บทที่ 578.2 ทำไมเซียนกระบี่ที่มาชมศึกถึงมากมายขนาดนี้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ป๋ายเลี่ยนซวงถอนหายใจ พูดเนิบช้าว่า “เคยคิดหรือไม่ว่า คนหนุ่มที่เอางานเอาการอย่างคุณชายเฉินนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นบุตรสาวสายตรงของแซ่ใหญ่แซ่ใดก็ตามในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจเช่นนี้ ป่านนี้คงถูกยกขึ้นบูชาอย่างระมัดระวัง ได้เป็นบุตรเขยที่สบายกายสบายใจไปนานแล้ว แต่พอมาอยู่กับพวกเรา จวนหนิงก็มีแค่ตาแก่ยายแก่หนังเนียวอย่างเจ้าและข้า ทางฝั่งของตระกูลเหยายังคงเลือกที่จะมองดูอยู่เฉยๆ ในเมื่อแม้แต่ทางฝั่งตระกูลเหยาก็ยังไม่แสดงท่าที นี่ก็หมายความว่า ก่อนจะเกิดเรื่อง ไม่มีใครที่ช่วยหนุนหลังให้คุณหนูและท่านเขยของเรา พอเกิดเรื่อง ทุกอย่างก็สายไปแล้ว”

น่าหลันสิงเย่กล่าว “ในใจตาเฒ่าเหยามัวเก็บกลั้นโทสะอยู่น่ะสิ”

ป๋ายเลี่ยนซวงลังเลเล็กน้อย ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้แพร่ข่าวให้ตระกูลเหยารู้ถึงสินสอดของท่านเขยพวกเราดีไหม?”

น่าหลันสิงเย่หันหน้ามาพูดเสียงหนักแข็งกระด้างใส่หญิงชราอย่างที่หาได้ยาก “อย่าย่ำยีเฉินผิงอัน แล้วก็อย่าหยามเกียรติตระกูลเหยา”

ป๋ายเลี่ยนซวงพยักหน้ารับ ไม่ชักสีหน้าใส่เขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

น่าหลันเย่สิงอธิบายว่า “ในเมื่อเจ้าก็พูดเองว่า เฉินผิงอันเลือกคุณหนูของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ สามารถพูดโน้มน้าวพวกเราได้ เขาเฉินผิงอันก็ควรจะโน้มน้าวคนอื่นได้เช่นกัน แต่หากพูดแล้วยังไม่ฟัง ก็ต้องลงไม้ลงมือจนยอมฟัง!”

ป๋ายเลี่ยนซวงบ่นอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือให้ช่วยเฉินผิงอันรับมือกับคู่ต่อสู้อย่างลับๆ ก็แค่ให้เจ้าช่วยจับตามองไว้หน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เจ้ามัวแต่อึกๆ อักๆ พูดจาไม่เข้าประเด็นเสียที”

น่าหลันเย่สิงกล่าวอย่างจนใจ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะผิดต่อคำสัญญา ยอมบอกความจริงแก่เจ้าก็แล้วกัน ที่ข้าไม่ออกจากบ้าน ได้แต่นั่งคันมือคันไม้ คันในใจยิบๆ อยู่ที่นี่ เป็นความต้องการของเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็ไปเลือกหามุมเหมาะๆ ดื่มเหล้านานแล้ว”

ป๋ายเลี่ยนซวงกล่าวอย่างสงสัย “เขาบอกกับเจ้าไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว?”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับ “ต่อให้ข้าจะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าหลอกเจ้าเรื่องแบบนี้หรอกกระมัง? เป็นความต้องการของเฉินผิงอันเอง”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “เหตุผลนั้นง่ายดายมาก จวนหนิงไม่มีผู้อาวุโสไปที่นั่น ตระกูลฉีก็ไม่มีหน้าจะไปเหมือนกัน ส่วนการต่อสู้กับฉีโซ่วนั้น ต่อให้เขาแพ้ก็ไม่แพ้น่าเกลียดเกินไป ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำให้ฉีโซ่วไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเขาเองจะชนะจริงๆ หากฉีโซ่วกล้าไม่เคารพกฎ ไม่ใช่แค่ต่อสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะอย่างเรียบง่ายเท่านั้น แต่กลับเลือกลงมือด้วยท่าทีที่จะตัดสินเป็นตาย กระทำการเกินขอบเขตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเขาเฉินผิงอันก็สามารถบีบให้บรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังฉีโซ่วต้องออกมาเก็บกวาดเรื่องเละเทะ ถึงเวลานั้นตระกูลฉีสามารถเก็บหน้าตา เก็บเหตุผลจากบนพื้นไปได้มากน้อยเท่าไร ก็ต้องดูที่ว่าคนที่ชมศึกจะยอมตอบตกลงหรือไม่แล้ว”

ป๋ายเลี่ยนซวงจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด ใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียด

น่าหลันเย่สิงเอ่ยอีกว่า “เจ้ากับคุณหนูอาจจะยังไม่รู้ เฉินผิงอันมาหาข้าเป็นการส่วนตัวสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือสอบถามถึงรากฐานของฉีโซ่ว ผังหยวนจี้และเกาเหย่โหวสามคนนี้อย่างละเอียด นับตั้งแต่ชื่อกระบี่บิน นิสัยใจคอของผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามท่าน ไปจนถึงความเคยชินในการเข่นฆ่า แล้วก็ไปถึงผู้สืบทอดมรรคาของพวกเขา การเข่นฆ่าที่ถามถึงยังแบ่งออกเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตบนสนามรบและการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เฉินผิงอันล้วนถามอย่างละเอียด ครั้งที่สองคือให้ข้าช่วยเลียนแบบกระบี่บินของคนทั้งสาม ส่วนเขาก็ลองรับมือดู เป้าหมายมีแค่อย่างเดียว การออกกระบี่ของข้าจำเป็นต้องเร็วกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนทั้งสามหนึ่งส่วน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางปฏิเสธ ก็ลองในห้องที่พื้นที่คับแคบยากจะพลิกตัวหมุนตัวของเฉินผิงอันนั่นแหละ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำให้บาดเจ็บ แค่หยุดเมื่อพอสมควร เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า หากออกหมัดเต็มกำลัง ลงแรงอย่างเต็มฝีมือจริงๆ อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถทำให้ลูกรักแห่งสวรรค์พวกนี้รู้สึกว่า ใช่ว่าจะไม่อยากคิดตัดสินแพ้ชนะกับเขาเฉินผิงอัน แต่พอสู้กันไปจนถึงท้ายที่สุด คาดว่าพวกเขาคงต้องตัดสินกันด้วยความเป็นความตายอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว”

ป๋ายเลี่ยนซวงมีสีหน้าปั้นยาก

รอยยิ้มของน่าหลันเย่สิงเหยเกยิ่งกว่า เขาชี้ไปยังทิศทางที่ตั้งร้านของเตี๋ยจ้าง “เจ้ายังเป็นห่วงเฉินผิงอันใช่ไหม? ไม่ควรเป็นพวกฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ที่ต้องปวดหัวกับเฉินผิงอันหรอกหรือ? มาเจอกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ หากขอบเขตของทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่มากนัก คาดว่าคงถูกเฉินผิงอันทำให้สะอิดสะเอียนจนตายทั้งเป็นแน่ๆ เฉินผิงอันกวนโอ๊ยน่าเตะแค่ไหน เจ้าป๋ายเลี่ยนซวงเคยออกหมัดใส่เขามาก่อน จะไม่รู้เลยหรือ?”

น่าหลันเย่สิงสืบเท้าเดินเนิบช้าด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย “เจ้าเด็กคนนี้ พูดง่ายใช่ไหม เข้าใจมารยาทพิธีการใช่ไหม พอมาอยู่กับข้า หลังจากช่วยป้อนกระบี่ให้เขาไปแล้ว พวกเราสองคนก็ดื่มเหล้าด้วยกันเล็กน้อย เจ้าเด็กนี่พูดมากอย่างที่หาได้ยาก เจ้าไม่ได้เห็นจึงไม่รู้หรอกว่าเฉินผิงอันในเวลานั้น พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ถอดรองเท้า นั่งขัดสมาธิเลียนแบบข้าอย่างผึ่งผาย ประกายสดใสมีชีวิตชีวาในดวงตาคู่นั้นของเขา บวกกับคำพูดของเขา เป็นภาพแบบใด”

น่าหลันเย่สิงเผยสีหน้าหวนระลึกถึงอดีต

จวนหนิงสมควรมีเจ้านายผู้ชายบ้างแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะเคร่งเครียดเกินไป

ป๋ายเลี่ยนซวงถลึงตาใส่ “ตอนเจอหน้ากันต้องเรียกเขาว่าคุณชายเฉิน! เวลาอยู่กับข้า จะเรียกว่าท่านเขยก็ได้ แต่นี่เจ้าเรียกเฉินผิงอันคำแล้วคำเล่าไม่ขาดปาก สมควรแล้วหรือไร ใครให้เจ้ายืมดี (ดีคืออวัยวะหนึ่งในร่างกาย เปรียบเปรยถึงความกล้า) สุนัขนี้?!”

น่าหลันเย่สิงอัดอั้นไม่น้อย กว่าจะทวงคืนศักดิ์ศรียามอยู่ต่อหน้าเฉินผิงอันกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอมาอยู่กับยายแก่นี่ หน้าตาศักดิ์ศรีที่ว่านั่นล้วนต้องยกคืนกลับไปไม่มีเหลือ

หญิงชราพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้าสุนัขเฒ่า เจ้าว่าคุณชายเฉินมีโอกาสจะชนะสามครั้งติดหรือไม่”

น่าหลันเย่สิงเตรียมคำพูดรอไว้ก่อนนานแล้ว “ข้าต้องอยากให้เขาชนะอยู่แล้ว แต่หากการต่อสู้ครั้งที่สามเป็นผังหยวนจี้ ฉีโซ่วหรือเกาเหย่โหวคนใดคนหนึ่ง น่าจะค่อนข้างยากแล้ว พูดถึงแค่ฉีโซ่วที่มีโอกาสเป็นเขามากที่สุด หากเจ้าลูกกระต่ายนี่ไม่ประมาท เฉินผิงอันกับเขาก็สู้ได้ไหว สู้ได้มากๆ เลยล่ะ”

แล้วก็จริงดังคาด

ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็สัมผัสได้ถึงปราณเปี่ยมล้นของกระบี่โบราณเล่มหนึ่งที่กระเพื่อมแผ่อบอวลอยู่บนถนนใหญ่แถบร้านของเตี๋ยจ้าง

จากนั้นกระบี่เซียนที่เฉินผิงอันเอาวางไว้ในห้องเล็กก็ออกไปจากจวนหนิงด้วยตัวเอง

หญิงชราเตะเข้าที่ข้อพับของน่าหลันเย่สิง “ยังไม่ไสหัวไปดูสถานการณ์อีก! ปากอีกานัก เห็นได้ชัดว่าเกาจู๋ของฉีโซ่วเล่มนั้นออกจากฝักแล้ว”

แม้ว่าน่าหลันเย่สิงจะมีสีหน้าเป็นปกติ แต่อันที่จริงกลับร้อนใจอยู่ไม่น้อย การประมือกันทั่วไปย่อมไม่แบ่งเป็นตาย ไหนเลยจำเป็นต้องเอาอาวุธกึ่งเซียนออกมาคุมเชิงกับอาวุธเซียน?

น่าหลันเย่สิงเองก็ไม่มีเวลามาสนใจคำสัญญาอะไรอีกแล้ว

เพียงแต่น่าหลันเย่สิงกลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเกิดเรื่องเข้าจริงๆ นางกลับสงบสติอารมณ์ได้ แม้จะมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ป๋ายเลี่ยนซวงก็ยังส่ายหน้ากล่าวว่า “ช่างเถิด พวกเราต้องเชื่อว่าท่านเขยคาดการณ์ถึงเรื่องนี้มาได้ก่อนล่วงหน้าแล้ว”

น่าหลันเย่สิงถามหยั่งเชิง “ไม่ต้องให้ข้าไปจริงๆ หรือ?”

ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ หากที่นั่นเกิดปัญหา เขาน่าหลันเย่สิงควรจะทำอย่างไรหลังเกิดเรื่อง เจ้าป๋ายเลี่ยนซวงสามารถออกคำสั่งมาได้ตามสบาย แต่ห้ามมาโทษว่าเขาบกพร่องต่อหน้าที่เด็ดขาด

ป๋ายเลี่ยนซวงพยักหน้า “ข้าเป็นคนพูดเอง!”

น่าหลันเย่สิงชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง

หญิงชราเอ่ยเดือดดาล “เจ้าสุนัขเฒ่าระวังตาสุนัขของเจ้าเอาไว้ให้ดี!”

น่าหลันเย่สิงรู้ว่าตอนนี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีก็เลยยอมอดทน

ถึงอย่างไรการที่เขาไม่ถือสานางก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาปีสองปีแล้ว

ต่อมาไม่นานก็มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งเร่งรุดทะยานลมมาถึง พอพลิ้วกายลงบนสนามประลองยุทธและคารวะผู้อาวุโสทั้งสองแล้วก็เอ่ยว่า “เฉินผิงอันชนะแล้วทั้งสามครั้ง คนทั้งสามแบ่งออกเป็นเริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่ว”

ผู้ฝึกตนโอสถทองที่อายุเกือบร้อยปี แต่กลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์ผู้นี้มีชื่อว่าชุยเหวย ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิง น่าหลันเย่สิงไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แต่ชุยเหวยกลับยึดมั่นในหลักมารยาทระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์มาโดยตลอด อันที่จริงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ จวนหนิงเดือดร้อนเพราะหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนั้น ชีวิตของพวกเขาจึงไม่ราบรื่นนัก แต่ชุยเหวยก็ไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจเดิม

หญิงชราร้องเสียงดังว่าดี

น่าหลันเย่สิงถาม “เฉินผิงอันบาดเจ็บหนักไหม? ทำไมเจ้าไม่อยู่รอปกป้องเขา แล่นมานี่ก็เพื่อขอความดีความชอบก่อนงั้นรึ?”

ชุยเหวยยิ้มกล่าว “ดูจากท่าทางแล้วน่าจะยังต่อสู้อีกรอบ ข้าเอาข่าวมาบอกพวกท่านแล้วยังต้องรีบกลับไปชมศึกต่อ”

น่าหลันเย่สิงคว้าจับไหล่ของชุยเหวยเอาไว้ “เล่าขั้นตอนของการต่อสู้ทั้งสามครั้งนั้นมาให้ละเอียดเลย!”

ชุยเหวยยิ้มเจื่อน “อาจารย์ การต่อสู้ครั้งที่สี่ เฉินผิงอันจะสู้กับผังหยวนจี้ อีกทั้งยังเป็นเฉินผิงอันที่เป็นฝ่ายท้ารบด้วยตัวเอง หากไม่ไปดูก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว ตอนที่ข้ารีบเดินทางมาที่จวนหนิงก็สังเกตเห็นว่ามีผู้อาวุโสเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปสองท่านรีบไปที่นั่นแล้ว”

น่าหลันเย่สิงถาม “เกาจู๋นั่นล่ะ?”

ชุยเหวยยิ้มอย่างเข้าใจ “เซียนกระบี่เกาขุยเปิดโปงความลับสวรรค์ คำพูดของคำจึงเป็นดั่งคำตัดสิน เป็นเหตุให้ฉีโซ่วได้แต่กุมกระบี่ แต่กลับไม่ได้ออกกระบี่ก็เก็บเข้าฝักแล้วจากไป”

หญิงชราที่ยังไม่ทันได้แสดงความปลาบปลื้มก็ต้องหน้าเปลี่ยนสีไปน้อยๆ อีกครั้ง “ว่าไงนะ? ท่านเขยจะยังต่อสู้กับผังหยวนจี้อีกรอบ?!”

น่าหลันเย่สิงกลับหัวเราะ “ข้าวางใจอย่างมากเลยล่ะ”

หญิงชราชี้นิ้วสั่ง “ไปเฝ้าดูเขาหน่อย!”

น่าหลันเย่สิงส่ายหน้า “ไม่ต้องไป ชนะฉีโซ่วไปแล้ว เดิมทีก็เป็นการพิสูจน์ตัวของเฉินผิงอันแล้ว ไม่เพียงแต่มีความมั่นใจ ออกหมัดก็ยิ่งมั่นคงมากกว่าเดิม”

ยามอยู่กับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างชุยเหวยนี้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องมีมาดของผู้อาวุโสอยู่บ้าง

แต่เท้าของน่าหลันเย่สิงกลับขยับห่างออกมาเงียบๆ

หญิงชราโบกมือ “ชุยเหวย รบกวนเจ้าช่วยไปดูให้อีกหน่อย หากท่าไม่ดีก็เรียกกระบี่บินให้มาส่งข่าวที่จวนหนิง”

ชุยเหวยจึงรีบขี่กระบี่จากไปทันที

การประลองฝีมือของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ การต่อสู้ที่ฟ้าพลิกผืนดินคว่ำระหว่างเซียนกระบี่ทั้งสองท่าน ปราณกระบี่ของสองฝ่ายที่มืดฟ้ามัวดิน แน่นอนว่าไม่อาจพลาดได้

แต่ชุยเหวยไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าการช่วงชิงกันระหว่างเฉินผิงอัน ฉีโซ่วและผังหยวนจี้จะไม่ตื่นตาตื่นใจ

ในความเป็นจริงแล้วมันตระการตาชวนตื่นตะลึงอย่างมาก

ไม่อย่างนั้นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทั้งสี่ท่านที่รวมเกาขุยเป็นหนึ่งในนั้นด้วยก็คงไม่มีทางไปดื่มเหล้าอยู่ที่นั่น

และยังมีเซียนกระบี่ที่ทยอยกันเร่งรุดไปชมการประลองครั้งสุดท้ายของเด็กรุ่นหลังกับตาตัวเองในภายหลังนี่ด้วย ชุยเหวยถึงขั้นคาดเดาเอาไว้ว่า สุดท้ายจะต้องมีเซียนกระบี่จำนวนสองมือนับไปรวมตัวกันอยู่ที่ถนนใหญ่แห่งนั้น!

ปีนั้นเฉาสือแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางปรากฏตัวในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อความขัดแย้งปะทุขึ้น เซียนกระบี่ที่ยินดีปรากฏตัวมีสักกี่คนกันเชียว?

แม้จะบอกว่านี่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าตอนนั้นขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือยังไม่สูง และออกหมัดรับมือกับศัตรูก็ไวมากพอ แต่หากไม่พูดถึงเหตุผลทั้งหมด พูดถึงแค่จำนวนเซียนกระบี่ที่มาชมศึก เฉินผิงอันที่เพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ไม่กี่วันผู้นี้ก็ได้ไล่ตามใครบางคนในปีนั้นไปทันโดยที่เขาไม่รู้ตัวแล้ว เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังนี้คือศึกใหญ่วุ่นวายที่ไก่บินหมากระโดด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาดองอาจของวีรบุรุษหรือความสง่างามของเซียนกระบี่แม้แต่นิดเดียว

หญิงชราพึมพำ “หากนายท่านกับฮูหยินยังอยู่ก็คงจะดีสินะ”

น่าหลันเย่สิงไร้คำพูดตอบโต้ มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น

หญิงชราขยี้ตา ยิ้มกล่าวว่า “แต่ตอนนี้ก็ดีมากเหมือนกัน”

……

เหนือหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีกระท่อมเล็กใหญ่สองหลังตั้งอยู่ใกล้กัน

บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวกับหยกเดินออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก มายืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองฝั่งทิศเหนือ ทอดสายตามองไปยังนครทางทิศเหนือ พร้อมยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผู้อาวุโสจั่ว ใต้เท้าอิ่นกวานวิ่งไปร่วมวงความครึกครื้นแล้ว ท่านจะไม่ไปดูสักหน่อยจริงๆ หรือ?”

บนหัวกำแพง บุรุษคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า หลับตาทำสมาธิ รอบกายคือปราณกระบี่เฉียบคมที่พุ่งฉวัดเฉวียนตัดสลับ รวมตัวกันจากภาพมายากลายเป็นของจริง เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับไม่หยุดนิ่ง ก็โชคดีที่บุรุษซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขาคือเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ

เว่ยจิ้นคือผู้มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาตามหลังหลี่ถวนจิ่ง ก่อนหน้าหม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีป คนสามคนนี้ หลี่ถวนจิ่งที่ก่อนตายก็ยังหยุดอยู่ที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูงสุดผู้นั้น ได้รับการยอมรับว่าอันที่จริงพรสวรรค์ไม่ได้เป็นรองเว่ยจิ้น แต่น่าเสียดายที่ติดอยู่ในบ่วงรัก จึงสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปไป เป็นเหตุให้เมื่อกล่าวกันโดยภาพรวมแล้วก็ยังสู้เว่ยจิ้นไม่ได้ แต่หม่าขู่เสวียนผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ คนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ยอมรับว่าคุณสมบัติของเขาน่าจะยังเป็นรองผู้อาวุโสทั้งสองท่านอย่างหลี่ถวนจิ่งและเว่ยจิ้น เพียงแต่ว่าโชควาสนาบนมหามรรคาดีเกินไป ผลสำเร็จในอนาคตของเขา บางทีอาจจะสูงกว่าเว่ยจิ้นเสียอีก ส่วนหลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนของสวนลมหิมะนั้น ในเมื่อลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่มีหวังอีกแล้ว