ตอนที่ 1123 เผ่าหนอนผีเสื้อรุกราน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

หลังจากนั้นก็มีผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจใหญ่ของแดนใต้อีกสิบกว่าคนทยอยเดินทางมาถึง พริบตาเดียวทั้งห้องโถงก็มีผู้อาวุโสระดับแก่นแท้จากกลุ่มอำนาจแดนใต้ที่หน้าตาและเครื่องแต่งกายแตกต่างกันสามสิบกว่าคนรวมอยู่ด้วยกัน ใบหน้าแต่ละคนล้วนนิ่งขรึม

หลิ่วหมิงเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาทั้งหมด คิ้วเรียวเล็กขึ้นเล็กน้อย ความคิดเดิมที่ไม่อยากจะอยู่ต่อนักลดทอนลงไปไม่น้อยทันที

“เอาล่ะ ผู้ที่ควรมาก็มากันครบแล้ว ข้าในฐานะผู้เรียกรวมพันธมิตรครั้งนี้จะไม่พูดไร้สาระอีก สาเหตุที่เรียกทุกท่านมาที่นี่ก็เพื่อรับมือแมลงยักษ์ต่างเผ่าที่ข้ามดินแดนมากะทันหันเหล่านั้น” ผู้อาวุโสแซ่เฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ผู้อาวุโสเฟิง หนานฮวงจู่ๆ ก็มีแมลงประหลาดไม่ทราบเผ่าพันธุ์จำนวนมากบุกมา เรื่องนี้ทุกคนที่นี่ล้วนรู้ การขับไล่แมลงประหลาดเหล่านี้เพื่อพิทักษ์แดนใต้ พวกเราไม่เห็นแย้งแต่ประการใด แต่ไม่ทราบว่าสืบข้อมูลโดยละเอียดของแมลงประหลาดเหล่านี้มาได้บ้างหรือไม่?” บุรุษร่างกำยำดวงตาสีเขียวเส้นผมสีแดงผู้หนึ่งด้านล่างฉับพลันลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือเอ่ยถามผู้อาวุโสแซ่เฟิง

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ผู้คนที่นั่นล้วนหันไปมอง บุรุษร่างใหญ่ผมแดงสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด เขาเพียงจ้องตรงไปที่ผู้อาวุโสแซ่เฟิง

สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนตัวบุรุษร่างใหญ่ผมแดง ทันใดนั้นแววตาก็วูบไหวเล็กน้อย

ร่างของคนผู้นี้มีพลังจิตวิญญาณลึกล้ำ เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนที่พลังอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่ง อีกทั้งกล้ามเนื้อทั่วร่างก็นูนเด่นมากกว่าธรรมดาคล้ายฝึกวิชาลับฝึกร่างบางอย่างอีกด้วย

“สหายจากเขามังกรน้ำตาลนี่เอง แม้สหายไม่ถาม ข้าก็ย่อมชี้แจงข่าวเกี่ยวกับแมลงประหลาดเหล่านี้แก่ทุกท่านทีละเรื่องอยู่แล้ว” ผู้อาวุโสเฟิงยิ้มน้อยๆ

เขาหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“เมื่อสรุปรวมข่าวจากสายสืบจำนวนมากที่ส่งไปเมื่อหลายวันก่อน แมลงประหลาดทั้งหมดเพิ่งโผล่ออกมาจากรอยแยกมิติในทะเลทรายหนานฮวงไม่นานก่อนหน้านี้ พวกมันส่วนใหญ่สติปัญญาน้อยนิด รู้จักเพียงการเข่นฆ่า แต่ก็มีแมลงยักษ์ระดับสูงจำนวนหนึ่งที่มีสติปัญญา เรียกตนเองว่าเผ่าหนอนผีเสื้อ น่าจะเป็นพวกต่างเผ่าที่มาจากโลกอื่นจริงๆ เนื่องจากเวลากระชั้นชิด ข้าจึงยังไม่ได้ตรวจสอบมากนักว่าเผ่าหนอนผีเสื้อมาจากโลกแห่งใด แต่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดที่ปรากฏตัวในกองทัพใหญ่ของแมลงประหลาดเหล่านี้เห็นชัดว่าบรรลุระดับดาราพยากรณ์แล้ว”

“เผ่าหนอนผีเสื้อ…ระดับดาราพยากรณ์…”

ผู้คนที่นั่นได้ยินล้วนสูดลมหายใจดังเฮือกอยางห้ามไม่ได้

เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า “เผ่าหนอนผีเสื้อ” สองคำ แววตาก็วูบไหวไปครู่หนึ่ง

แม้ในใจเขาคาดเดาได้อยู่บ้างแล้ว แต่วันนี้ได้รับคำยืนยันจากปากผู้อาวุโสสูงสุดนิกายผ่านพิภพผู้นี้ก็ยังทำให้ในใจเขาหวาดผวา

ช่วงสุดท้ายของงานประตูสวรรค์ครั้งก่อนเขาพบกับผู้แข็งแกร่งจากต่างเผ่าหลายตน มีตนหนึ่งเรียกตนเองว่า “เผ่าหนอนผีเสื้อ” อีกทั้งพลังยังบรรลุระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!

แมลงที่ข้ามดินแดนมาครั้งนี้เป็นเผ่าเดียวกับเผ่าหนอนผีเสื้อระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตัวนั้นหรือ?

หากเป็นเช่นคำพูดนี้จริง ผู้ที่ระดับพลังแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ระดับดาราพยากรณ์ดังที่ผู้อาวุโสแซ่เฟิงผู้นี้กล่าว แต่เป็นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงก็อดไม่ได้นึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ

“ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่อาจยังไม่รู้เกี่ยวกับเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้ นานมาแล้วในยุคโบราณเคยเกิดเหตุการณ์เผ่าหนอนผีเสื้อข้ามโลกมารุกรานแผ่นดินจงเทียนของพวกเรา ต่อมายอดฝีมือแห่งแผ่นดินจงเทียนเราร่วมมือกันเล่นงานจนล่าถอยไป หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีก” ซือโห่วแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์เอ่ยขึ้นเรียบๆ

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสซือโห่วต้องการจะบอกว่าการรุกรานของเผ่าหนอนผีเสื้อครั้งนี้เป็นเรื่องที่วางแผนมาก่อนแล้ว เป้าหมายของพวกมันน่าจะเป็นแผ่นดินจงเทียนทั้งหมดเช่นนั้นหรือ?” ผู้ฝึกฝนที่สมองไวผู้หนึ่งเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง

“หลังจากพวกเราหารือกัน คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่บันทึกเกี่ยวกับเผ่าหนอนผีเสื้อน้อยยิ่งกว่าน้อย ความจริงแล้วสิ่งที่พวกเรารู้มีไม่มาก” บุรุษหน้าราชสีห์จากหุบเขาปีศาจสวรรค์สบตากับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อีกสองคนที่เหลือแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

ผู้ฝึกฝนทั้งหลายได้ยินคำนี้ ส่วนใหญ่สีหน้าล้วนไม่น่าดูอย่างยิ่ง

ผู้ที่อยู่ตรงนี้ไม่มีคนโง่ หากเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านั้นมีความทะเยอทะยานเช่นนั้นจริง ย่อมไม่มีทางมีจำนวนเพียงที่เห็น จะต้องมีแมลงยักษ์ที่ข้ามโลกมาอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่าของที่เห็นตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนที่รวมตัวกันอยู่ตรงนี่เหล่านี้จะต่อต้านได้แม้แต่น้อย

แม้ทุ่มกำลังทั้งหมดของหนานฮวง โอกาสชนะก็ไม่มาก

ในประวัติศาสตร์แผ่นดินจงเทียนเคยมีกรณีที่พวกต่างเผ่าบุกรุกมาหลายครั้ง ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการรุกรานของเผ่ามาร ผลลัพธ์ถึงขนาดทำให้โลกมนุษย์เสียแผ่นดินผืนหนึ่งไปทั้งผืน แม้ผู้ที่อยู่ตรงนี้ล้วนไม่เคยเผชิญกับตนเอง แต่จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่สืบทอดต่อกันมาก็พอจินตนาการถึงสายลมคาวคลุ้งและโลหิตที่พร่างพรมประหนึ่งสายฝนในยามนั้นได้

“ทุกท่านยังไม่ต้องกังวลเกินไป โอกาสที่จะเกิดศึกใหญ่ระหว่างโลกน้อยนิดยิ่งนัก เมื่อครู่ข้าเพียงคาดการณ์เท่านั้น มิได้มีหลักฐานแน่ชัด บางทีเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้อาจเพียงบังเอิญข้ามโลกมาถึงดินแดนผืนนี้ก็เป็นได้” ผู้อาวุโสแซ่เฟิงแห่งนิกายผ่านพิภพเห็นสีหน้าของคนที่นั่นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น เขาจึงกระแอมเบาๆ เอ่ยปลอบขึ้นมา

คำพูดนี้ของผู้อาวุโสแซ่เฟิงทำให้ผู้ฝึกฝนบางส่วนที่นั่นสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่คนส่วนใหญ่ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิม

“เรียนถามผู้อาวุโสเฟิง หลังจากนี้มีแผนการประการใด?” บุรุษร่างใหญ่ผมแดงยังนับว่าสีหน้าสุขุม เอ่ยถามเสียงขรึมขึ้นมา

“พวกเราส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากสี่ยอดนิกายใหญ่ที่ดินแดนภาคกลางแล้ว คิดว่าไม่นานคงมีกำลังเสริมมาถึง อีกด้านหนึ่งหลังจากข้ากับสหายทั้งหลายหารือกันแล้ว คิดว่ายามนี้พวกเราสมควรตระหนักว่าต้องทำศึกยาวนาน จึงควรจัดการขุมกำลังทั้งหมดของหนานฮวงให้กลายเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันอย่างแท้จริง ในเวลาเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่ได้เปรียบของเขาผ่านพิภพ โจมตีกองทัพใหญ่ของเผ่าหนอนผีเสื้อให้ล่าถอย ชะลอการรุกคืบเข้ายึดครองดินแดนทางใต้ของพวกมันไปก่อน เพื่อซื้อเวลาให้กองหนุนมาถึง ไม่ทราบทุกท่านคิดเห็นเช่นไร?” ผู้อาวุโสแซ่เฟิงกวาดสายตามองรอบด้าน เมื่อสายตากวาดผ่านหลิ่วหมิงก็หยุดนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงขรึม

คำนี้เอ่ยออกมา เสียงถกเถียงก็ดังขึ้นในทันที!

ผู้ฝึกฝนที่รวมตัวกันอยู่ที่เขาผ่านพิภพยามนี้ แม้มีผู้ฝึกฝนจากนิกายผ่านพิภพ นิกายทรายรังสรรค์ หุบเขาปีศาจสวรรค์กับเผ่าจินหมาน นิกายอายุนับหมื่นปีสี่แห่งนี้เป็นหลัก แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่เป็นตัวแทนอยู่ที่นี่มาจากกลุ่มอำนาจขนาดกลางกับขนาดเล็กมากมาย กองกำลังเหล่านี้เมื่อรวมเข้าด้วยกันไม่ด้อยกว่าขุมกำลังยามสี่นิกายใหญ่อายุหมื่นปีร่วมมือกันสักนิด

เวลานี้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ทั้งสามรวมถึงผู้อาวุโสแซ่เฟิงยังไม่เอ่ยเร่งเร้าประการใด เพียงรอคอยอย่างนิ่งสงบเท่านั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงถกเถียงที่นั่นก็ค่อยๆ หยุดลง ออกเสียงลงคะแนนกันอยู่พักหนึ่งก็ปรากฏว่าคนทั้งหมดที่นั่นล้วนเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้อาวุโสแซ่เฟิง

อย่างไรยามนี้ดินแดนหนานฮวงก็ถูกกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อทำลายไปมากแล้ว ทุกหนทุกแห่งมีแต่ไฟสงคราม หลบเลี่ยงไม่ได้ แทนที่จะแยกย้ายกันหนีแล้วสุดท้ายถูกกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อทำลายทีละกลุ่ม ไม่สู้ร่วมมือกับนิกายใหญ่อายุหมื่นปีอย่างพวกนิกายผ่านพิภพจะปลอดภัยกว่าอยู่บ้าง

คนจำนวนน้อยที่ไม่เห็นด้วยในทันทีเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา เมื่อได้รับคำอธิบายจากผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยากรณ์ทั้งสามคน สุดท้ายแต่ละคนก็ตอบรับ

“ดี ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่เฟิงขอขอบคุณการสนับสนุนจากสหายทุกท่านไว้ ณ ที่นี่!” ผู้อาวุโสแซ่เฟิงเอ่ยอย่างยินดียิ่ง

การก่อตั้งพันธมิตรในครั้งนี้ นิกายผ่านพิภพเป็นตัวตั้งตัวตี ไม่ว่าชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ย่อมเพิ่มขึ้นมากเป็นแน่แท้

“รายละเอียดของกลุ่มพันธมิตร ในเมื่อทุกท่านพอดีอยู่กันพร้อมหน้า พวกเราที่นี่ก็หารือกันให้เรียบร้อยก่อน…” ผู้อาวุโสแซ่เฟิงกระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยต่อ

หลิ่วหมิงทำหน้าเฉยเมย เห็นชัดว่าไม่สนใจเรื่องที่ทุกคนกำลังหารืออยู่แม้แต่น้อย

เขาลูบปลายคาง นึกย้อนไปถึงลักษณะพิเศษบางอย่างของมนุษย์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตนนั้นที่เคยพบที่งานประตูสวรรค์ในอดีตอยู่เงียบๆ

หลายชั่วยามให้หลัง หลังจากหารือกันอย่างดุเดือดยกหนึ่ง นอกจากยกให้ผู้อาวุโสเฟิงแห่งนิกายผ่านพิภพเป็นหัวหน้ากลุ่มพันธมิตร ให้ผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยากรณ์อีกสามคนที่เหลือเป็นรองหัวหน้ากลุ่มพันธมิตร ก็หารือไม่ได้ผลลัพธ์อื่นสักเท่าไร

แต่หลิ่วหมิงกลับถูกผู้อาวุโสเฟิงยกให้เป็นคนประสานงานชั่วคราวของฝั่งนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างคิดไม่ถึง นี่ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

จนกระทั่งฟ้ามืด ทุกคนจึงแยกย้ายกันไป

นิกายผ่านพิภพก็นับเป็นนิกายขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจึงจัดการให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่มาได้ที่พักส่วนตัวกันทุกคน ที่พักซึ่งหลิ่วหมิงได้รับมาค่อนข้างสบายทีเดียว

เขาเข้าไปในที่พักของตนเองแล้วก็ปิดประตูเริ่มฝึกฝนทันที การหารือหลายวันหลังจากนั้นเขาล้วนหาข้ออ้างไม่เข้าร่วม

หลายวันให้หลัง

ในที่พักหลังหนึ่งบนเขาผ่านพิภพ

ยามนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนเตียงศิลาหลังหนึ่ง ทั่วทั้งร่างถูกไอหมอกสีดำสนิทดั่งหมึกผืนหนึ่งล้อมเอาไว้

ปราณสีดำเหล่านี้เปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดพร้อมกับลมหายใจของหลิ่วหมิงที่เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว

ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย สองมือส่งเคล็ดวิชาหลายสายออกมาอย่างรวดเร็ว ปราณดำโถมเข้าไปในกระหม่อมประหนึ่งวาฬสูบน้ำในพริบตา พร้อมกับที่ตาทั้งสองข้างลืมขึ้นอย่างเร็วไว เงาเลือนรางโฉบวูบหนึ่งก็มาถึงตรงหน้าประตูที่พัก

“สหายหลิ่ว รบกวนแล้ว” บุรุษผู้สวมอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำตาลหม่น พลังราวระดับผลึก เห็นหลิ่วหมิงโผล่มาตรงหน้ากะทันหันประหนึ่งภูตผีก็ทำหน้าตกใจแล้วรีบเอ่ยขออภัยขึ้นก่อน

“เจ้าเป็นศิษย์เขาผ่านพิภพสินะ มาที่นี่น่าจะมีธุระอันใดกระมัง?” หลิ่วหมิงมองเครื่องแต่งกายของนิกายผ่านพิภพบนตัวอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วถามขึ้นมา

“ผู้อาวุโสช่างชาญฉลาด ศิษย์รับคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุด มาเชิญผู้อาวุโสหลิ่วเดินทางไปหารือเรื่องสำคัญที่ตำหนักหลัก” บุรุษชุดยาวสีน้ำตาลหม่นเอ่ยอย่างเร่งรีบ

“ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อน!” หลิ่วหมิงพยักหน้านิดๆ แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

ศิษย์ของนิกายผ่านพิภพผู้นั้นเห็นเช่นนี้จึงประสานมือสองข้างคารวะหลิ่วหมิงแล้วขอตัวจากไปด้วยสีหน้านอบน้อม

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองท้องฟ้า หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ออกจากที่พักกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งเหาะไปยังตำหนักหลัก

ไม่นานนักเขาก็มาถึงหน้าประตูตำหนักศิลา

ด้านในตำหนักหลังใหญ่ยามนี้ ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนกำลังนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำด้านในห้องโถง ริมฝีปากขมุบขมิบไม่หยุดเหมือนกำลังถกเถียงบางอย่างอยู่

นอกเหนือจากนี้ยังมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ยี่สิบกว่าคนแยกอยู่สองฝั่งกำลังเงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลาย

“คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน” หลังจากเข้ามาในห้องโถง หลิ่วหมิงก็ประสานมือคำนับด้านหน้า

“ไม่คิดว่าสหายหลิ่วจะมาไวเช่นนี้ ไม่ต้องมากพิธี มาคุยกันด้านหน้าเถิด!” ผู้อาวุโสเฟิงเห็นหลิ่วหมิงก็ยิ้มน้อยๆ ทันที

ผู้อาวุโสหางคิ้วเชิดจากนิกายทรายรังสรรค์กับซือโห่วแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์พยักหน้านิดๆ ให้หลิ่วหมิง

มีเพียงผู้อาวุโสจินหมานที่สองตาจ้องหลิ่วหมิงเขม็ง แต่ก็ไม่ได้กระทำเรื่องผิดปกติอันใด

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทุกท่านเรียกผู้เยาว์มามีธุระประการใด?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงเดินเข้าไปหาผู้ฝึกฝนทั้งหลายอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ

“ข้าเพิ่งได้รับข่าวสำคัญอย่างหนึ่งจากสายสืบ หลังจากหารือกับรองหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรทั้งหลายแล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ดังนั้นจึงรีบร้อนเรียกทุกคนมาเพื่อหารือวางแผนร่วมกัน ในเมื่อสหายหลิ่วมาถึงแล้ว คนก็มากันพอประมาณแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเลยเถิด” ผู้อาวุโสเฟิงเอ่ยอย่างไม่ขบคิดอีก