ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 912 บุคคลที่พันปียากพบพาน!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บนแกนร่างของเยี่ยนจ้าวเกอมีแสงห้าสีกะพริบ มาจากอวัยวะภายในทั้งห้า แปลงเป็นเทพห้าองค์

ห้าปัญจธาตุโคจร สร้างพลังชีวิตไร้สิ้นสุด

มันทำให้พลังป้องกันของกายเนื้อและความสามารถในการฟื้นฟูของเขาเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง คล้ายกับกลายเป็นรอยตราพลิกนภาร่างมนุษย์ กระแทกใส่ศีรษะของซ่างจวินอย่างหักโหม

เดิมทีขวานย้อนเอกภพ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงในมือซ่างจวินเป็นอาวุธโจมตี แต่ตอนนี้ถูกกดดันจนได้แต่ต้องใช้มันป้องกัน

ขณะที่สู้ เยี่ยนจ้าวเกอก็พึมพำไปด้วย “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่หลอมเซ่นออกมากลับมีคุณสมบัติไม่เลวทีเดียว”

เขาผลักฝ่ามือขึ้นไป เกือบกระแทกขวานหยกขาวของซ่างจวินจนหลุดมือ

“แต่ว่านอกจากพลังของผู้เป็นนายจะมีจำกัดแล้ว ยังใช้ประโยชน์ของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบหรือ?”

“แม้ว่าจะแสดงอานุภาพของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แต่ไม่อาจช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ระหว่างทั้งสองเหมือนมีเส้นด้ายกั้นอยู่”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มขึ้นอย่างเข้าใจ “สำเร็จเพราะแสงวิเศษ แพ้ก็เพราะแสงวิเศษ”

ในมือเขามีของสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา มันมีลักษณะเป็นก้อนยาว คล้ายกับกระบี่สั้น แต่ว่าไม่มีคมกระบี่และปลายกระบี่

ที่ปลายถูกลับจนเรียบ ราวกับถูกหักทิ้ง แต่ว่าบนผิวตรงปลายที่หักมีลวดลายสลักอยู่

เป็นตรากระบี่กาลเวลา

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอตบฝ่ามือออกสะกดซ่างจวินไว้ เขาก็ทิ่มตรากระบี่กาลเวลาใส่ขวานย้อนเอกภพเล่มนั้น

เมื่อถูกรอยตราของตรากระบี่กาลเวลาประทับใส่ แสงสว่างของขวานย้อนเอกภพก็พลันริบหรี่ลงไปมาก

คมขวานที่มีลักษณะเหมือนหยกขาว บัดนี้คล้ายกับถูกคลุมด้วยฝุ่นชั้นหนึ่ง สูญเสียแสงสีไป

ต่อจากนั้นก็เป็นอีกหนึ่งฝ่ามือ ซ่างจวินต้านทานไม่ไหว ง่ามนิ้วฉีกขาด ขวานยักษ์หยกขาวถูกกระแทกหลุดจากมือ กระเด็นออกไป

เยี่ยนจ้าวเกอมองซ่างจวิน ขณะเดียวกันนั้นส่ายหน้าเล็กน้อย “ตอนเห็นหยางชงข้ายังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก อีกทั้งยังฝึกฝนมาหลายปี หรือเขาจะไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าพลังฝึกปรือของตัวเองมีปัญหามากเพียงใด”

“ตอนนี้พอเห็นท่านที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่า ข้าก็ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้ว”

“แสงศรัทธาในร่างของพวกท่าน ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการหลอมปราณฝึกยุทธ์ของพวกท่านเท่านั้น ในขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบต่อแนวคิดและจิตใจของพวกท่านโดยไม่ให้รู้ตัวอีกด้วย”

“ทุกอย่างจะค่อยๆ สลักในส่วนลึกของวิญญาณ กลายเป็นสัญชาตญาณและความคิดที่เคยชินจนเป็นปกติ ไม่เกิดความกังขาและปฏิเสธ”

ชายหนุ่มแตะนิ้วกับริมฝีปาก “กระนั้นยิ่งเข้าใกล้มหามรรคาเท่าไรก็ยิ่งเข้าใกล้ความจริงเท่านั้น ตามเหตุผลแล้ว เมื่อพลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่ง สมควรสัมผัสได้ไม่ใช่หรือ แต่ว่าระดับของท่านในตอนนี้ดูเหมือนจะยังสัมผัสไม่ได้”

“เช่นนั้นจะต้องมีระดับสูงถึงขนาดไหน จึงจะรู้สึกได้ถึงปัญหา”

เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจซ่างจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า พลันทำให้ซ่างจวินมีสีหน้าเขียวคล้ำ “มารเต๋านอกรีต มาตรแม้ว่าจะทำตัวโอหังได้ชั่วขณะ แต่หลายปีหลังจากนี้เจ้าจะมีสภาพเป็นอย่างไร”

เขาสืบเท้า ก้าวเท้าสิบสองก้าว มิติเกิดระลอกคลื่น คนถอยไปด้านหลัง คล้ายกับขี่เมฆ

หัตถ์ค้ำดินคว่ำพิรุณของสำนักเมฆเลือนดาว แม้ตั้งชื่อว่า ‘หัตถ์’ ความจริงเป็นวิชาฝ่ามือและท่าร่าง

การสืบเท้าสิบสองก้าวติดต่อกันแทบจะมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายมิติ

ซ่างจวินกลับไม่กล้าสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอต่ออีก คิดจะหนีไป

ไกลออกไป โถงเซียนของเขามียอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ ขั้นประมุขในหมู่คนอยู่

ขอแค่เขาหนีรอดไปได้ ก็จะปลอดภัยทันที

แต่เยี่ยนจ้าวเกอไหนเลยจะปล่อยให้เขาไป

มือซ้ายของชายหนุ่มกำเป็นมุทรากระบี่ มือขวาทิ่มตรากระบี่กาลเวลาออกไปเฉียงๆ

เขารวมเป็นหนึ่งกับประกายกระบี่ คล้ายกับแปลงร่างกลายเป็นกระแสเวลา ติดตามซ่างจวินไปอย่างรวดเร็ว

กาลเวลาเคลื่อนคล้อยไม่หยุดพัก ความเร็วของเวลาในมิติที่อยู่รอบเยี่ยนจ้าวเกอราวกับจู่ๆ ก็สูงขึ้น

ความเร็วของเขามองไปเหมือนกับเร็วขึ้นขั้นหนึ่งอย่างฉับพลัน ระยะห่างที่จำเป็นต้องใช้เวลาหลายอึดใจถึงจะไปถึงสำหรับซ่างจวิน เยี่ยนจ้าวเกอกลับรุดไปถึงในชั่วอึดใจเดียว

ซ่างจวินถูกกดดันจนลนลาน บิดกายมาฟันฝ่ามือใส่เยี่ยนจ้าวเกอ

ประกายกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอสลายไป หลบรอดสภาวะฝ่ามือของซ่างจวิน

เขาต่อยหมัดออก แสงและความมืดตัดสลับ ความโกลาหลปรากฏขึ้น

วินาทีถัดมา ความโกลาหลหายไป แสงและความมืดเกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง

ความมืดไร้ขอบเขตถอยกลับ กลายเป็นแสงสว่างหมดสิ้น

ด้านในแสงสว่าง กงจักรสวรรค์สิบสองชิ้นหมุนวนอยู่กลางอากาศ ราวกับเทพแห่งแสงสิบสององค์ส่องสว่างความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด

ต่อจากนั้น แสงสว่างก็แหลกสลาย ทวิลักษณ์สูญหาย เอกภพถูกทำลาย!

วิชาหมัดบดขยี้แสงสว่างที่แฝงความน่าอัศจรรย์ของคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต พุ่งใส่ทรวงอกของซ่างจวินอย่างดุดัน!

ลวดลายอาคมที่กะพริบแสงสิบสายทั่วร่างซ่างจวินหมุนวนพร้อมกัน ญาณจริงแท้ทั้งหมดทำหน้าที่คุ้มกัน

ในเสียงระเบิด ลวดลายอาคมทั้งสิบสายแหลกสลายหมดสิ้น ซ่างจวินกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอมือไม่หยุดลง กำปั้นที่หยุดอยู่หน้าทรวงอกของซ่างจวิน ออกแรงขึ้นอีกครั้ง!

วินาทีถัดมา ทรวงอกของซ่างจวินถูกเยี่ยนจ้าวเกอต่อยทะลุ!

ซ่างจวินเบิกตาค้างจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ ตายตาไม่หลับ

ในวินาทีนี้ ซ่างจวินที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความหยิ่งทะนงต่อเต๋าของตัวเอง เกิดความสงสัยจำนวนหนึ่งขึ้นมา

ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนอย่างเขา กลับตายด้วยน้ำมือของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงคนหนึ่งหรือ

ฟู่ถิงมองดูอยู่ด้านข้าง พลันกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านไม่ต้องคับแค้นใจเช่นนี้ ในผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ของเต๋าสายหลักของพวกเรา คนที่เหมือนกับเขาเกรงว่าต่อให้ผ่านไปพันปีก็ยากจะปรากฏขึ้นสักคน”

เดิมทีนางคิดจะร่วมมือกับเยี่ยนจ้าวเกอเพื่อโจมตี

นางเคยประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นเวลาสั้นๆ จึงพอจะคาดเดาความตื้นลึกหนาบางในพลังของเยี่ยนจ้าวเกได้บ้าง เปนเหตุให้นางไม่เป็นกังวลว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะสู้ซ่างจวินไม่ได้

แต่ว่าจะเอาชนะศัตรูได้หรือไม่ จะสังหารศัตรูได้หรือไม่ มีความยากแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แม้ว่าจะเป็นผู้สืบทอดของโถงเซียน หากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดสักคนไม่คิดจะสู้ตาย แต่ต้องการหนีเอาชีวิตรอด อย่างน้อยฟู่ถิงก็ไม่มั่นใจว่าจะหยุดอีกฝ่ายไว้ได้

แต่ว่าเมื่อดูการต่อสู้ทั้งหมดแล้ว ฟู่ถิงก็ติดอยู่ในภวังค์

ที่แล้วมานางเป็นสตรีอัจฉริยะ เติบโตขึ้นบนสถานที่อย่างโลกซ้อนโลก ตั้งแต่ฝึกฝนมาถึงวันนี้ ไม่เคยพ่ายแพ้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน หรือคู่ต่อสู้ที่มีอายุเท่ากันมาก่อน

อัจฉริยะในอัจฉริยะอย่างโอรสหงส์จวงเจาฮุย ถ้าหากยามนี้ยังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ฟู่ถิงที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้ายังไม่กลัวเขา

ถึงจะเป็นจักรพรรดิแพรงาม บิดาของฟู่ถิงที่ได้ก้าวข้ามการขวางกั้นระหว่างมนุษย์และเซียน เมื่อครั้งยังเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ จะเอาชนะนางโดยอยู่ในระดับเดียวกันได้หรือไม่ ก็ยังไม่อาจทราบ

ฟู่ถิงที่เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ วันนี้รู้สึกได้ถึงความกระทบกระเทือนอย่างแท้จริง

นางไม่ใช่คนใจร้อนไม่รู้จักเหตุผล คนที่สามารถเทียบเคียงนางได้ก็ไม่ใช่ไม่มี

เกาฉิงแห่งมรกตท่องฟ้ามีพลังและพรสวรรค์ไม่ใช่ชั่ว

แต่ว่าคนที่อยู่เหนือกว่านางโดยสมบูรณ์ พลันปรากฏตัวขึ้นด้านหน้านางเช่นนี้ ทั้งยังทำให้จิตใจของนางปั่นป่วนถึงขีดสุด

ประสบการณ์ที่นางไม่เคยเจอมาก่อนชนิดนี้ ทำให้ฟู่ถิงรู้สึกไม่คุ้นชิน ถึงขั้นรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง

แต่นางก็มีความตั้งมั่นแน่วแน่ถึงขีดสุด ไม่ทันไรอารมณ์ที่พลุ่งพล่านก็สงบลงไป

ขณะมองซ่างจวินที่มีใบหน้าไม่ยอมรับ ฟู่ถิงก็ส่ายหน้าเล็กน้อย อดกล่าวประโยคนั้นไม่ได้

นั่นความจริงเป็นความคิดที่ตรงไปตรงมาที่สุดในตอนนี้ของนาง

ซ่างจวินได้ยิน มุมปากก็โค้งเล็กน้อย คล้ายกับคิดยิ้ม แต่กลับยิ้มไม่ออก

เขาคิดจะเอ่ยปากพูด แต่สุดท้ายลมหายใจก็ขาดห้วง ชีวิตดับสิ้นไป

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องราวใดว่า “แม่นางฟู่ชมกันเกินไป กาลเวลาเมื่อผ่านไปนานย่อมบังเกิดอัจฉริยะขึ้น ข้าเป็นหนึ่งในผู้คนมากมายที่แสวงหาความก้าวหน้าบนเส้นทางวรยุทธ์เท่านั้น”

ฟู่ถิงเอียงคอมองเยี่ยนจ้าวเกอ

ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ทั้งที่วาจานั้นมีแต่ความถ่อมตัวมากแท้ๆ แต่พอออกจากปากของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว นางฟังอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกต้อง

ต่อมาแม้แต่ความรู้สึกซับซ้อนในใจก่อนหน้าก็ค่อยๆ จางลงแล้ว

“เมื่อครู่ท่านไม่ได้ใช้วรยุทธ์ในคัมภีร์มารไร้รูป กลับสังหารเขาตรงๆ เช่นนี้เลยหรือ” ฟู่ถิงถามขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “ใช้ไปแล้ว แต่ว่าติดอยู่ในวรยุทธ์อื่น เดิมทีข้าฝึกฝนคัมภีร์มารไร้รูปก็ไม่ค่อยใส่ใจนัก เอาไว้ใช้แค่ในกรณีนี้เท่านั้น”

ฟู่ถิงมองไปอีกทาง “หรือบางที ใช้หรือไม่ใช้ก็ไม่มีข้อแตกต่าง”

ชายหนุ่มมองไปยังทิศทางเดียวกับทางที่นางมอง

ณ ที่แห่งนั้น กลิ่นอายที่กล้าแข็งตัดสลับ มีประมุขโถงเซียนผู้หนึ่งบรรลุถึงใกล้ๆ อีกครั้ง