ราชันเร้นลับ 1272 : ‘ฤดูใบไม้ผลิ’

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

‘ราชันกาลเวลาและห้วงมิติ’ ‘ดวงประทีปแห่งชะตากรรม’ ‘ร่างอวตารของปราสาทต้นกำเนิด’ ‘ผู้ปกครองโลกวิญญาณ’ ‘ราชันเร้นลับ’ … หมายความว่า ‘เร้นลับ’ ที่เทพสุริยันบรรพกาลเคยเรียกขานหมายถึง ‘ราชันเร้นลับ’ … ไคลน์ไล่พึมพำทุกชื่อพลางพบว่าเงาแห่งความกลัวภายในใจตนเองเริ่มเติบโต

มันผุดคำถามหนึ่งทันที ลังเลสักพักก่อนจะตัดสินใจพูด

“เท่าที่ข้าทราบ ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคปรากฏตัวก่อนที่อารยธรรมสุดท้ายจะล่มสลาย”

หลังจากเจ็ดแสงมองหน้ากัน แสงเหลืองเวนิธานที่ร่างกายโปร่งแสงประหนึ่งสัตว์วิญญาณถอนหายใจยาว

“พวกเราไม่ทราบเรื่องนั้น เมื่ออารยธรรมสุดท้ายสิ้นสุดลงและ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ ลืมตาตื่น เจ็ดแสงรุ่นก่อนหน้าล้วนถูกลบหายไป พวกเราเป็นแสงพิสุทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นภายในโลกวิญญาณจากยุคสมัยที่หนึ่ง… อย่างไรก็ดี พวกเราพอจะมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับ ‘ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ’ อยู่บ้าง ซึ่งนั่นอาจช่วยตอบคำถามของท่านได้”

ไคลน์เผยสีหน้าตั้งใจฟังทันที

แสงเหลืองเวนิธานกล่าวต่อ

“พวกเราสงสัยว่า ‘วันวาน’ ที่โลดแล่นในยุคแรก บางส่วนอาจเป็น ‘เทพภายนอก’ ที่ถูกโลกนี้ดึงดูดเข้ามา และบางส่วนเกิดจากการกระตุ้นโดยแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด หรือกล่าวได้ว่า ‘วันวาน’ บางตนนั้นเทียบได้กับ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ เพราะเป็นร่างอวตารบุคลิกภาพของพระองค์ที่ถูกแบ่งออกมา… สิ่งใดที่แยกจากกันต้องกลับมารวมกันในที่สุด และสิ่งที่รวมกันต้องแยกจากกันในที่สุด นิยามนี้ไม่เพียงใช้กับตะกอนพลัง แต่ยังรวมไปถึงตัว ‘ปฐมต้นกำเนิด’ เองด้วย ดังนั้น แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดและตะกอนพลังที่มีต้นตอจากตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ดังกล่าว จึงมีแนวโน้มที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และเนื่องจาก ‘ปฐมต้นกำเนิด’ เป็นศูนย์รวมของความขัดแย้งทั้งหมดในจักรวาล หลังจากแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดและตะกอนพลังผสานเข้าด้วยกัน มันจะแยกออกจากกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง”

นี่คือที่มาของกฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง? ‘เทพแห่งตะเกียง’ คือ ‘เทพภายนอก’ ผู้โชคร้ายที่ถูกดึงดูดมายังโลกและได้พบกับ ‘ราชันเร้นลับ’ ? ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ขัดจังหวะ รอคอยอย่างอดทนให้แสงเหลืองเวนิธานแสดงความเห็นเพิ่มเติม

เวนิธานในชุดคลุมสีเหลืองมะนาวจ้องหน้าไคลน์และพูด

“บางที ‘ปฐมต้นกำเนิด’ อาจค้นพบแนวโน้มที่จะแยกตัวในระหว่างที่พระองค์กำลังหลับ จึงทำการแยกจิตออกเป็นหลายส่วน และใช้จิตเหล่านั้นแอบแทรกแซงโลกในชื่อที่ต่างกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการ ‘แยกตัว’ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อร่างต้นของพระองค์ลืมตาตื่น… ชื่อเหล่านั้นอาจประกอบด้วย ‘พระเจ้า’ หรือ ‘ราชันสวรรค์’ …”

สมเหตุสมผล สามารถอธิบายข้อสงสัยของเราได้มากมาย… ไคลน์กระจ่างทันที

มันครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเจ้าเชื่อว่า ‘ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ’ คือส่วนหนึ่งของ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ และในบางแง่มุมก็อาจเทียบเท่า ‘ปฐมต้นกำเนิด’ ตัวจริง?”

“ถูกต้อง” แสงส้มฮิลลาเรี่ยนยืนยันคำตอบ ตามด้วยปลอบโยนไคลน์ “แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ท่านผู้ปกครองสูงสุดคนดังกล่าวก็มีสภาพไม่ต่างจากบรรดาจิตอื่นของ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ เจตจำนงและพลังของพระองค์จะยิ่งเลือนรางลงเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าท่านจะเป็นพระองค์หรือไม่ ก็จะไม่มีสิ่งใดฉุดรั้งการต่อต้านของท่านได้ จงรักษาความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันไว้ให้ดี คอยสร้างสมดุลกับพระองค์… หึหึ อย่าลืมว่าการแยกจากคือสิ่งที่มิอาจเลี่ยง”

ไม่ได้สบายใจขึ้นสักนิด… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน

จากนั้น ชายหนุ่มตระหนักถึงปัญหา

ในเมื่อ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ แบ่งจิตออกเป็นหลายส่วน ตราประทับทางจิตภายในตัวผู้วิเศษลำดับสูงย่อมต้องเป็นของ ‘วันวาน’ ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละเส้นทาง…

ถ้าบอกว่า ‘มหาต้นกำเนิด’ ที่ลืมตาตื่นขึ้นในร่างเทพสุริยันบรรพกาลคือ ‘พระเจ้า’ ตามที่เจ็ดแสงเพิ่งอธิบาย เช่นนั้นแล้วใครเป็นเจ้าของตราประทับทางจิตของ ‘มหาต้นกำเนิด’ ที่อยู่ภายในตัวเรา?

ตอบได้ไม่ยาก ไคลน์ทราบคำตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด:

ราชันเร้นลับ ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ ราชันสวรรค์ฟ้าดินผู้ครองพลังโชคลาภ!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มิใช่ว่าราชันสวรรค์ฟ้าดินผู้ครองพลังโชคลาภจะไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ในตัวอย่างที่ไคลน์เข้าใจ แต่ตราประทับทางจิตของอีกฝ่ายได้ตื่นขึ้นภายในร่างกายชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว!

บัดซบ… ไคลน์พลันเย็นเยียบไปทั้งตัว มันเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเทพสุริยันบรรพกาลขึ้นมาบ้างแล้ว

ในตอนนี้ ชายหนุ่มกังวลเป็นอย่างมากว่าสักวันหนึ่ง ตนจะค่อยๆ กลายเป็นคนอื่นโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นราชันเร้นลับ กลายเป็นราชันสวรรค์ฟ้าดินผู้ครองพลังโชคลาภที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

อย่างไรก็ดี การ ‘ตื่น’ ในระดับนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เทวทูตทุกตนต้องเผชิญ คงมิได้ทรงพลังและต่อต้านได้ยากอย่างที่เรากังวล… ส่วนหนึ่งเพราะเราแตกต่างจากเทพสุริยันบรรพกาล ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับตัวตนระดับเทวทูต ไม่ได้ปรองดองกับเอกลักษณ์โดยอัตโนมัติ แต่เป็นการบรรจงเลื่อนลำดับและย่อยโอสถอย่างสมบูรณ์ในทุกขั้นตอน… เราเข้าใจถูกไหม? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องขอบคุณกลุ่มหมอกสีเทาที่ส่ง ‘ม่าน’ ผืนดังกล่าวเข้าไปในดินแดนเทพทอดทิ้ง บางทีนี่อาจเกิดจากความช่วยเหลือของหลายบุคคล… ใช่แล้ว มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด เราเป็นถึงเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ไม่มีทางที่จะถูกกัดกร่อนร้ายแรงเท่ากับเทวทูตลำดับ 2 ตนอื่นแน่นอน… ไคลน์ทำเพียงส่ายหน้าเงียบงัน มิได้ไต่ถามสิ่งใดกับเจ็ดแสงเพิ่มเติมในประเด็นนี้

สำหรับชายหนุ่ม นี่เป็นหนึ่งในความลับแสนสำคัญ ไม่มีทางปล่อยให้บุคคลอื่นทราบว่าสถานะปัจจุบันเป็นเช่นไร

ไคลน์ยกมือขวาขึ้น กำจ่อปากและกระแอมแห้ง:

“พอจะเข้าใจแล้ว”

หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับข้อสงสัยอื่นสักพัก ไคลน์ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ

“ขอบคุณสำหรับคำตอบ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ขอให้พระองค์ได้กลับไปนั่งบนบัลลังก์ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณโดยเร็ว” เจ็ดแสงลุกขึ้นยืนพร้อมกันก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ

พวกเขากำลังแช่งเรา? ไคลน์จิกกัดตัวเองพลางส่งดวงแสงทั้งเจ็ดกลับไปอย่างสุภาพ

จากนั้นก็ใช้พลังเทเลพอร์ตอีกครั้งเพื่อส่งตัวเองกลับไปยังตรอกเงียบภายในกรุงเบ็คลันด์

ไคลน์กดหมวกทรงสูงบนศีรษะขณะเดินไปตามถนน

สิ่งที่ดึงดูดสายตาชายหนุ่มเป็นอันดับแรกคือผู้คนอันคับคั่งที่กำลังรีบเร่งจนเกิดเป็นคลื่นความร้อน

มันเห็นบางคนที่แต่งกายด้วยชุดผ้าลินิน กำลังใช้เลื่อยและเครื่องมือที่คล้ายกันเพื่อตัดต้นไม้ประหลาดสูงลิบ บางคนจับกลุ่มกันซ่อมแซมบ้านเรือนริมถนนที่ได้รับความเสียหายไม่มากนัก และบางคนกำลังถือพายเดซีย์และชาเย็นพร้อมกับรีบวิ่งผ่านไคลน์ไป รวมกับกำลังรีบเสียเต็มประดา บางคนขับรถม้าบรรทุกอาหาร เนื้อสัตว์ และผักไปยังสถานที่ต่างๆ

แม้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าซอมซ่อเต็มไปด้วยรอยเย็บ ใบหน้าเฉยชาและเจ็บปวด แต่ความมีชีวิตชีวาที่แผ่ออกจากร่างกาย ได้สะท้อนเข้ามาในดวงตาไคลน์ประหนึ่งแสงแห่งความหวัง บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยพลังงาน

พวกมันเปรียบดังหญ้าแพรกที่ดิ้นรนดันหินให้พ้นทางหลังจากผ่านฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก

ไคลน์เดินช้าลง เฝ้ามองฉากที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาตรงหน้า

แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้เห็นโลกอันน่าหดหู่ในช่วงหลังของสงครามด้วยตาตัวเอง แต่มันก็ได้ฟังรายละเอียดมากมายจากมิสจัสติสและเลียวนาร์ด ไม่เพียงเท่านั้น มันยังต้องเตร็ดเตร่ท่ามกลางดินแดนเทพทอดทิ้งที่มืดมิดและกดดันยิ่งกว่าเป็นเวลานาน ย่อมช่วยไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์มากมายเมื่อได้เห็นฉากปัจจุบัน

ฤดูใบไม้ผลิกำลังย่างกรายเข้ามา

สีหน้าไคลน์ค่อยๆ ผ่อนคลาย มุมปากบรรจงยกโค้งเล็กน้อย

มันเดินผ่านถนนหนทางและตรอกซอกซอยที่ถูกซ่อมแซมใหม่หลังสงคราม จนกระทั่งมาถึงวิหารนักบุญแซมมวลในเขตเหนือ

จัตุรัสที่นี่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ คนงานกำลังเร่งมือทำความสะอาด นกพิราบขาวจำนวนหนึ่งบินกลับจากที่ใดสักแห่งและร่อนลงในจุดที่พวกมันคุ้นเคย

ไคลน์มองไปรอบตัวแต่กลับไม่พบพ่อค้าแม่ค้าแผงลอย จึงไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบภาพฉายอาหารนกจากอดีตมาโปรยให้พวกมัน

เมื่อนกพิราบขาวบินเรียงกันลงมา ชายหนุ่มเดินผ่านจัตุรัสเข้าไปในวิหารที่กำลังบูรณะหอระฆัง จากนั้นก็นั่งแถวหน้าสุดในโถงสวดมนต์

จ้องมองตราศักดิ์สิทธิ์ที่รายล้อมด้วยดวงดาวและพระจันทร์สีแดงตรงหน้าสักพัก ไคลน์ถอดหมวกพลางประสานมือ หลับตาลงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ

อารมณ์ของชายหนุ่มสงบลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกราวกับกำลังสวดมนต์อยู่จริงๆ

ทันใดนั้นเอง เลียวนาร์ดเจ้าของดวงตาสีเขียวและผมสีดำที่ยาวขึ้นเล็กน้อย แต่งกายในเสื้อกันลมสีดำและถุงมือสีแดง เดินเข้ามาจากประตูทางเข้าหลัก ตรงมาตามทางเดินด้านข้างและนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากไคลน์ไปสองตัว จากนั้นก็เริ่มสวดวิงวอน

ท่ามกลางความเงียบสงัด ไคลน์ลืมตา ลุกขึ้นยืน สวมหมวก และเดินผ่านเลียวนาร์ด

เมื่อมันเดินเข้าใกล้ทางออก เลียวนาร์ดลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อนและเดินตามไป

ทั้งสองเดินไล่หลังกันมา ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงมุมหนึ่งของจัตุรัสด้านนอก

เลียวนาร์ดเฝ้ามองนกพิราบขาวกลุ่มหนึ่งบนพื้น ตามด้วยพึมพำกับตัวเอง

“ผมเป็นอาวุโสใหญ่ของเหยี่ยวราตรีแล้ว มีกำหนดจะกลับไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ในอีกสองวันข้างหน้าเพื่อศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม รวมถึงรับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง”

ในช่วงสุดท้ายของสงคราม เลียวนาร์ดถูกเลื่อนเป็นลำดับ 4 ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ และถูกส่งไปรบแนวหน้า

“ดูเหมือนคุณจะไม่มีความสุขสักเท่าไร” ไคลน์ที่กำลังยืนข้างเลียวนาร์ด ยังคงจ้องนกพิราบและกล่าวโดยไม่หันหน้าไปมอง

เลียวนาร์ดยิ้มเจื่อน

“จะไม่มีความสุขได้อย่างไร… ผมแค่กำลังคิดว่า ศึกระหว่างเทพจบลงเร็วเกินไป เป็นผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเลยสักนิด หมายความว่าความปราชัยอย่างต่อเนื่องในช่วงแรกของสงคราม มิได้เป็นมากไปกว่าเหยื่อล่อ?”

“ก่อนวันนี้ ผมก็เคยคิดแบบเดียวกันคุณ ทั้งสับสนและไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว… ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น… อาจเกิดขึ้นเพราะจำเป็นจริงๆ” ไคลน์ไม่เก็บซ่อนความรู้สึก

เลียวนาร์ดเงียบงันสักพัก สายตาก้มมองนกพิราบขาวที่เดินวนรอบปลายเท้าตน

“ตาแก่ก็พูดแบบเดียวกัน…”

โดยไม่รอให้ไคลน์กล่าวคำใด มันชำเลืองไปทางอดีตเพื่อนร่วมงานและถาม

“คุณเป็นเทวทูตแล้วหรือ”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์บอกกับเลียวนาร์ดแล้วว่า สิ่งที่ไคลน์กำลังทำ คล้ายกับการเตรียมตัวสำหรับพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นเทวทูต

“ใช่” ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา “แต่นี่ไม่ใช่ความรุ่งโรจน์หรืออำนาจ… มีเพียงความเจ็บปวด คำสาป และความรับผิดชอบ”

“ทำไมกัน?” เลียวนาร์ดถามตามความเคยชิน

ไคลน์ไม่ตอบในทันที เพียงก้มศีรษะลง ชำเลืองเงาที่เท้าก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปยังทางออกจัตุรัส

ไม่กี่ก้าวถัดมา ชายหนุ่มหันกลับมาหาเลียวนาร์ดพลางพึมพำ:

“คุณคงยังจำประโยคนี้ได้… พวกเราคือผู้พิทักษ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมดปลวกน่าสมเพชที่ต้องต่อสู้กับอันตรายและความบ้าคลั่งตลอดเวลา”

เลียวนาร์ดผงะไปเล็กน้อย จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่วินาที มันรีบหันไปมองแผ่นหลังของไคลน์ที่แต่งกายในชุดคลุมกันลมและหมวกทรงกึ่งสูง จากนั้นก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจะหายไปจากมุมถนน

ท่ามกลางเสียงสายลมพัดผ่าน นกพิราบขาวบนพื้นทยอยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม

……………………………