บทที่ 1401 ทลายภาพลวงตา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“เสียงทลายมายาภาพ?” ภายในปากปล่องภูเขาไฟแห่งจังหวะดนตรี พลังปราณอ่อนแรงขุมนั้นและเงาร่างที่คล้ายจะหายไปได้ทุกเมื่อจับจ้องชิ้นส่วนแตกเบื้องหน้าเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยปาก

และแววตานี้ พลันทอประกายแสงประหลาดในพริบตา

“ที่แท้แล้วก็มีคนสามารถรับรู้ถึงอักขระนั้นด้วย?” ครึ่งครู่ให้หลัง เงาร่างนั้นพลันยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังชิ้นส่วนจำนวนมากเบื้องหน้า ทันใดนั้นเองชิ้นส่วนของเขาก็พลันหม่นแสง และมีเพียงชิ้นเดียวที่ถูกขยายขนาดจนมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา

ในชิ้นส่วนนี้ เป็นทะเลทรายผืนหนึ่ง

ยามนี้บนผืนทะเลทรายบังเกิดลมพายุคลั่งหลอมประสานเข้ากับฟ้าดิน และในความบ้าคลั่งนี้ก็มีเงาร่างหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากพายุคลั่งนี้

ผู้นี้ก็คือ…หวังเป่าเล่อ!

เส้นผมยาวปลิวไสว ชุดที่สวมอยู่บนร่างนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า กระทั่งว่ายังไม่ปรากฏรอยยับเลยสักนิด มีเพียงสิ่งเดียวคือสีหน้าประหลาดใจ ราวกับว่าการศึกก่อนหน้านี้ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องประหลาดเร้นลับ

แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อนั้นเพียงใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของตัวโน้ตดนตรีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ตามที่เขาเข้าใจ ยังคงต้องค่อยๆ ทดลองต่อไปในอนาคต ว่าโน้ตของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ครึ่งหนึ่งนั้น…ที่แท้แล้วตัวสนามประลองยังยากจะรับไหว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ทิศ

และเกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อปรากฏกาย เหล่าผู้ฝึกตนที่คอยเฝ้าดูชิ้นส่วนนี้อยู่จากสามสำนักด้านนอกมาตลอดเหล่านั้น เมื่อพวกเขามองเห็นฉากนี้เข้าก็ร้องตะโกนตกใจอย่างลืมตัว

“คนที่ต่อสู้กับนักพรตปีศาจแดงออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักนั้นจากแต่ละแห่งล้วนหันมองไปยังมิติชิ้นส่วนที่หวังเป่าเล่ออยู่ แท้จริงแล้วศึกระหว่างเขาและนักพรตปีศาจแดงนั้นถึงกับทำสนามประลองพังไปแล้วจริงๆ จนทำให้ผู้ชมยากจะแบ่งแยกว่าสุดท้ายแล้วศึกนี้ใครเป็นผู้ชนะ

ดังนั้นแล้ว การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อก็ดึงดูดสายตาของผู้ชมจำนวนมากในทันที อีกอย่าง…พวกเขาค้นหาในสนามประลองชิ้นส่วนอื่นแล้วก็ไม่พบเงาร่างของนักพรตปีศาจแดง ความนัยของเหตุการณ์นี้ทำให้ค่อยๆ มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา

“นักพรตปีศาจแดงของสำนักเหิงฉิน…กลับไม่ปรากฏตัว!”

“หรือว่า…ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นักพรตแพ้เสียแล้ว?”

“หากว่านักพรตแพ้จริงๆ เช่นนั้นแล้วคนผู้นั้นก็ได้สร้างชื่อเสียงก้องฟ้าแล้ว!!!”

เมื่อเสียงถกเถียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายแล้วนักพรตปีศาจแดงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ การคาดเดานี้ก็ยิ่งเป็นจริงมากขึ้น โดยเฉพาะ…นักพรตแห่งสำนักเหิงฉินบางคนมีสัมพันธ์อันดีกับนักพรตปีศาจแดง ยามนี้เมื่อสอบถามกันผ่านแผ่นหยก สุดท้ายแล้วหลังความเงียบงันสั้นๆ นักพรตปีศาจแดงก็ตอบมาจากอีกฝั่งของแผ่นหยก

“ข้าแพ้แล้ว”

แค่สามคำนี้แพร่หลายไปทั่วสำนักเหิงฉิน และอีกสองสำนักก็ได้ทราบเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เสียงวิจารณ์และเสียงฮือฮานั้นดังขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดในที่นี้ก็คือเหล่าคนที่แพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อพวกนั้น พวกเขาแต่ละคนล้วนรู้สึกประหลาดใจมาก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนที่แพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อคนแรก ในยามนี้เขาตื่นเต้นจนดวงตาแดงก่ำแล้ว ระหว่างที่จังหวะลมหายใจเร่งเร้า นัยน์ตาของเขาก็ยิ่งทอประกายเจิดจ้ารุนแรง

“นี่นับเป็นม้ามืดของจริง สามารถเอาชนะนักพรตได้ แม้ว่าสุดท้ายโอกาสจะได้ที่หนึ่งไม่มาก แต่ก็พอกล่าวได้ว่าเขามีคุณสมบัติแล้ว…โอกาสชิงสามอันดับแรกย่อมเป็นไปได้!”

ส่วนที่ตรงกันข้ามกับเสียงฮือฮาของผู้คนก็คือภายในสำนักเหิงฉินยามนี้ นักพรตปีศาจแดงยืนอยู่ในถ้ำพำนักของตนเอง ท่าทางเหม่อลอย สีหน้าซีดขาว พลังปราณอ่อนแอ ราวกับจะตอกย้ำความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของเขาอยู่ตลอดเวลา

“ตัวโน้ตสุดท้ายนั้น…” เนิ่นนาน นักพรตปีศาจแดงพึมพำด้วยความเจ็บปวด เขาต้องยอมรับว่า สนามประลองคราวนี้ได้ช่วยตนเองไว้ หากว่าสุดท้ายสนามประลองรับพลังไว้ไม่ไหวก่อนที่ตัวโน้ตนั้นจะมาถึงตัวเขาและพังทลายไปเสียก่อน จนทำให้ตนเองและอีกฝ่ายถูกพลังเวทเคลื่อนย้ายบังคับให้แยกจากกัน เกรงว่า…เขาในยามนี้ คงได้วิญญาณสลายตายสิ้นแล้ว

นอกเหนือจากตัวโน้ตที่น่ากลัวยังมีอีกสิ่งที่ทำให้นักพรตปีศาจแดงยังคงรู้สึกหวาดผวาจากความทรงจำนี้อยู่ แต่เนื่องจากความมึนงง ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็คิดไม่ออก สุดท้ายแล้วเป็นตัวโน้ตแบบใดกันถึงกับมีพลังระดับที่น่าหวาดหวั่นจนยากอธิบายเช่นนี้

กระทั่งเมื่อลองมาคิดดู นั่นไม่นับว่าเป็นตัวโน้ตแล้ว เพราะว่า…ขลุ่ยกระดูกของเขาเลานี้ก็ไม่สามารถต้านทานพลังได้ ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ

ระหว่างที่เขายืนมึนงงและหวาดผวาอยู่ตรงนี้ ด้านทะเลทรายที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้น ในยามนี้เบื้องหน้าเส้นทางของเขา ห่างออกไปทางเส้นฟ้าดิน มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเงาร่างก็มองเห็นหวังเป่าเล่อและพายุคลั่งเชื่อมฟ้าดิน…ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย

บุคคลผู้ที่ปรากฏกายนี้ ก็คือคู่ต่อสู้คราวนี้ของหวังเป่าเล่อ คนผู้นี้เอาแต่ประลองอยู่ตลอด ดังนั้นแล้วจึงไม่รู้คะแนนต่อสู้ของหวังเป่าเล่อ แต่ยามที่เห็นฟ้าดินเปลี่ยนแปลงเพราะการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็รู้สึกตกตะลึงทันที

แม้ว่าหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าเขาจะแปลกหน้า ทว่าผู้ฝึกตนผู้นี้ก็ขบคิดไม่หยุด ผู้ที่เพียงแค่ปรากฏตัวก็สามารถชักนำลมพายุรุนแรงนี้จนกระทั่งก่อเกิดคลื่นกระทบการมีอยู่ของสนามประลอง ตนเองจะไปทำอะไรได้งั้นหรือ…

ดังนั้น หลังปรากฏตัวออกมาแล้ว ผู้ฝึกตนผู้นี้หลังเหลือบมองพายุรุนแรงด้านหลังหวังเป่าเล่อจนศีรษะชาดิก เขาก็เลือกที่จะยอมแพ้ทันทีอย่างไม่ลังเล

ขณะต่อมา หลังจากที่ผู้ฝึกตนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้ว เขายืนอยู่ที่เดิมรอให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนและพาเขาไปปรากฏยังสนามประลองถัดไป

ก็เป็นเช่นนี้ เวลาก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป การต่อสู้ของหวังเป่าเล่อต่อๆ มา ในสายตาของเขาแล้วธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนหน้ามาก สิ่งเดียวก็คือ…ฝีมือของคู่ต่อสู้ แข็งแกร่งขึ้นอยู่บ้าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้เช่นไร ขอเพียงหวังเป่าเล่อโบกมือ แล้วใช้พลังตัวโน้ตภายในร่างเอาชนะ ใช้พลังในระดับที่ไม่พังสนามประลองสร้างคลื่นพลังตัวโน้ตกลืนกินคู่ต่อสู้ในพริบตา ก็เป็นอันยุติการต่อสู้

ทว่าการต่อสู้อันแสนจืดชืดที่เขารู้สึกนี้ เมื่อมองจากสายตาของผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอกกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนเกือบจะทั้งหมดในสามสำนักยามนี้ล้วนหันมาจับจ้องหวังเป่าเล่อที่นี่ กระทั่งว่าความสนใจในตัวยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อทางด้านนั้นยังมีระดับสู้ความสนใจในตัวหวังเป่าเล่อไม่ได้

โดยเฉพาะสองรายนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว การที่ชนะก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนประหลาดใจมาก แต่ว่าหวังเป่าเล่อ…กลับเป็นม้ามืด

ยิ่งกับตัวโน้ตที่หวังเป่าเล่อโบกมือนั้น ไม่ได้เร้นลับอะไรมากมายเลย

เพราะข้อกำหนดของสนามประลอง บทเพลงนั้นไม่มีทางลอดออกไปด้านนอก ดังนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ผู้ฝึกตนจากทั้งสามสำนักจึงไม่มีใครได้ทราบทำนองเพลงของเขาว่าที่แท้แล้วมีเสียงเช่นไร

พวกเขาทำได้เพียงเห็นว่าคู่ต่อสู้ทุกคนของหวังเป่าเล่อ ล้วนแต่มีสีหน้าประหลาดภายใต้คลื่นโน้ตนี้ก่อนจะเดือดดาลและหลังจากนั้นก็ตื่นตะลึง สุดท้ายจึงหายไป

และที่เร้นลับยิ่งกว่า ก็คือพวกผู้พ่ายแพ้เหล่านั้นหลังจากถูกส่งกลับมาแล้ว แต่ละคนต่างทำหน้าปั้นยาก ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึงเสียงตัวโน้ตของหวังเป่าเล่ออีก สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือคำต้องห้าม

แต่ว่าท่าทางทุกข์ใจและไร้หนทางของพวกเขา กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ฝูงชนคาดเดา…

“ที่แท้แล้วเป็นเสียงอะไร? ทำไมเก่งกาจนัก!”

“เสียงแห่งมวลมหาธรรมชาติแน่นอน ไม่ต้องคิดแล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่อย่างนั้นจะมีอานุภาพตื่นตะลึงขนาดนั้นได้ยังไง”

“ข้าเองก็คิดว่าเป็นเสียงแห่งมวลมหาธรรมชาติแน่นอน แต่ว่าแพ้ก็แพ้ไปสิ ท่าทางคนพวกนั้นทำเหมือนกินขี้ก็ไม่ปาน เพราะอะไรกันเล่า?”

………………….