โบโนว่า·กุสตาฟ… สายตาไคลน์จดจ้องใบหน้าชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็หันไปมองวัตถุที่ลอยอยู่และตุ๊กตาที่สร้างจากชิ้นส่วนโลหะ
ตุ๊กตามีรูปแบบสมัยใหม่… ดูเหมือนว่ากฎทางกายภาพของที่นี่จะเปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง… ไคลน์พยักหน้า
“ข้าต้องการนำกระจกวิเศษกลับไป”
มันแจ้งความประสงค์อย่างตรงไปตรงมา
โบโนว่าไม่เปลี่ยนสีหน้า ราวกับมันเป็นแค่ตุ๊กตา
“ข้ารับใช้แห่งรัตติกาล?”
“จะเรียกเช่นนั้นก็ได้” ไคลน์ยิ้ม
โบโนว่าพยักหน้ารับ
“เชิญเอาไป”
บางที หมอนี่อาจคิดว่าเรากำลังรีดไถในนามเทพธิดารัตติกาล… ไคลน์มิได้อธิบาย เพียงถอดหมวกทรงสูงออกอย่างสุภาพพร้อมกับโน้มตัว
“ขอบคุณมาก”
กล่าวจบ ร่างของไคลน์เลือนหายไปทันที
แน่นอนว่าชายหนุ่มมาเยือนในฐานะภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์
ถัดมา ภายในขบวนที่ไอคานส์และทีมจิตแห่งจักรกลโดยสารมาด้วย ไม่มีความผิดปรกติใดเกิดขึ้น
แน่นอน สภาพแวดล้อมที่พวกมันกำลังอาศัยอยู่เป็นเพียงฉากในประวัติศาสตร์ สภาพที่แท้จริงของขบวนรถไฟถูกอำพรางโดยไม่มีใครรู้ตัว
บนรถม้าที่อยู่ห่างจากรถไฟไอน้ำไปราวสิบกิโลเมตร กระจกบานหนึ่งพลันโผล่ขึ้นในมือไคลน์
กระจกเงาบานนี้มีสีเงิน ด้านหลังมีลวดลายโบราณและลึกลับ ทั้งสองฝั่งมีอัญมณีที่ดูคล้ายดวงตาประดับอยู่
“ยังไม่ต้องพูดอะไร” ไคลน์จ้องเข้าไปในกระจกพลางออกคำสั่ง
“ขอรับ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่” ถ้อยคำสีเงินจางผุดขึ้นจากส่วนลึกของกระจก
ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษออกมาเขียนโดยใช้กระจกวิเศษเป็นแผ่นรอง
ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็เขียนด้วยรอยยิ้มมุมปาก:
“เรียนมิสเตอร์อะซิก”
“ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้เขียนจดหมายถึงคุณนานแล้ว เพราะมัวแต่ไปเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้งและมีการเดินทางที่แสนวิเศษ”
“ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตแค่สองประเภท หากไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาก็จะเป็นสัตว์ประหลาด และเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดเหล่านั้นล้วนถูกสาปหรือไม่ก็เกิดการกลายพันธุ์อย่างรุนแรง เป็นสภาพที่น่าสังเวชกว่าที่ผมคิดไว้”
“ผมพยายามช่วยเหลือพวกเขา แต่มิได้ทำไปเพียงเพื่อประกอบพิธีกรรม เพื่อสร้างหลักยึดเหนี่ยว หรือเพื่อสนองความใจอ่อนของตัวเอง มันมีความหมายที่ลึกซึ้งในตัวเอง…”
“หากไม่นับความทุกข์ยากของผู้คน สภาพแวดล้อมในดินแดนเทพทอดทิ้งแตกต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งภาพเขียนสีน้ำมันที่ใช้สีดำเป็นหลัก… สิ่งที่น่าทึ่งคือการที่มรณาเทียมสามารถสร้างอิทธิพลต่อคนตายที่นี่ได้ในขอบเขตจำกัด ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนและตกใจมาก แต่วันนี้พอจะคาดเดาบางสิ่งได้ และข้อสันนิษฐานก็คือ นั่นอาจเป็นอิทธิพลของแม่น้ำอันธการนิรันดร์ หนึ่งในเก้าแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด”
“เรื่องดังกล่าวทำให้ผมนึกถึงเมืองกัลเดรอนแห่งโลกวิญญาณ รวมถึงเครื่องประดับฟีนิกซ์ที่สร้างจากทองคำซึ่งคุณเคยเล่าให้ฟัง… มีข่าวลือว่าต้นตระกูลฟีนิกซ์ หรือที่รู้จักกันในนามมรณาแห่งยุคสมัยที่สี่ สามารถใช้งานแม่น้ำอันธการนิรันดร์ได้ในระดับหนึ่ง คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?”
“สงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่าหนึ่งปีถึงคราวสิ้นสุดลง เทพธิดารัตติกาลคว้าชัยได้ในท้ายที่สุด และเป็นเทพสงครามที่ร่วงหล่น ผมเชื่อว่าด้วยระดับตัวตนและสถานะของคุณ คงทราบได้ไม่ยากว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่ความสงบสุขที่หายไปแสนนานได้กลับคืนมาแล้ว ผู้คนทยอยกลับไปใช้ชีวิตตามปรกติ นี่เป็นภาพที่ผมอยากจะเห็น แต่น่าเสียดายที่ความเจ็บปวดบางอย่างอาจไม่มีวันถูกลบเลือน…”
“ผมไม่แน่ใจว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นตรงตามคำทำนายหรือไม่ และคุณจะตื่นขึ้นเมื่อไร ตอนนี้ทำได้แค่หวังให้ทุกสิ่งดำเนินไปในทิศทางที่ดีที่สุด”
“สุดท้ายนี้ ผมขอเล่าเรื่องที่สำคัญน้อยที่สุด ปัจจุบันผมกลายเป็นลำดับ 2 ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์เรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้นำมาซึ่งคำสาปและความหวัง”
“ขอให้คุณโชคดี ไคลน์·โมเร็ตติ ศิษย์ตลอดกาลของคุณ”
เขียนเสร็จ ไคลน์ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนจะพับกระดาษ จากนั้นก็เป่านกหวีดทองแดงอะซิกเพื่ออัญเชิญผู้ส่งสารโครงกระดูก
เมื่อผู้ส่งสารกระดูกร่างยักษ์โผล่ขึ้นจากพื้นดิน กระดูกทั่วร่างของมันพลันสั่นสะท้าน ประหนึ่งสัมผัสถึงออร่าของ ‘ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ’
ไคลน์หัวเราะในลำคอก่อนจะยื่นจดหมายให้ผู้ส่งสารซึ่งไม่ทราบว่าเป็นตัวที่เท่าไร จากนั้นก็เฝ้ามองอีกฝ่ายทำความเคารพอย่างนอบน้อม จนกระทั่งผู้ส่งสารแตกตัวกลายเป็นน้ำพุกระดูกไหลลงไปใต้ดิน
จัดการเสร็จ ไคลน์จ้องลงไปยังกระจกวิเศษที่วางอยู่บนต้นขา
เมื่อสัมผัสถึงสายตา คลื่นน้ำบนผิวกระจกพลันกระเพื่อมพร้อมกับสร้างตัวหนังสือสีเงินจาง:
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ พวกเรากำลังจะไปที่ใดต่อ?”
จะไปไหนสินะ… ไคลน์ทวนคำถามเงียบ ภายในใจอยากจะเทเลพอร์ตไปยังยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส เข้าไปในวังโบราณที่ตั้งอยู่ระหว่างความจริงเป็นกับหมู่บ้านสายหมอก จากนั้นก็พิจารณาว่าพอจะมีโอกาสนำไพ่เย้ยเทพที่แสนจะมีประโยชน์กับตน มาจากฮาล์ฟฟูลแห่งตระกูลอันทีโกนัสได้หรือไม่
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันที่ทัดเทียมลำดับ 1.5 ของไคลน์ ภารกิจดังกล่าวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ — ย้อนกลับไปในตอนที่ซาราธยังเป็นเพียงลำดับ 2 มันสามารถช่วงชิงวัตถุดิบหลักโอสถบริวารเร้นลับมาจากฮาล์ฟฟูลได้เช่นกัน
แต่แน่นอน เงื่อนไขคือการที่เทพธิดารัตติกาลยังคงสะกดพลังและผนึกบรรพบุรุษของตระกูลอันทีโกนัสเอาไว้
เป็นอีกครั้งที่ปัญหาวนกลับมาที่เดิม ไคลน์ต้องเจรจากับเทพธิดารัตติกาล
ตัวเราในปัจจุบันคือเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด สามารถแบ่งหนอนวิญญาณเอาไว้เหนือมิติหมอกเพื่อคอยตอบสนองคำสวดวิงวอนได้ตลอดเวลา อาศัยวิธีดังกล่าว ต่อให้คำนึงถึงเรื่องที่สุขภาพจิตจะแย่ลงเล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่จะได้รับก็ยังมากกว่าอยู่ดี… อา นอกจากนั้นเรายังสามารถใช้หนอนวิญญาณบนมิติหมอกคอยสนับสนุนร่างหลัก แถมยังช่วยเพิ่มตัวเลือกในการคืนชีพ… ต่อให้ร่างกายแหลกสลาย แต่ถ้าอาศัยความช่วยเหลือจากหนอนวิญญาณบนมิติหมอก เราสามารถประกอบร่างกายและเจตจำนงขึ้นมาใหม่ได้… แต่ถ้าร่างหลักของเราบนโลกความจริงถูกทำให้อยู่ในสถานะ ‘ซ่อนเร้น’ จนการเชื่อมต่อกับปราสาทต้นกำเนิดถูกตัดขาด หนอนวิญญาณบนมิติหมอกก็จะคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด เหมือนกับซาราธในตอนนั้น… ไคลน์รีบวิเคราะห์สถานการณ์ พลางพิจารณาว่าด้วยฝีมือในปัจจุบัน ตนยังไม่ควรสำรวจลึกเข้าไปในเมืองกัลเดรอนแห่งโลกวิญญาณ
หรือต่อให้จำเป็นต้องเข้าไปสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับแม่น้ำอันธการนิรันดร์จริง ไคลน์ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมโดยการเติมเต็มความปรารถนาของผู้คนจำนวนมากเสียก่อน
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์วางมือลงบนกระจกวิเศษพลางยิ้ม
“ถัดไป พวกเราจะไปท่องโลกด้วยกัน… เจ้าอยากไปไหน?”
“ทรีอาร์… ไม่สิ ข้าจะไปทุกหนแห่งที่ท่านปรารถนา” อาโรเดสตอบอย่างนอบน้อม
ไคลน์ยิ้มเล็กน้อย กระโดดลงจากรถม้าและเดินไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด
หลังจากรถม้าวิ่งต่อไปอีกไม่กี่เมตร มันค่อยๆ เลือนหายไปและกลับสู่สายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
ในเวลาเดียวกัน เสื้อกันลมตัวยาวของไคลน์แปรเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีดำ หมวกทรงสูงกลายเป็นหมวกทรงโบราณ
สิ่งนี้ทำให้ไคลน์รู้สึกประหนึ่งตนคือนักมายากลพเนจรที่เตร็ดเตร่ไปตามตรอกซอกซอย
…
กรุงเบ็คลันด์ ภายในบ้านที่สภาพค่อนข้างดี
แม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่าในชุดคลุมศักดิ์สิทธิ์สีขาว วางกระจกในมือลงพลางหันหน้าไปหาชายหนุ่มบนเก้าอี้เอนหลังด้านข้าง:
“สงครามจบลงแล้ว พวกเขาตัดสินใจเรียกฉันกลับไปยังสำนักงานใหญ่”
“ข้ารอเวลานี้มาแสนนาน” ชายหนุ่มบนเก้าอี้เอนหลังส่ายหน้า
มันแต่งกายในชุดคลุมสีดำแถบแดง ผิวสีน้ำตาล ใบหน้านุ่มนวลแต่ค่อนข้างซีด ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้เฝ้าประตู’ ที่ถูกสิงสู่โดยวิญญาณมารเทวทูตสีชาด
คาร์เทอริน่าใช้มือสองข้างยันโต๊ะก่อนจะนั่งลงไปด้านบน มุมปากยกโค้งพลางกล่าว
“คุณดูไม่ค่อยรีบนะ”
“ถ้าต้องถูกขังอยู่ใต้ดินร่วมกับพวกที่น่ารังเกียจอีกสองคนนานนับพันปี เธอจะพบว่าการรอคอยอีกสักปีสองปีนั้นเป็นเรื่องง่ายดายและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก… แน่นอนว่าข้าไม่รีบ” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดกล่าวพลางขำในลำคอ “ถ้าเรื่องนี้จบลงเมื่อไร และเจ้าอยากรู้ว่าข้าเคยรู้สึกเช่นไร ข้าสามารถช่วยได้… แน่นอนว่าข้าจะไม่ลืมโยนผู้ชายสองคนลงไปพร้อมกับเจ้า อยากอยู่นานแค่ไหนก็แล้วแต่เจ้าเลย”
ขณะกล่าว สองปากบนสองแก้มของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดมิได้ส่งเสียงโต้แย้ง เพราะสำหรับพวกมัน สิ่งนี้คือความจริง
พวกมันก็เคยถูกขังร่วมกับพวกที่น่ารังเกียจสองคนนานนับพันปีโดยที่มิอาจหลบหนีเช่นกัน
ได้ยินคำตอบ คาร์เทอริน่าหันมาจ้องสักพักก่อนจะยิ้ม
“เมื่อคุณไปถึงสำนักงานใหญ่ของเรา ไม่กลัวบ้างหรือว่าท่านบรรพกาลจะค้นพบความจริง?”
“แล้วยังไง? ไม่ว่าจะลงมือทำสิ่งใดก็ต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งสิ้น นอกจากนั้น ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดคือการผสานเข้ากับพระองค์ ตอนนี้ข้าใช้ชีวิตแบบสามในหนึ่งร่าง การต้องใช้ชีวิตแบบสี่ในหนึ่งร่างย่อมไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด” เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไปกันเถอะ” คาร์เทอริน่าตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะโดยปราศจากสุ้มเสียง
ทันทีที่เธอกล่าวจบ ภาพของชายผมแดงที่มีสัญลักษณ์ธงตรงหว่างคิ้วพลันปรากฏบนกระจกตา
ผู้เฝ้าประตูในชุดคลุมสีดำแถบหายหยุดหายใจทันที ผิวหนังและเนื้อของมันเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนองสีเหลืองอมเขียว
เพียงไม่กี่วินาที สิ่งที่เหลืออยู่บนเก้าอี้เอนหลังมีเพียงโครงกระดูกสีขาวและตะกอนพลัง
คาร์เทอริน่าโบกมือ ดึงตะกอนพลังดังกล่าวให้ตกลงบนฝ่ามือด้วยด้ายล่องหน
ทันทีหลังจากนั้น ร่างของหญิงสาวเริ่มโปร่งแสงก่อนจะเข้าไปในกระจกบานที่เธอเพิ่งใช้งานเมื่อครู่
เส้นทางมายาอันมืดมนโผล่ขึ้นด้านหน้า ‘นักบุญสีขาว’ มันเชื่อมต่อเข้ากับวัตถุบนพื้นที่โดยรอบในลักษณะใยแมงมุม ถักสานจนกลายเป็นโลกประหลาดที่แตกต่างจากความจริง
คาร์เทอริน่าเคลื่อนตัวผ่าน ‘โลกกระจก’ อย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังจุดเป้าหมาย
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวสัมผัสถึงพลังดึงดูดที่หนักหน่วง เธอหลุดออกจากเส้นทางทันทีโดยมิอาจขัดขืน ก่อนจะพุ่งเข้าไปในหมอกที่มืดมิดและพร่ามัวซึ่งเป็นตัวแทนกระจกบานหนึ่งบนโลกความจริง
ไม่กี่อึดใจถัดมา คาร์เทอริน่าและวิญญาณมารเทวทูตสีชาดหลุดออกจากกระจกและมาถึงห้องที่ไม่คุ้นเคยซึ่งมีพรมปกคลุม
ณ มุมห้อง ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดา กำลังเอนหลังพิงราวบันไดพลางจ้องมายังแม่มดขาวด้วยรอยยิ้ม
มือซ้ายของมันโยนสิ่งหนึ่งเล่นตลอดเวลา เป็นมงกุฎประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยสนิมและเลือด
ยังไม่ทันที่คาร์เทอริน่าจะตอบสนอง ชายหนุ่มคนดังกล่าวหยิบแว่นตาผลึกขาเดียวออกมาสวมที่ตาซ้าย
“เฮอะ…” เสียงพ่นลมหายใจเย้ยหยันของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดดังก้องในใจคาร์เทอริน่า
วินาทีถัดมา ชายหนุ่มคนเดิมถอดแว่นย้ายไปยังตาข้างขวา จากนั้นก็ยิ้มกว้างพลางกล่าว
“ขออภัย ใส่ผิดข้าง”
……………………………