บทที่ 579.2 ศิษย์พี่ศิษย์น้องสายเหวินเซิ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หนิงเหยาเหยียบลงบนหลังเท้าของเฉินผิงอันแล้วบิดปลายเท้าขยี้หนึ่งที

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ายอมแพ้ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะหุบปาก”

เจ้าเยี่ยนอ้วนรู้สึกว่าพี่น้องคนดีท่านนี้คือยอดฝีมือโดยแท้

เฉินซานชิวยิ้มเอ่ย “เอาล่ะๆ ให้เฉินผิงอันพักรักษาตัวดีๆ เถอะ ใช่แล้ว เฉินผิงอัน มีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่บ้านข้าสิ”

ต่งฮว่าฝูเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “บ้านข้าอย่าไปเลย หากไปจริงๆ พี่สาวและท่านแม่ข้าต้องทำให้เจ้ารำคาญตายแน่ ข้ารับรองว่าเหนื่อยใจไม่ไปน้อยกว่าตอนที่เจ้ารับมือกับผังหยวนจี้แน่นอน”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

คนทั้งสี่เพิ่งจะออกมาจากศาลาบนยอดเขา ป๋ายหมัวมัวที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อครู่แม่หนูลวี่ตวนมาที่หน้าประตูใหญ่ บอกว่าจะกราบคุณชายเฉินเป็นอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชา ต้องเรียนรู้เอาวิชาหมัดอันเลิศล้ำของคุณชายเฉินไปให้ได้นางถึงจะยอมเลิกรา ไม่อย่างนั้นนางก็จะนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูจนกว่าคุณชายเฉินจะตอบตกลง ดูจากท่าทางแล้วมีความจริงใจอย่างมาก ระหว่างที่เดินทางมายังซื้อขนมมาด้วยหลายถุง ยังดีที่ถูกแม่นางต่งลากตัวไปแล้ว แต่ว่าด้วยความคิดในหัวสมองน้อยๆ ของแม่หนูลวี่ตวนนั่น คาดว่าวันหน้าจวนหนิงของพวกเราคงไม่สงบสุขแล้ว”

เยี่ยนจั๋วและเฉินซานชิวต่างก็ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

นังหนูนั่นพวกเขาล้วนรู้จักดี นางก็คือผีขี้ตอแยที่ขึ้นชื่อนักล่ะ

หนิงเหยาเอ่ย “ลากเข้ามาซ้อมสักรอบก็ว่าง่ายขึ้นแล้ว”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไร

หลังจากพวกเฉินซานชิวออกจากประตูใหญ่ของจวนหนิงไปแล้วก็ไม่ได้แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน แต่ไปดื่มเหล้าที่ร้านตามความเคยชิน

ในศาลาจึงเหลือแค่เฉินผิงอันและหนิงเหยา

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองก็วางใจได้แล้ว”

หนิงเหยาแค่นเสียงหึในลำคอ

เฉินผิงอันเอนหลังพิงราวรั้ว แหงนหน้าขึ้น “ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ นะ”

หนิงเหยายื่นสองนิ้วมาคีบชายแขนเสื้อข้างซ้ายของเฉินผิงอันขึ้นเบาๆ แล้วเหลือบตามามอง “วันหน้าอย่าอวดเก่งอีก คนเราคำนวณหมื่นครั้ง แต่ก็ยังไม่สู้ฟ้าลิขิตครั้งเดียว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นล่ะ?”

หนิงเหยาปล่อยชายแขนเสื้อของเขาลง เอ่ยว่า “จะไม่ไปพบจั่วโย่วที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไปพบผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก่อนค่อยว่ากันเถอะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้อาวุโสจั่วจะยินดีพบหน้าข้าหรือไม่ก็ยังไม่แน่”

หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ครั้งนี้ไปพบท่านปู่เฉิน จึงจะเป็นการถามกระบี่ที่อันตรายมากที่สุด ง่ายที่จะเป็นการวาดงูเติมขา นี่เป็นเรื่องที่เจ้าต้องระวังแล้วระวังอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

หนิงเหยาถาม “เมื่อไหร่ถึงจะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่รีบร้อน หากไปเร็วเกิน ผังหยวนจี้กับฉีโซ่ว โดยเฉพาะพวกผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะเสียหน้าอย่างมาก”

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “คิดมากขนาดนั้นไปทำไม เจ้าเองก็บอกแล้วว่า ที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีอะไรวกวนอ้อมค้อมขนาดนั้น เสียหน้า ก็ล้วนเป็นพวกเขาที่รนหาที่เอง มีหน้ามีตา ก็เป็นสิ่งที่เจ้าช่วงชิงมาด้วยความสามารถของตัวเอง”

เฉินผิงอันเอ่ย “ชินแล้วล่ะ หากเจ้าคิดว่าไม่ดี วันหน้าข้าก็จะปรับปรุงตัวเอง นอกจากเรื่องบางเรื่อง ก็ไม่มีอะไรที่ข้าเปลี่ยนไม่ได้ เรื่องที่ไม่มีทางเปลี่ยน กับความเคยชินที่ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนได้นี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้ข้าเดินทีละก้าวจนมาถึงที่นี่ได้”

หนิงเหยามองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของตัวเอง

เฉินผิงอันจึงรีบลุกขึ้นยืน ขยับมานั่งฝั่งขวามือของหนิงเหยาทันที

หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันกุมมือของนางไว้เบาๆ หลับตาลง เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

……

สามวันต่อมา

หัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่และในนครแห่งนี้ล้วนพูดคุยเรื่องของคนหนุ่มแห่งจวนหนิงกันมาสามวันเต็มแล้ว

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ได้เห็นกระท่อมน้อยใหญ่สองหลังที่คุ้นเคยนั้น เฉินผิงอันก็เก็บเรือยันต์ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ผู้น้อยคารวะผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่”

เฉินชิงตูที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงพยักหน้าเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะปลาบปลื้ม “ไม่ละโมบในผลประโยชน์เล็กๆ จากฟ้าดิน ก็คือเงื่อนไขใหญ่ที่จะทำให้ผู้ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปได้ไกลมากขึ้น แม่หนูหนิงไม่ได้มาด้วย ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะมาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับข้าสินะ?”

เฉินผิงอันกำลังสองจิตสองใจว่า สองเรื่องใหญ่นี้ เขาควรจะพูดเรื่องไหนก่อนดี

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “เดินไปคุยกันไป มีอะไรก็พูดมาตามตรง”

เฉินผิงอันลังเลอยู่อีกครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส ท่านมองเห็นจุดจบนั้นแล้วใช่ไหม?”

เฉินชิงตูอืมรับหนึ่งที “กำลังคำนวณเวลา”

เฉินผิงอันถามอีก “ผู้อาวุโส ท่านเคยคิดจะพาผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดย้อนกลับไปที่ใต้หล้าไพศาลบ้างหรือไม่?”

เฉินชิงตูยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเคย”

เฉินผิงอันสีหน้าซีดเผือด

เฉินชิงตูสืบเท้าเดินเนิบนาบ เอ่ยเนิบช้า “กาลเวลายาวนานเป็นหมื่นปี ข้าเคยเจอคนต่างถิ่น คนหนุ่มที่น่าสนใจมากมาส่วนหนึ่ง ช่วงไม่นานมานี้ก็คือจั่วโย่วที่วิชากระบี่ดีมาก เมื่อหลายปีก่อนก็คือเด็กหนุ่มเฉาสือคนนั้น ก่อนหน้านั้นอีกหน่อยก็คืออาเหลียง ขยับไปอีกหน่อยก็คือเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีป ขยับไปอีกก็คือบัณฑิตคนหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตอนนั้นยังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและปณิธานอันฮึกเหิม ไม่มีท่าทางทอดอาลัยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านั้นก็ยังพอมีอีกส่วนหนึ่ง รวมๆ กันแล้วก็ประมาณสิบคนกระมัง ทุกครั้งที่ได้พบพวกเขา ข้าก็จะไม่รู้สึกผิดหวังต่อใต้หล้าไพศาลมากขนาดนั้นอีกแล้ว แต่อาศัยแค่คนหนุ่มที่ถือว่าเป็นคนต่างถิ่นมาตั้งนานแล้วพวกนี้ จะได้อย่างไร? คนและเรื่องราวที่ทำให้คนผิดหวัง มีมากมายเกินไปจริงๆ”

เฉินชิงตูยกสองมือขึ้น แบฝ่ามือออกประหนึ่งสองด้านของตาชั่ง เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ที่ใต้หล้าไพศาล บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักอาคมเคยมาพบข้า ถือเป็นการใช้เต๋าถามกระบี่ได้อยู่กระมัง คนหนุ่มนี่นะ ล้วนมีปณิธานสูงส่งยาวไกล ยินดีจะเอ่ยถ้อยคำยิ่งใหญ่ทรงพลังอยู่เสมอ”

แล้วเฉินชิงตูก็หัวเราะ “บางเรื่องเขาก็รู้สึกว่าหลักการเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสามารถกลายมาเป็นไม้ใหญ่ กลายมาเป็นรากฐานที่จะไม่ถูกวิถีทางโลก ธรรมเนียมปฏิบัติของคนบนโลกผลักดันให้สั่นคลอน แต่ในสายตาข้า อันที่จริงกลับไร้เดียงสานัก แต่คำพูดที่ไม่ตั้งใจบางอย่างก็ถือว่าไม่เลว เมื่อวิถีทางโลกแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา น้ำหนักก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หยั่งรากลงในโลกมนุษย์ลึกขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าเขาในเวลานั้นยังตระหนักไม่ถึงก็เท่านั้น ก็ดีเหมือนกัน ถึงได้มีพื้นที่เหลือให้แตกกิ่งก้านสาขาในภายหลังอย่างไรเล่า”

เฉินชิงตูชี้ไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้ “ที่นั่นเคยมีบรรพบุรุษใหญ่ของเผ่าปีศาจเสนอความคิดหนึ่ง ให้ข้ามาลองพิจารณาดู เฉินผิงอัน เจ้าลองเดาดูสิ”

เฉินผิงอันเอ่ย “ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้หล้าไพศาลเป็นของพวกเขาเผ่าปีศาจ”

ดูเหมือนว่าเฉินชิงตูจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่คนหนุ่มเดาคำตอบได้ถูกต้อง เขาถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงปฏิเสธ? ต้องรู้ว่าคำสัญญาของอีกฝ่ายก็คือ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่แค่ยอมเปิดทางให้ก็พอเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเขาออกกระบี่”

เฉินผิงอันตอบ “นี่ก็คือจุดที่อันตรายที่สุดของเจตนาอีกฝ่าย ในขั้นตอนที่ยอมถอยและเปิดทางให้ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะต้องแยกแตก จิตใจคนระส่ำระส่าย ในเวลานี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่กี่คนที่รู้สึกเป็นศัตรูกับใต้หล้าไพศาล บนเส้นทางสายนั้นก็จะยิ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากยิ่งกว่าที่สูญเสียความเชื่อใจในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เลือกที่จะจากไป หรือไม่ก็เลือกที่จะออกกระบี่อย่างเดือดดาล ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลายเป็นปฏิปักษ์กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ บางทีสุดท้ายแล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจจะได้ครอบครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จริง แต่ย่อมไม่มีทางรักษาฟ้าดินอันกว้างขวางนี้ไว้ได้อย่างแน่นอน ผ่านไปร้อยปีพันปีให้หลัง เผ่าปีศาจไม่สะดุดตาที่ถูกทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนั้นก็จะลุกผงาดขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีเหตุผลใหญ่ให้กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญอีกแล้วก็จะค่อยๆ ถูกลดทอนปณิธานกระบี่ไปทีละนิดท่ามกลางชีวิตที่สงบสุข สุดท้ายใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังคงเป็นใต้หล้าของเผ่าปีศาจ เว้นเสียแต่ว่าผู้อาวุโสยินดีที่จะจับตามองใต้หล้าเอาไว้ ทุกครั้งที่มีเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนปรากฏตัวตนหนึ่งก็จะออกกระบี่สังหารตนหนึ่ง หากข้าเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของเผ่าปีศาจผู้นั้น จะถึงขั้นไม่ต้องให้ลงนามสัญญาอะไรเลยด้วยซ้ำ จะยอมให้ผู้อาวุโสออกกระบี่ได้ตามสบาย ออกกระบี่ได้ตามใจชอบ ร้อยปีพันปี สักวันหนึ่งตัวผู้อาวุโสเองก็จะต้องเหนื่อยล้ากายใจ แม้เรี่ยวแรงจะยังมีเหลือ แต่การออกกระบี่กลับช้าขึ้นทุกที ถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายแล้ววันหนึ่งท่านก็จะไม่ยินดีออกกระบี่อีกต่อไป”

เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “พูดได้ดี”

เฉินผิงอันค่อยๆ ใช้ความคิดใคร่ครวญไปช้าๆ แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “แต่นี่เป็นเพียงแค่สาเหตุเพราะท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ไม่พยักหน้าตอบตกลงเท่านั้น เพราะเมื่อผู้อาวุโสทอดสายตามองไป สิ่งที่ตามองเห็นล้วนเป็นเรื่องที่เห็นมาจนชินเป็นพันๆ ปี หมื่นๆ ปีแล้ว ถึงขั้นที่ว่าท่านต้องตัดขาดความสัมพันธ์กับทางตระกูล ถึงจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง แต่นอกจากผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว ทุกคนล้วนมีใจที่เห็นแก่ตัว คำว่าใจที่เห็นแก่ตัวของข้านี้ ไม่เกี่ยวข้องกับความดีหรือความเลว แต่เพราะเป็นคน จึงต้องมีอารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ อริยะสามลัทธิที่เฝ้าพิทักษ์ที่นี่ก็มีเช่นกัน คนที่มียังมีชีวิตอยู่ในโลกของตระกูลใหญ่ทุกตระกูลที่ล้วนเคยมีเซียนกระบี่รบตายไป ก็ยิ่งมี คนที่ไปมาหาสู่กับภูเขาห้อยหัวและใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาโดยตลอด ก็ยิ่งมี”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีป ไม่ใช่คนต่างถิ่นมากมายขนาดนั้นที่ยินดีออกจากใต้หล้าไพศาลมาร่วมสังหารศัตรูที่นี่ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็ไม่อาจควบคุมใจคนของหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ได้เช่นกัน”

เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “พูดได้ไม่ผิด”

เฉินผิงอันกล่าว “ผู้น้อยก็แค่คิดถึงเรื่องไหนก็พูดเรื่องนั้น แต่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กลับสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่จริงแท้แน่นอน อีกทั้งทำทีก็นานเป็นหมื่นปี!”

เฉินชิงตูหัวเราะ “เข้าใจพูดกว่าอาเหลียงเสียอีก”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เฉินชิงตู “เรื่องเป็นพ่อสื่อไปสู่ขอ ข้าจะออกหน้าด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้น้อยยังไม่ทันได้เปิดปากขอร้องเลยนะ…”

เฉินชิงตูหันหน้ามายิ้มถาม “ลำบากใจรึ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย มีอะไรให้ต้องลำบากใจกัน!”

เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉยากจนนั่น สืบทอดวิชาความรู้กันมาหมดเลย”

เฉินชิงตูโบกมือ “แม่หนูหนิงแอบตามมา ไม่ถ่วงเวลาการชมจันทร์ต่อหน้าบุปผาของพวกเจ้าสองคนแล้ว”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขวาที่พันผ้าไว้อย่างแน่นหนาออกมา กุมหมัดค้อมเอวคารวะด้วยท่าทางจริงจัง “เฉินผิงอันผู้เดียวของใต้หล้าไพศาล กล้าเอ่ยประโยคหนึ่งแทนคนทั้งใต้หล้าไพศาลว่า มิกล้าปฏิเสธของที่ผู้ใหญ่มอบให้ ยิ่งมิอาจลืม!”

เฉินชิงตูพูดกลั้วหัวเราะ “กลัวเจ้าแล้วจริงๆ”

ผู้เฒ่าโบกมือ จวนหนิงที่อยู่ในนคร เจี้ยนซียนที่เลื่อนขั้นเป็นระดับอาวุธเซียนแล้วยังคงถูกบีบให้ออกมาจากฝัก เพียงชั่วพริบตาก็แหวกพันธนาการฟ้าดินมาโผล่บนหัวกำแพงอย่างเงียบเชียบ ถูกผู้เฒ่ากุมไว้ในมือง่ายๆ มือหนึ่งของเขาถือกระบี่ อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วปาดช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฮ่าวหรันชี่กับเต้าฝ่ามักจะชอบตีกันอยู่อย่างนี้ เก่งกันแต่ในโปงผ้าห่มตัวเองก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอาศัยความอาวุโสและอายุที่มากกว่านี้ ช่วยเจ้าจัดการกับปัญหาเล็กๆ เรื่องหนึ่งก็แล้วกัน”

ผู้เฒ่าดันปลายกระบี่ไว้ครู่หนึ่ง พอเก็บมือมา มือที่ถือกระบี่ก็เหวี่ยงเบาๆ เจี้ยนเซียนพลันถูกโยนกลับเข้าไปสอดตัวในฝักกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะของจวนหนิง

เฉินผิงอันปากอ้าตาค้าง

เฉินชิงตูหมุนตัวกลับแล้ว เขาเอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยว่า “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ ใจกล้าๆ หน่อย”

……

บนหัวกำแพงเมืองที่ฟ้าดินเงียบสงัด หนิงเหยากับเฉินผิงอันเดินเคียงบ่ากันไป

หนิงเหยาชูแผ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นสูง ใต้แสงจันทร์ มันส่องแสงระยิบระยับแวววาว

ด้านหน้าสลักสองคำว่า ‘ผิงอัน’ เพราะฉะนั้นนี่จึงถือว่าเป็นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่สมชื่อที่สุดในใต้หล้าชิ้นหนึ่งแล้ว

นางพลิกกลับเบาๆ ด้านหลังสลักตัวอักษรสี่คำว่า จิตข้าไร้นิวรณ์

นางชูแผ่นหยกขึ้นสูง แหงนหน้าขึ้น เดินไปพลางถามชวนคุยไปด้วย “คุยกันเรื่องอะไรบ้าง?”

เฉินผิงอันที่เดินอยู่ข้างกายหนิงเหยาเอ่ยว่า “สุดท้ายผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่บอกกับข้าว่าให้ใจกล้าหน่อย ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร”

หนิงเหยากุมแผ่นหยกไว้ในมือ หยุดเดิน ใช้แผ่นหยกเคาะหน้าผากเฉินผิงอันเบาๆ พูดสั่งสอนว่า “ความซื่อความจริงใจของใครบางคนในปีนั้นหายไปไหนหมดแล้ว?”

เฉินผิงอันพลันทรุดตัวลงนั่งยอง หันหน้ากลับมา แล้วตบหลังของตัวเอง

ปีนั้นตอนที่อยู่ในสุสานเทพเซียนของถ้ำสวรรค์หลีจู หนิงเหยาเคยแบกเฉินผิงอันมาก่อน

ใบหน้าหนิงเหยาเต็มไปด้วยความดูแคลน แต่ใบหูกลับแดงก่ำ

เฉินผิงอันไม่ได้ลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้หนิงเหยาก็มีเรื่องที่ไม่กล้าเหมือนกันหรือ?”

สุดท้ายบนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันแบกหนิงเหยา ฝีเท้าเนิบช้า

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันแบกสตรีที่ตัวเองรัก ก็ราวกับแบกแสงจันทร์ทั้งหมดในใต้หล้าที่ชวนให้คนหลงใหลเอาไว้

เดินไปเดินมา หนิงเหยาพลันหน้าแดงเถือก ดึงหูเฉินผิงอันแล้วบิดอย่างแรง “เฉินผิงอัน!”

เฉินผิงอันร้องโอ้ยหนึ่งที รีบเบี่ยงหน้าหันตามหูที่ถูกดึง

หนิงเหยาเขกท้ายทอยของเจ้าหมอนี่ พูดอย่างเขินอายปนขุ่นเคือง “หากเจ้ายังทำแบบนี้ ข้าจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างน้อยใจ “ก็ได้ๆๆ”

บนหัวกำแพงเมืองพลันปรากฏร่างของผู้เฒ่าหน้าตาคร่ำเคร่งคนหนึ่ง “เจ้าวางแม่หนูเหยาของข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”

หนิงเหยาจึงเอ่ยเบาๆ “เขาคือท่านตาของข้า”

เฉินผิงอันจึงเตรียมจะปล่อยหนิงเหยาลงอย่างขลาดๆ

“แบกไว้!”

คิดไม่ถึงว่าห่างออกไปไกลจะมีเสียงคนพูดดังขึ้นมา ประโยคหนึ่งคือพูดกับเฉินผิงอัน ส่วนประโยคถัดมานั้นพูดกับผู้เฒ่า “เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?”

สมกับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของสายเหวินเซิ่งจริงๆ