บทที่ 1407 นัดชิง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ด้วยการยอมแพ้ของสือหลิงจื่อ ร่างของเขาหายวับไปจากเวทีในพริบตา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงมองออกไปด้านนอก สายตาคล้ายตกอยู่ที่การประลองของเยว่หลิงจื่อกับยิ่นสี่

ทว่าความจริงแล้ว ในใจของเขากำลังวิเคราะห์คำนวณข้อดีข้อเสียที่ตนเข้าร่วมการทดสอบพลังฝึกปรือครั้งนี้อย่างรวดเร็ว และเมื่อตัดสินใจการเลือกของตนได้อีกครั้ง เบื้องลึกในดวงตาก็ฉายแววแน่วแน่

“จะสือหลิงจื่อหรือเกราะขาวก็ช่าง ชัดเจนแล้วว่าไม่อยากได้ที่หนึ่ง หากครั้งนี้ไม่มีข้า เกรงว่าพวกเขาก็คงใช้วิธีทำนองเดียวกันนี้ทำให้ตัวเองแพ้อยู่ดี”

“แต่ว่าเมื่อเทียบกับพวกเขาหลายคนนี้ เยว่หลิงจื่อกับยิ่นสี่…สองคนนี้เหมือนมุ่งจะเอาที่หนึ่งให้ได้” หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเวที มองผ่านฟองอากาศที่ตนอยู่ไปยังที่ประลองของยิ่นสี่กับเยว่หลิงจื่อ

แม้จะไม่ได้ยิน แต่จากกระแสคลื่นที่เห็นจากการประมือกัน แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้ใส่พลังอย่างเต็มที่ แต่ความพัวพันที่เห็นกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

คล้ายกับเป็นการประลองอีกสนามระหว่างพวกเขา ขณะที่ถ่ายทอดเสียง เห็นได้ชัดว่าก็ลงมือไปด้วย สนทนากันไปด้วย

และเนื้อหาที่พูดคุยกัน ถึงหวังเป่าเล่อจะไม่ได้ยิน แต่ก็พอเดาส่วนใหญ่ได้ จะต้องเป็นการเกลี้ยกล่อมไม่ให้อีกฝ่ายชิงที่หนึ่งกับตนแน่นอน

“เป็นไปไม่ได้ที่สองคนนี้จะไม่รู้ผลของการเป็นที่หนึ่ง แต่…ก็ยังเป็นแบบนี้” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววซับซ้อนเล็กน้อย จ้องมองอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักด้านนอกก็เริ่มมีสีหน้าประหลาด แต่กลับไม่ได้ถกเถียงกัน การชิงยอมแพ้ของสือหลิงจื่อก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติอยู่บ้าง

แต่ว่านั่นไม่สำคัญ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางคิดออกว่าความจริงคืออะไรอยู่ดี ดังนั้นส่วนใหญ่จึงคิดว่านี่เป็นแค่พฤติกรรมส่วนตัวของสือหลิงจื่อเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ไม่นานสายตาของทุกคนก็ไปรวมกันที่ยิ่นสี่กับเยว่หลิงจื่อ

การต่อสู้ของทั้งสองคนนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เงาของบทเพลงแผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศ แม้จะไม่ได้ยินเสียง ทว่าความเร็วที่มีก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสคลื่นที่ส่งผลต่อฟองอากาศจากการปะทะกันของบทเพลงในทุกๆ ครั้งก็พอที่จะพิสูจน์การประลองของทั้งสองได้แล้วว่ามีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ยิ่นสี่ในเวลานี้จ้องเยว่หลิงจื่อไม่วางตา เมื่อมือโบกสะบัดก็เกิดเสียงแห่งมวลมหาธรรมชาติระเบิดขึ้น และในสัมผัสสวรรค์ของเขา ตอนนี้ก็มีดวงจิตเทพลอยออกมา

“วิญญาณจันทรา เหตุใดเจ้าต้องชิงคุณสมบัตินี้กับข้าด้วย!”

“ศิษย์พี่ ตามการหมุนรอบ ครั้งนี้…เดิมทีก็ควรเป็นข้าที่เป็นร่างของอาจารย์” เยว่หลิงจื่อเม้มริมฝีปาก แววตาแน่วแน่

ยิ่นสี่นิ่งงัน แต่พริบตาถัดมาก็ปรากฏประกายตาดุดันขึ้นทันที ขณะที่มือขวายกขึ้น กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างของเขาก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เพียงพริบตาก็ยกระดับจนผู้คนตกตะลึง ถึงขั้นสะเทือนไปยังภูเขาไฟสามสำนักด้านนอกจนหูทุกคนคล้ายจะสูญเสียการได้ยิน

พริบตาถัดมา อักขระเสียงนับไม่ถ้วนก็กระจายออกมาจากร่างยิ่นสี่ก่อนรวมตัวกันที่เบื้องหน้ากลายเป็นนิ้วขนาดยักษ์นิ้วหนึ่ง นิ้วนี้คล้ายจริงคล้ายลวงตา เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกนี้ แต่ก็ราวกับมีบางส่วนที่หลอมรวมกับโลกแห่งเสียงที่ประหลาดลึกลับ แฝงไว้ด้วยพลังสะกดที่ไม่สามารถอธิบายได้ขุมหนึ่ง ระเบิดดังไปทางเยว่หลิงจื่อ

ระดับความรวดเร็วและความรุนแรงของมัน ทำให้เยว่หลิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก แม้นางจะไม่ธรรมดา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีความห่างชั้นกับยิ่นสี่อยู่ โดยเฉพาะ…เมื่อเวลานี้ยิ่นสี่ใช้เคล็ดวิชาลับที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมากอย่างมหาศาล ดังนั้นนัยน์ตาเยว่หลิงจื่อจึงฉายความทุกข์โศกและความอัดอั้นไม่เต็มใจ…

ทว่าร่างกายของนางไม่สามารถหลบหลีกได้แล้ว ในพริบตาก็ถูกนิ้วนั้นพุ่งเข้ามาตรงหน้า กระแทกนางให้ถอยหลังจนชนเข้ากับผนังฟองอากาศ

เสียงดังสนั่น ฟองอากาศพังทลาย เยว่หลิงจื่อกระอักเลือด ก่อนร่างจะถูกขับออกไป

ศิษย์สามสำนักด้านนอกเบิกตาโตขึ้นในพริบตา เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นในหัวไปตามๆ กัน แต่ปากกลับเงียบเป็นเป่าสาก!

หวังเป่าเล่อก็ม่านตาหดลงเช่นกัน ขณะที่จ้องมองยิ่นสี่ เขาก็มองไปยังนิ้วนั้นที่คล้ายจริงคล้ายลวงตาที่ไม่ได้สลายหายไปตรงหน้ายิ่นสี่

นิ้วนี้เปล่งแสงจ้า แต่เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ยังคงเห็นว่ามันก่อตัวขึ้นจากอักขระเสียงทั้งหมดได้ และอักขระเสียงแต่ละตัวในนั้นก็ไม่ใช่อักขระเสียงจากบทเพลง แต่เป็นเสียงจากสรรพสิ่ง

เสียงจากสรรพสิ่งนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นนิ้วนี้ ไม่สำคัญอีกต่อไปว่าเดิมทีมันคือเสียงอะไร เพราะสิ่งสำคัญคือ…ตอนนี้มันได้กลายเป็นกุญแจดอกหนึ่งแล้ว

กุญแจดอกหนึ่งที่สามารถเปิดโลกแห่งเสียงได้ กุญแจที่ปลดปล่อยพลังบางส่วนของโลกแห่งเสียง!

ด้วยกุญแจดอกนี้และสถานะของมัน กล่าวได้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ในกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ถือว่าอยู่ในตำแหน่งสุดยอด นอกจากเจ้าปรารถนาเสียง ปกติแล้วก็ไม่มีผู้ใดแกร่งกว่าเขาอีก!

นอกเสียจาก…จะมีคนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อที่สามารถเข้ามาในโลกแห่งเสียงได้ตลอดเวลาไร้สิ่งกีดขวาง

เขาไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจแบบนี้ เพราะตัวเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งเสียงไปแล้ว

หรือกล่าวให้ถูกก็คือ เส้นทางที่อีกฝ่ายกับเขาเดิน แท้จริงนั้นต่างกัน แตกต่างกันที่อีกฝ่ายเป็นสรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง ส่วนหวังเป่าเล่อกลับเป็นอักขระเสียงตัวเดียวซ้อนทับกันจนถึงขั้นสุด

ไม่มีอะไรต่างกันมากนัก ปลายทางล้วนเหมือนกัน เพียงแต่หวังเป่าเล่อเดินจนสุดเส้นทางนี้ ยิ่นสี่กลับเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

“หากคนผู้นี้มีเวลามากพอ เขา…ก็อาจจะเป็นเหมือนข้าก็ได้” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววประหลาด ขณะที่กำลังมองยิ่นสี่ ยิ่นสี่ที่ทำลายฟองอากาศของตัวเองในตอนนี้ก็หันมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

สายตาของทั้งสองสบประสานกันทันที

ในช่วงเวลาต่อมา ร่างกายของยิ่นสี่พลันเคลื่อนไหวกลายเป็นภาพติดตาพุ่งไปยังเวทีประลองในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่ออยู่ ขณะที่เข้าใกล้ก็พุ่งชนฟองสบู่ก่อนปรากฏตัวขึ้นบนเวที!

เนื่องจากฟองอากาศถูกฉีกออก เวลานี้คล้ายกับมีพลังจากภายนอกไหลรวมเข้ามา พริบตานั้นก็ประสานเข้ากันใหม่อีกครั้ง พร้อมแสงเปล่งประกายและคล้ายจะมั่นคงแน่นหนาขึ้น

สามสำนักด้านนอก ศิษย์ทุกคนเวลานี้หายใจรัวเร็ว จดจ้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนเวทีประลองในฟองอากาศที่มีหนึ่งเดียวในตอนนี้อย่างไม่ละสายตา!

นี่คือ…นัดตัดสิน

ผู้ชนะจะได้เป็นศิษย์สายตรงลำดับที่สี่ของเจ้าปรารถนาเสียง ต้องรู้ก่อนว่าก่อนหน้านี้เจ้าปรารถนาเสียงรับศิษย์แค่สามคนเท่านั้น แม้ตอนนี้ทั้งสามจะกลายเป็นตำนาน เพื่อที่จะรับรู้มหาเต๋าของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจึงเลือกกักตน ไม่มีใครเคยพบเห็นอีก แต่เรื่องราวของพวกเขาก็ยังถูกเล่าขานต่อไป

หลายคนเชื่อว่า สักวันศิษย์สายตรงทั้งสามจะต้องออกจากการกักตนแน่นอน

และท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เวทีประลองในฟองอากาศ ยิ่นสี่ที่มองไปที่หวังเป่าเล่อพลันส่งดวงจิตเทพออกมา

“เจ้ามาช้าไปแล้ว”

ตอนนั้นเองที่เสียงดวงจิตเทพลอยเข้าสู่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่ออดตะลึงงันไม่ได้ ไม่ทันให้เขาตอบโต้ เมื่อยิ่นสี่กล่าวจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก จากนั้นก็ไหวร่างราวกับได้กลายเป็นลำแสงผสานรวมเข้ากับนิ้วตรงหน้า มุ่งมาทางหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงหวีดหวิว

ท่าทางนั้นน่าสะพรึงราวกับจะทำลายทุกสิ่งให้ย่อยยับ!

……………………………………….