ณ มุมหนึ่งในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย ฉินเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิและหลับตาสนิทในขณะที่สติรับรู้ถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์
หากมิใช่เพราะกำลังหายใจอยู่ เกรงว่าผู้ที่เข้ามาพบเห็นคงคิดไปว่าเขาเป็นเพียงศพไร้วิญญาณอย่างแน่นอน
ในระยะรัศมีสามสิบลี้จากตัวเขาก็มีม่านพลังบางอย่างที่ปรากฏอยู่ซึ่งมีสายฟ้าสว่างวาบตลอดเวลาจนเป็นภาพที่ดูน่าหวาดหวั่นและทำให้ผู้คนไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้
ภายในวงล้อมของม่านพลังดังกล่าวมีเส้นสายฟ้าที่ฟาดเข้าที่ร่างของฉินเฟิงเป็นระยะ ๆ สายฟ้าเหล่านั้นอัดแน่นไปด้วยพลังรุนแรงราวกับต้องการแผดเผาให้เขากลายเป็นเถ้าถ่าน
อย่างไรก็ตาม สายฟ้าที่ดูรุนแรงเหล่านั้นกลับไม่สามารถทำให้ร่างของฉินเฟิงบาดเจ็บหรือมีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยโดยที่ตัวเขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
ฉินอวี้โม่ที่ก้าวเข้ามาในดินแดนต้องห้ามก็เห็นภาพนี้ปรากฏตรงหน้าพอดิบพอดี
ในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยไม่มีอันตรายอื่นใดและไม่มีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันอยู่ พื้นที่ภายในไม่กว้างขวางมากนักและสามารถมองเห็นสถานการณ์โดยรวมได้อย่างชัดเจนเมื่อเหาะขึ้นสูงกลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าตระกูลเยี่ยไม่กังวลว่าโอกาสและสมบัติภายในดินแดนต้องห้ามจะถูกผู้อื่นฉกฉวยเอาไป เพราะนอกเหนือจากทายาทสายตรงผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลเยี่ยก็ไม่มีผู้ใดที่จะมีสิทธิ์ได้รับมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ ?”
นางหยุดลงตรงหน้าม่านพลังซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฉินเฟิงและเอ่ยเรียกออกไปเบา ๆ
แต่ทว่า…ฉินเฟิงผู้ซึ่งอยู่ภายในวงล้อมของม่านพลังกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกจากนางแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ก็ลองเข้าไปสำรวจดูอย่างใกล้ชิดมากขึ้นและพบว่าใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มบาง ราวกับกำลังดื่มด่ำกับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขาสุขใจอย่างที่สุด
หลังจากเอ่ยเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่ายังไม่มีการตอบสนองใด ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วมุ่นและเอื้อมมือออกไปแตะม่านพลังตรงหน้า
ทันทีที่มือของนางสัมผัสลงบนม่านพลัง คลื่นพลังรุนแรงบางอย่างก็พุ่งเข้าใส่ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
นางตอบสนองด้วยการดึงมือของตนกลับมาทันทีและถอยหลังออกห่างจากม่านพลังเพื่อหลบหลีกจากพลังประหลาดดังกล่าว
อึดใจต่อมา เส้นสายฟ้าก็พุ่งผ่านใบหน้าของนางไปอย่างฉิวเฉียดจนทำให้รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม หากเส้นสายฟ้านั้นฟาดเข้าที่ตน ฉินอวี้โม่ก็ตระหนักดีว่าต่อให้จะไม่ตาย นางก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่
“ศิษย์พี่ติดอยู่ในภวังค์ภาพลวงตางั้นรึ ?”
ข้อสันนิษฐานหนึ่งผุดขึ้นในหัวใจของนางทันทีและเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่นเมื่อซิวปรากฏตัวข้างกาย
ซิวพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวขึ้นมา “เขาคงจะได้รับมรดกจากบรรพบุรุษแล้วและเกิดเหตุบางอย่างระหว่างกระบวนการทะลวงพลัง เขาจึงติดอยู่ในภวังค์ภาพลวงตาเช่นนี้ หากฝ่าทะลวงออกมาจากภาพลวงตาได้สำเร็จ เขาจึงจะสืบทอดมรดกได้โดยสมบูรณ์ ทว่าหากทำไม่ได้…เขาก็จะต้องติดอยู่ที่นี่ไปจนกระทั่งหมดลมหายใจ”
น้ำเสียงของซิวฟังดูหนักอึ้งอย่างชัดเจนและแสดงให้เห็นว่าภวังค์ภาพลวงตาที่ฉินเฟิงตกเข้าไปในตอนนี้มิใช่สิ่งที่จะทำลายได้ง่าย ๆ มิฉะนั้น ด้วยจิตใจที่แกร่งกล้าของเขา ไม่มีทางที่เขาจะติดอยู่ในภวังค์ภาพลวงตาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้
“ม่านพลังรอบ ๆ ก็ทรงอำนาจยิ่งนักและเราเข้าไปใกล้เกินกว่านี้ไม่ได้ เราทำได้เพียงรออยู่ที่นี่หรือพยายามเรียกสติให้เขารู้ตัว เขาอาจจะได้ยินเสียงของเรา เพียงแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะความจริงและภาพลวงตาออกจากกัน”
ซิวกล่าวอีกครั้งและทราบว่าสิ่งเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้คือหาทางเรียกสติให้ฉินเฟิงฟื้นกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ง่ายนัก
“ศิษย์พี่ ข้าคือเสี่ยวโม่เอ๋อร์และข้ามาที่นี่เพื่อตามท่านกลับไป ตอนนี้ท่านติดอยู่ในภวังค์ภาพลวงตา หากได้ยินเสียงของข้า ท่านต้องตื่นขึ้นมาโดยเร็วที่สุด ตอนนี้ตระกูลเยี่ยเผชิญกับวิกฤตแล้ว พี่สะใภ้ก็ถูกคนตระกูลหมิงจับตัวไปและสถานการณ์ถือว่าเลวร้ายมาก หากท่านไม่ตื่นขึ้นมาโดยเร็ว เกรงว่านางอาจตกอยู่ในอันตรายได้ !”
ฉินอวี้โม่เข้าใจดีว่าควรทำอย่างไร นางจึงกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามสื่อสารกับฉินเฟิง
“ศิษย์พี่ ท่านและพี่เหยียนยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินอย่างเป็นทางการและในที่สุดตอนนี้ท่านก็กลับมาที่ตระกูลเยี่ยแล้ว ท่านคงไม่อยากเห็นตระกูลต้องถูกทำลายไป ท่านผู้นำเองก็เมตตากับท่านมากและท่านคงไม่อยากเห็นเขาตายไปเช่นนี้ อีกอย่าง…ข้าทราบแล้วว่าขุมกำลังใดที่ทำร้ายบิดามารดาของท่านในอดีตและพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนเดียวกันกับที่จับตัวพี่สะใภ้ไป ต่อให้ท่านไม่อยากล้างแค้นให้ท่านลุงท่านป้า ท่านก็ควรจะพิจารณาถึงความปลอดภัยของพี่เหยียน…”
…..
เสียงของฉินอวี้โม่แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณฉินเฟิงทีละน้อย ทว่าเขายังไม่มีการตอบสนองใด
ในเวลานี้ ฉินเฟิงกำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ถูกวาดขึ้นมาโดยพลังประหลาดบางอย่าง
ภายในความฝันดังกล่าว วิกฤตของตระกูลเยี่ยได้รับการคลี่คลายแล้วในขณะที่เยี่ยชางไห่ฟื้นคืนเป็นปกติและไม่เสียชีวิตไป สิ่งสำคัญคือเขาได้พบฉินเหยียนและทั้งสองตบแต่งครองรักกันจนมีทายาทกำเนิดมา
ตัวเขาก็ได้เปลี่ยนกลับเป็นชื่อ ‘เยี่ยเฟิง’ ดั้งเดิมของตนอย่างเป็นทางการและกลายเป็นผู้นำตระกูลเยี่ยคนใหม่…ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นดำเนินไปทิศทางที่ดีและราบรื่นอย่างมาก
มันเป็นความฝันที่เหมือนจริงเสียจนฉินเฟิงแยกแยะระหว่างความจริงและภาพลวงตาไม่ได้เลย
จนกระทั่งเสียงของฉินอวี้โม่ค่อย ๆ แทรกซึมดังเข้ามาในห้วงจิตที่ทำให้เขาเริ่มเกิดความสงสัยในความฝันของตนเป็นครั้งแรก
“พี่เฟิง มีอะไรรึ ?”
ในความฝัน เวลานี้ฉินเหยียนกำลังเอนกายพิงอ้อมแขนของ ‘เยี่ยเฟิง’ และดูจะสัมผัสได้ถึงความแปลกใจของเขา นางแตะใบหน้าของบุรุษคนรักและเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“เหยียนเอ๋อร์ ข้า…”
ฉินเฟิงลังเลเล็กน้อยและยังคงรู้สึกว่าฉินเหยียนตรงหน้าคือความจริง อย่างไรก็ตาม เสียงที่ดังขึ้นในความคิดทำให้เขาไม่มั่นใจในความเชื่อนั้นอีกต่อไป
แม้อยู่ในห้วงแห่งความฝัน เขาก็รับรู้ถึงเสียงของฉินอวี้โม่ได้อย่างชัดเจนและทราบดีว่าศิษย์น้องผู้นั้นกำลังสื่อสารกับตน และเขาทราบดีว่านางไม่มีทางโกหกตนอย่างแน่นอน…
“ศิษย์พี่ ตอนนี้เราไม่ทราบถึงสถานการณ์ของพี่สะใภ้เลย ทว่านางอยู่ในกำมือของขุมกำลังที่ปองร้ายต่อบิดามารดาของท่าน เพียงเท่านี้ท่านก็คงจะคาดเดาได้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์ใด หากท่านไม่ออกมา เกรงว่าความแข็งแกร่งของข้าและคนตระกูลเยี่ยเพียงลำพังคงไม่สามารถช่วยพี่เหยียนได้ นางมาที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้พร้อมกับเยี่ยซาเพื่อที่จะตามหาท่าน ท่านจะไม่สนใจไยดีเช่นนี้จริง ๆ รึเจ้าคะ ?”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นในความคิดของฉินเฟิงอีกครั้งและทำให้เขาเรียกสติกลับคืนมาในที่สุด
“อ๊ากก !”
ทันใดนั้น ด้วยเสียงคำรามที่ดังขึ้นมา ฉินเหยียนตรงหน้าเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ด้านนอกม่านพลังก็รับรู้ได้ทันทีว่าฉินเฟิงเริ่มได้สติขึ้นมาแล้วและทราบดีว่าวาจาของตนได้ผล จากนั้นเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ ท่านลืมไปแล้วรึว่าท่านให้คำมั่นกับพี่สะใภ้ไว้อย่างไร ? นางกำลังรอท่านอยู่นะเจ้าคะ รีบตื่นขึ้นมาเถอะ !”
คนที่มีความรักลึกซึ้งต่อกันย่อมมีอิทธิพลต่อกันได้มากที่สุด ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยนึกสงสัยในความสัมพันธ์และความรู้สึกระหว่างฉินเฟิงและฉินเหยียนแม้แต่น้อย
ทั้งสองตกหลุมรักซึ่งกันและกันและต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามมากมายกว่าที่จะมาถึงปัจจุบันนี้ได้ ความรู้สึกที่ทั้งสองมีต่อกันไม่ได้ด้อยไปกว่านางและหานโม่ฉืออย่างแน่นอน ฉินอวี้โม่ทำถูกแล้วที่พยายามกล่าวถึงฉินเหยียนอย่างไม่หยุดหย่อน มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะเรียกสติของฉินเฟิงกลับคืนมาได้และนำไปสู่การล่มสลายของภวังค์ภาพลวงตาในที่สุด
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์…”
ฉินเฟิงยังไม่ลืมตาทว่าเอ่ยปากเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
เขาติดอยู่ในภวังค์ภาพลวงตานี้มานานกว่าสองปีและอยู่ในความฝันอันสวยงามมาตลอดจนแทบลืมเลือนเกี่ยวกับโลกภายนอกและภารกิจที่ได้รับ
หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่เข้ามาปลุกเขาด้วยตัวเอง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขาจะต้องใช้เวลานานเพียงใดก่อนที่จะตื่นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
“ศิษย์พี่ ในที่สุดท่านก็ได้สติขึ้นมาเสียที !”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินเสียงของฉินเฟิง เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย นางก็เตือนเขาอีกครั้ง “ตอนนี้อย่าเพิ่งกล่าวอะไรเลยเจ้าค่ะ ปรับสภาวะพลังของท่านให้เสถียรคงที่เสียก่อน ท่านรับมรดกจากบรรพบุรุษไปและตอนนี้พลังในร่างกายของท่านยังคงปั่นป่วนอยู่ ข้าจะอยู่คุ้มกันอยู่ตรงนี้และหลังจากท่านทะลวงพลังเสร็จสมบูรณ์ ม่านพลังที่ถูกสร้างขึ้นนี้ก็จะถูกทำลายไปโดยปริยาย”
ในเมื่อเขาเรียกสติกลับมาจากความฝันได้แล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น เมื่อฉินเฟิงปรับพลังงานที่ปั่นป่วนภายในร่างกายและทะลวงพลังได้สำเร็จ เขาก็จะสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยได้โดยสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้น ความแข็งแกร่งของเขาจะบรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน
“ขอบคุณมาก”
ฉินเฟิงกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่เบา ๆ และไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก เขาเพียงจดจ่อกับพลังในร่างกายและเริ่มการทะลวงพลังต่อไป