ตอนที่ 1125 ลอบเข้าทะเลทราย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น

หลังจากเร่งทำงานติดต่อกันหลายวัน บริเวณเทือกเขารอบเขาผ่านพิภพที่หันหน้าไปยังทะเลทรายหนานฮวงก็ก่อสร้างป้อมปราการน้อยใหญ่หลายสิบหลังขึ้นมาอย่างเร่งด่วน อาศัยความได้เปรียบทางชัยภูมิสร้างแนวป้องกันอันแข็งแกร่งประหนึ่งปราการเหล็ก

บนป้อมปราการ ผู้ฝึกฝนกองแล้วกองเล่าลาดตระเวนไปมาอย่างเป็นระเบียบ ส่วนบนกำแพงของป้อมปราการแต่ละช่วงจะเห็นหน้าไม้ขนาดยักษ์และอาวุธเวทขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงเข้มข้นออกมาเป็นพักๆ อยู่จุดหนึ่ง

ลำแสงหลายสายเหาะไปมาบนท้องฟ้าเป็นระยะ เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่สวมใส่อาภรณ์หลากหลายแบบ แล้วยังมีกลุ่มย่อยหลายสิบคนมาเสริมตามป้อมปราการแต่ละแห่งเป็นระยะ ทุกสิ่งดูเหมือนเป็นระเบียบเรียบร้อย

สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องยกความดีความชอบให้การก่อตั้งพันธมิตรหนานฮวง ภายในเวลาสั้นๆ เท่านี้แต่จัดระบบที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ ทำให้สถานการณ์ที่เดิมทีสับสนวุ่นวายเล็กน้อยของเขาผ่านพิภพเป็นระเบียบขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง

นอกเหนือจากนี้เขาผ่านพิภพอันสูงตระหง่านทั้งลูกก็เห็นชัดว่าถูกม่านแสงสีเทาหม่นล้อมเอาไว้ เริ่มตั้งแต่ไหล่เขา บนม่านแสงมียันต์อันลี้ลับไหลเคลื่อนไม่หยุดอยู่เลือนราง มองจากไกลๆ แลดูขมุกขมัวมองเห็นสภาพทุกสิ่งด้านในภูเขาไม่ชัดสักนิด

บนป้อมปราการที่สร้างชิดภูเขาแห่งหนึ่ง แสงสีดำสายหนึ่งเหาะเร็วรี่มาจากไกลๆ หลังจากวนบนท้องฟ้ารอบหนึ่งก็ร่อนลงบนกำแพงป้อมปราการ

แสงสีดำดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา

บนกำแพงป้อมปราการ ซือโห่วผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์จากหุบเขาปีศาจสวรรค์กับผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนยืนอยู่ที่นี่แล้ว

“ผู้อาวุโสซือโห่วและสหายทุกท่าน ขออภัยด้วย ข้าทำพันธะกับอาวุธเวทชิ้นหนึ่งอยู่จึงทำให้เสียเวลา ปล่อยให้ทุกท่านรออยู่ที่นี่นาน” หลิ่วหมิงก้าวเร็วไวเดินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย

“พวกเราก็เพิ่งมาถึง สหายหลิ่วไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” ซือโห่วโบกมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

ข้างกายซือโห่วมีศิษย์ระดับผลึกที่สวมชุดของหุบเขาปีศาจสวรรค์ยืนอยู่สามสี่คน หลังจากเห็นหลิ่วหมิง พวกเขาต่างประสานมือคำนับ หลิ่วหมิงย่อมไม่วางท่า คำนับคืนทีละคน

นอกจากคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์ เสื้อผ้าของคนที่เหลือล้วนแตกต่างกัน น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนจากกลุ่มอำนาจขนาดเล็กกับขนาดกลางแต่ละแห่งในหนานฮวง

คนหนึ่งในนั้นร่างกายกำยำ เส้นผมยาวสีแดงเพลิง เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงจดจำคนผู้นั้นได้ค่อนข้างชัดเจน เขาก็คือผู้ฝึกร่างจากเขามังกรน้ำตาลผู้นั้นที่ตนเคยพบวันที่มาถึงเขาผ่านพิภพ

ทั้งหน่วยรวมหลิ่วหมิง มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สี่คน ส่วนที่เหลือล้วนเป็นศิษย์ระดับผลึก

“ในเมื่อสหายหลิ่วมาถึงแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราเตรียมตัวสักหน่อยก็ออกเดินทางเถิด กลุ่มอื่นเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว” ซือโห่วกวาดสายตามองรอบด้านครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้

ผู้ที่อยู่ตรงนั้นฟังจบย่อมไม่คัดค้าน

ครู่ต่อมาท้องฟ้าเหนือเขาผ่านพิภพที่เริ่มมืดสลัวก็มีคนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นลำแสงสายแล้วสายเล่าเหาะไปยังทะเลทรายหนานฮวงเสมือนหนึ่งเมฆหลากสีสายหนึ่ง แล้วหายลับไปในพริบตา

……

สิบกว่าวันให้หลัง คณะเดินทางของหลิ่วหมิงก็ระหกระเหินมาไกลจนถึงขอบของทะเลทรายหนานฮวงในที่สุด

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองก็เห็นทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่งที่มีเม็ดทรายสีเหลืองคล้ำอยู่ตรงหน้า แต่เวลานี้เหนือทะเลทรายทั้งผืนเห็นแต่สายลมคลั่งดุดันระลอกแล้วระลอกเล่า ลมหมุนมหึมาดุจต้นเสาขนาดหนึ่งจั้งกว่าพัดขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่งเป็นระยะ

เม็ดทรายสีดำปกคลุมผืนฟ้าบดบังท้องนภาไปเกินครึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกมืดมิดประหนึ่งไร้ดวงตะวัน

หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าใจว่า “วันทรายทมิฬ” ที่เรียกกันหมายความว่าอย่างไร

“พายุทรายทมิฬเริ่มอาละวาดแล้ว พอดีพวกเราจะได้อาศัยสิ่งนี้ปิดบังร่องรอย จากข่าวที่พันธมิตรสืบมาได้ พายุทรายอันรุนแรงจะส่งผลต่อประสาทสัมผัสของเผ่าหนอนผีเสื้อ แต่ทุกท่านอย่าได้ประมาท ระหว่างทางกลบกลิ่นอายของตนเองให้ได้มากที่สุด อย่างไรครั้งนี้ก็คือภารกิจลอบเข้าแดนศัตรู เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางเถอะ” ซือโห่วหันหน้าไปเอ่ยกับคนอื่นๆ ประโยคหนึ่ง จากนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีเหลืองเหาะเข้าไปในพายุทรายสีดำ

ทุกคนสบตากันแล้วต่างใช้วิชาลับซ่อนคลื่นพลังเวทบนร่าง ปล่อยแสงคุ้มกันร่างออกมาเพียงชั้นเดียวเพื่อป้องกันพายุทราย หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าตามซือโห่วไป

ระหว่างทางอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของซือโห่วกวาดสำรวจ ทุกคนจึงหลบเลี่ยงจุดที่เผ่าหนอนผีเสื้อรวมตัวกันได้แห่งแล้วแห่งเล่า

ทว่ายิ่งเข้ามาลึกในทะเลทราย ทิวทัศน์รอบด้านก็เปลี่ยนแปลงตาม

เพราะพายุฝุ่นทราย แสงรอบด้านจึงสลัวอย่างยิ่ง ดวงตะวันเหนือศีรษะแทบจะมองไม่เห็น เม็ดทรายสีดำกระทบบนเกราะแสงคุ้มกันร่างของผู้ฝึกฝนทุกคนถี่ยิบจนเกิดเสียงเกรียวกราวประหนึ่งเม็ดฝนกระทบใบตอง

บนร่างของหลิ่วหมิงยามนี้มีปราณสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งล้อมอยู่ จึงกั้นสายลมคลั่งกับเม็ดทรายสีดำเหล่านั้นได้อย่างสบายๆ

ส่วนผู้ฝึกฝนคนอื่นไม่กล้าใช้อาวุธเวทคุ้มกันกายที่คลื่นพลังเวทรุนแรงเพราะคำพูดของซือโห่ว

เมื่อเผชิญหน้ากับพายุทรายทมิฬที่ดุดันเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งหลายไม่เป็นอันใด แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหล่านั้นนานเข้าเห็นชัดว่ากินแรงอยู่บ้าง

ทันใดนั้นซือโห่วที่เหาะอยู่ด้านหน้าสุดก็หยุด เขาหันหลังกลับไปมองผู้คนด้านหลัง แล้วสะบัดแขนเสื้อยาวอย่างไม่พูดพร่ำ เรียกธงน้อยสีเหลืองเข้มผืนหนึ่งออกมา

ทันใดนั้นธงน้อยผืนนี้ก็เปล่งแสง บนผิวปรากฏวงแหวนแสงสีเหลืองหม่นวงหนึ่งล้อม เมื่อซือโห่วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา หมอกสีเหลืองเข้มผืนหนึ่งก็ผุดออกมาจากธงผืนน้อยและขยายพรวดออกมาล้อมผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้ไว้ทั้งหมด

ทันทีที่พายุทรายอันร้ายกาจรอบด้านสัมผัสไอหมอกสีเหลืองเข้มเหล่านี้ มันก็หายไปไร้ร่องรอยในพริบตาประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมทะเล

ทุกคนรู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ศิษย์ระดับผลึกเหล่านั้นต่างมีท่าทางโล่งอก

หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง หมอกสีเหลืองเหล่านี้ดูแล้วไม่สะดุดตาสักนิด แต่กลับกั้นการจู่โจมของพายุทรายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ อีกทั้งคลื่นพลังเวทที่ปล่อยออกมาก็น้อยยิ่งกว่าน้อย ปะปนอยู่กับลมพายุ สัมผัสพบยากอย่างที่สุด

“นี่ก็คือธงซ่อนทราย แม้นับไม่ได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอันใด แต่ด้านการปิดบังคลื่นพลังเวทมีประโยชน์ไม่เลว” ซือโห่วมองผู้คนรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้นมา

ทุกคนได้ยินย่อมดีใจยิ่ง พากันเอ่ยขอบคุณซือโห่ว

“พวกเจ้าฟื้นพลังให้ดี หลังจากนี้ยังมีศึกหนักรอพวกเราอยู่” ซือโห่วหัวเราะหึแล้วยกมือขึ้นกวัก ธงซ่อนทรายโอบล้อมร่างของทุกคนแล้วเหาะเข้าไปในพายุทราย

หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หายไปท่ามกลางพายุทรายสีดำอันเวิ้งว้าง

……

ทะเลทรายหนานฮวงกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก พื้นที่กว้างถึงแสนลี้ พวกหลิ่วหมิงเหาะอยู่เกินครึ่งวันเต็มๆ กว่าจะเข้าใกล้จุดหมายของการเดินทางครั้งนี้

ทัศนวิสัยพร่ามัวอย่างยิ่ง เม็ดทรายสีดำโถมเข้าใส่หน้าประหนึ่งกระแสคลื่น แม้มีหมอกสีเหลืองปกป้องอยู่แต่มันก็กระเพื่อมเป็นระยะ

เวลานี้พวกเขาระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางไม่หยุดเพื่อหลบเลี่ยงจุดที่เผ่าหนอนผีเสื้อรวมตัวกันซึ่งพบถี่ขึ้น

โชคดีทรายสีดำบริเวณนี้หนาแน่นยิ่งนักและเคลื่อนไหวเร็วอย่างยิ่งจึงปิดบังร่องรอยของคณะเดินทางได้อย่างดี

อิทธิฤทธิ์ในการซ่อนตัวของธงซ่อนทรายช่างโดดเด่น แม้อยู่ใกล้เผ่าหนอนผีเสื้อมาก พวกมันก็ไม่รู้สึกถึงร่องรอยของพวกหลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางพายุทรายสีดำลูกใหญ่เช่นนี้

ครั้งหนึ่งแมลงยักษ์เผ่าหนอนผีเสื้อหลายสิบตัวถึงขั้นเหาะผ่านข้างกลุ่มของหลิ่วหมิงไปทั้งที่อยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยจั้ง แต่พวกมันกลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกหลิ่วหมิง

ทุกคนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ท่ามกลางหมอกสีเหลือง เฝ้าระวังสถานการณ์รอบด้านอยู่ตลอดเวลา

คนทั้งกลุ่มเหาะผ่านเนินทรายมหึมาสูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที

หน้าเนินทราย เงาสีดำเลือนรางขนาดมหึมาร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนตรงเข้ามาด้านนี้อย่างรวดเร็วความเร็วว่องไวยิ่งนัก

ดวงตาทั้งสองข้างของหลิ่วหมิงทอแสงสีดำวูบหนึ่ง สายตามองทะลุพายุทรายจนเห็นเงาสีดำร่างนั้นชัดเจนในพริบตา

มันคือแมลงยักษ์สีดำสูงเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่ง ขนาดตัวของเจ้าตัวนี้เหมือนจะเล็กกว่าเผ่าหนอนผีเสื้อสีดำหน้าคนตัวนั้นที่เขาสังหารก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย แต่ดูจากลมปราณแล้วเห็นชัดว่าเป็นเผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้เช่นเดียวกัน

ทว่าแมลงตัวนี้ประหลาดยิ่งนัก ขาหลังอันแข็งแกร่งสองข้างและเกราะสีดำสลับเหลืองบนร่างมีของเหลวสีเขียวไหลออกมาเป็นระยะ เมื่อทรายสีดำรอบด้านกระทบบนนั้นฉับพลันก็เกิดควันสีเทาลอยขึ้นมาเป็นหมอกขมุกขมัว บนหัวมีดวงตานูนขึ้นมาสามดวงเหมือนจะหลุดออกมาจากร่าง หน้าตาน่ากลัวยิ่งนัก

แมลงยักษ์ที่หน้าตาเหมือนตั๊กแตนตัวนี้กระทืบขาหลังครั้งหนึ่งก็พุ่งพรวดมาด้านหน้าหลายสิบจั้งในพริบตาราวกับเหาะ แต่ละครั้งที่กระโดดทิ้งหลุมมหึมาลึกหนึ่งจั้งกว่าสองหลุมไว้บนพื้นทราย พายุทรายบ้าคลั่งรอบด้านไม่มีผลกับมันแม้แต่น้อย

แมลงตัวนี้ปรากฏตัวกะทันหันยิ่งนัก ทุกคนไม่ทันหลบ แมลงยักษ์ตัวนั้นก็อยู่ห่างกลุ่มของพวกหลิ่วหมิงไม่ถึงสามสิบจั้งแล้ว ดวงตาสามข้างของมันทอประกายเย็นเยียบ ก่อนจะอ้าปากกรีดร้อง ขาหลังอันแข็งแรงกระทืบพื้นครั้งหนึ่ง ร่างกายพลันกลายเป็นแสงสีดำกระโจนเข้ามาในทันใด

ซือโห่วขมวดคิ้วแล้วสะบัดมือ ธงน้อยสีเหลืองเข้มเหนือศีรษะส่องสว่างวูบหนึ่ง อาณาเขตที่ถูกเมฆสีเหลืองล้อมอยู่พลันขยายขึ้นสิบเท่า ล้อมแมลงยักษ์ประหลาดตัวนี้ไว้ด้านในด้วย

“สังหารแมลงตัวนี้เร็ว อย่าให้มันดึงความสนใจของแมลงตัวอื่นมา” ซือโห่วออกคำสั่ง แต่ตนเองกลับไม่ลงมือ

ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ลงมือแต่ละครั้งล้วนทำให้เกิดคลื่นพลังปราณรุนแรง หากลงมือกลับจะดึงความสนใจของแมลงตัวอื่นได้ง่าย

ผู้ฝึกฝนคนอื่นได้ยินต่างรับคำแล้วล้อมเข้าไป

แมลงที่หน้าตาเหมือนตั๊กแตนไม่สนใจเมฆสีเหลืองที่ล้อมอยู่รอบตัวสักนิด ร่างกายของมันกลายเป็นเงาลวงสีดำร่างหนึ่งกระโจนเข้าใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นขาหน้าที่เหมือนเคียวสองข้างก็ฟันเข้าใส่ร่างของหลิ่วหมิง

ดวงตาของหลิ่วหมิงทอแสงวูบหนึ่งขณะแค่นเสียงหยัน ร่างกายพร่าเลือนวูบเดียวก็ปรากฏตัวขึ้นหลังร่างตั๊กแตนยักษ์ในพริบตา เงาหมัดสีดำสายหนึ่งกระแทกบนหัวใหญ่ยักษ์ของตั๊กแตนอย่างรุนแรง

กำปั้นยังไม่ทันสัมผัสถูกแมลงยักษ์ แรงกดดันอันหนักหน่วงจากหมัดที่ทำให้คนหายใจไม่ออกก็โถมมาถึงในพริบตา

ตอนนี้เองแววตาหวาดหวั่นพลันผุดขึ้นในดวงตาของแมลงยักษ์ แต่ปฏิกิริยาของมันว่องไวพอตัว ร่างกายจึงหดตัวทันทีคิดจะหลบการโจมตีนี้

ทว่าอึดใจต่อมาตั๊กแตนยักษ์กลับพบว่าเมื่อมันขยับร่าง เงาหมัดสีดำก็เบี่ยงตามมาประหนึ่งเงาตามตัว แล้วร่วงลงบนหัวของมันอย่างพอดิบพอดีเช่นเดิม

แมลงยักษ์ตกตะลึง ก่อนที่เงาหมัดจะสัมผัสถูกหัวของมัน รอบร่างพลันเปล่งแสงสีดำชั้นหนึ่งก่อตัวเป็นเกราะปราณสีดำชั้นหนึ่งในพริบตา

“บึ๊ม” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น!

เกราะปราณสีดำแตกสลายพร้อมเสียงนั้น ตั๊กแตนยักษ์ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งโจมตีเสียงดังสนั่น ร่างกายโอนเอนวูบหนึ่งถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าว เลือดเป็นสายพุ่งออกมาจากหัวในพริบตา