ่ง เขาไม่อ่อนด้อยและกักตัวฝึกตนมายาวนาน ย่อมแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แท้จริงแล้ว ผู้ฝึกตนเช่นเขามีประสบการณ์เข้าทดสอบมาหลายครั้งนัก
“ปิดตัวมาหลายปี ยามนี้เต๋าดนตรีของข้าพัฒนายิ่งใหญ่ นี่เป็นโอกาสรับศิษย์ของเจ้าปรารถนาเสียงอีกด้วย เรื่องราวทั้งหลายมองไปแล้วก็เหมือนเดิม แต่แท้จริง นี่คือสัญญาณของโอกาสในการบ่มเพาะโชคชะตาของข้าชัดๆ”
“ในครั้งนี้ ข้าจะต้องรุ่งโรจน์ และทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง!” เสียงพึมพำนั้น สอดประสานเข้ากับเสียงซู่ๆ แฝงไปด้วยความกระตือรือร้น และในเวลาเดียวกัน เงาร่างที่คนมองไม่เห็นก็ยิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้ ก็แค่รออีกฝ่ายมาถึง”
“เมื่อเขาเหยียบเข้าป่าแห่งนี้ ต้องพ่ายแพ้แน่นอน อีกอย่างเสียงแห่งดนตรีของข้า แทบไม่มีทางถูกพบในที่แห่งนี้ได้”
หลังจากความเร็วเพิ่มขึ้น ใบไม้ทั้งหลายก็สั่นไหวหนักกว่าเก่า ส่วนลมนั้นเหมือนจะตีแรงขึ้น
เพียงแต่ว่า…ต่อให้ความเร็วของคนผู้นี้จะเพิ่มขึ้นแค่ไหน ลมของที่นี่ก็พัดกระหน่ำคลั่งกว่าเท่านั้น และเสียงซ่าๆ ก็ดูเหมือนว่ายิ่งนานเข้าก็ยิ่งสั่นสะท้านวิญญาณ
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่พบเงาร่างของผู้ประลองเลย
เพราะว่า…หวังเป่าเล่อในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในป่า บทเพลงท่วงทำนองจากร่างของเขา ยามนี้ล่องลอยอยู่บนเทือกเขาใกล้ๆ เป็นเวลาครู่ใหญ่แล้ว เงาร่างที่ซ่อนตัวอยู่ในท่วงทำนอง กำลังสำรวจป่าด้านล่างอย่างสนใจ
“ผู้คนมักกล่าวว่าการฝึกเต๋าแห่งเสียงนั้น ก็คือเสียงของหมื่นสรรพสิ่ง ตอนนี้กลับได้พบว่า ถึงกับมีคนสามารถฝึกเสียงใบไม้สั่นไหวออกมาได้ด้วย…” หวังเป่าเล่อสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ปรากฏตัวตั้งแต่แรก แต่ยืนรอฟังอยู่ตรงนี้ครึ่งได้เค่อแล้ว
ในส่วนเงาร่างของผู้ฝึกเต๋าแห่งเสียงรายนั้น แม้ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็น แต่ตัวตนของหวังเป่าเล่อนี้ประหลาดเร้นลับอยู่แล้ว เกรงว่าอาจเพราะการกลายร่างอันประหลาดพิสดาร ทำให้ยามนี้เมื่อเขามองกลับไปจึงเห็นได้ชัดเจนถึงเงาร่างที่แหวกผ่านแมกไม้ขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อีกฝ่ายจะหลอมรวมตัวเองไปกับท่วงทำนอง แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ นี่กลับเห็นได้ชัดเจนยิ่ง
ราวหนึ่งก้านธูปให้หลัง หวังเป่าเล่อคล้ายจะฟังจนพอใจแล้ว เขากำลังจะก้าวไปหา ทว่าในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ต้องส่งเสียงประหลาดใจแวบหนึ่งออกมา เพราะสัมผัสได้ว่าอักขระที่อยู่ในกาย เวลานี้ได้เพิ่มขึ้นมาหลายสิบตัว
“นี่ก็เป็นไปได้หรือ?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา แม้จะยังคงก้าวไปหา แต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้มากเกินไปนัก เขาหยุดอยู่นอกชายป่า และแล้วภายในใจของเขาก็เกิดความยินดีทันที
เพราะว่า ระยะห่างขนาดนี้ เขาพบว่าอักขระภายในกายของตนกลับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเก่า และทะยานความเร็วขึ้นทุกที ราวกับว่าในทุกห้วงหายใจหนึ่ง จะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
จังหวะประมาณนี้ แทบจะไม่แตกต่างกับตอนที่เขาบรรลุปลาดนตรีครามเลย
ดังนั้นท่ามกลางความยินดี หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือในทันที แต่กลับตั้งใจฟัง สัมผัสถึงอักขระ ในเวลานั้นหนึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีผู้นี้ เริ่มหมดความอดทนเต็มทีแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเขารวบรวมเสียงจากภายในป่าอยู่ ยามนี้เขาแทบจะบ้าแล้ว เขาแค่นเสียงเหอะเย็นชาออกมาคำหนึ่ง
“ดูท่าแล้วจะซ่อนตัวไม่ยอมออกมา แต่…จะมีประโยชน์อะไร!” ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งดนตรีเหยียดหยาม หากอีกฝ่ายออกมาแต่แรกแล้วกัน ทว่ากลับเปิดโอกาสให้เขาเตรียมตัวขนาดนี้ เช่นนั้นต่อให้หลบซ่อน เขาก็มั่นใจว่าจะหาอีกฝ่ายพบ
เมื่อคิดได้ ลมพายุแห่งท่วงทำนองดนตรีที่หมุนรวมกันอยู่ในป่าก็ทวีความบ้าคลั่งมากขึ้น ทันใดนั้นมันกระจายออกราวกับคลื่นยักษ์ไม่ปาน พัดจากใจกลางของป่าพุ่งขยายไปรอบด้านทั้งสี่ทิศอย่างช้าๆ ทว่ารุนแรง ในชั่วอึดใจถัดมา ก็ครอบคลุมทั้งสนามประลองนี้เอาไว้แล้ว
“ให้ข้าดูสักหน่อย ว่าเจ้าแอบอยู่ที่ใด!” ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นฉีกยิ้มบ้าคลั่งพลางส่งกระแสจิตแห่งดนตรีครอบคลุมขยายไปทั่วทั้งสนามประลอง ทว่าในพริบตาถัดมา สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสงสัย
เพราะว่า…ในขอบเขตท่วงทำนองของเขา กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติเลย คู่ต่อสู้ของตนเอง เหมือนว่าไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มัน…” ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นอดสงสัยไม่ได้ หลังจากสำรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ยังไม่ได้รับผลอะไร นี่ทำให้ในใจเขาเกิดการคาดเดานานา
“หรือว่าซ่อนตัวอยู่ลึกมาก? หรือว่า…ข้าไม่มีคู่ต่อสู้ที่นี่?” เขาค้นหาไปทั่ว ค้นหาอย่างละเอียดเนิ่นนาน หากแต่ขณะที่คิดสงสัยเช่นนี้ ก็ยังไม่พบอะไร หลังจากไม่พบอันตรายอะไรแม้เพียงนิด ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีท่านนี้ แม้จะรู้สึกว่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง ก็ยังอดแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาไม่ได้
“หรือว่าข้าถูกส่งมาพื้นที่ว่างจริง? ดันไม่มีศัตรูอยู่ที่นี่?” เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้พัดโบกลมแห่งท่วงทำนองของตนเอง มันแผ่วเบาลงกว่าเดิมมาก เสียงซู่ซ่าของใบไม้ค่อยๆ เริ่มลดลง
นี่สำหรับเขาแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปซึ่งผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดราวกับมองไม่เห็นนั้น การที่เสียงซู่ซ่าลดลงหมายถึงว่าสัมผัสลดต่ำลงไปด้วย
“เฮ้อ สหายเต๋าผู้นี้ อีกนิดเดียวข้าก็จะสมบูรณ์แล้ว เจ้าช่วยวิ่งอีกสักรอบได้ไหม?” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีเหตุผล ดังนั้นแม้ในใจจะไม่พอใจเท่าไร แต่ก็แค่กระแอมไอครั้งหนึ่งออกมา พยายามปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
“ใคร!!!”
อีกฝ่ายคล้ายกับว่าหนังศีรษะชาวาบในพริบตาน สีหน้าเขาเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ พลันหันกายมองไปยังด้านหนึ่ง แต่กลับไม่พบสิ่งใด ทว่าเมื่อครู่เสียงกระแอมไอและคำพูดเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างได้ก่อคลื่นยักษ์ซัดโหมในใจเขาแล้ว
………………………………………..