“ฮะฮะ! การจะระบุว่าใครสักคนเป็นคนต่างถิ่นไม่ใช่เรื่องง่าย มีวิธีใดจำแนกได้ด้วยหรือ?” รอยแสร้งทำเป็นเยือกเย็น ทำทีคุยกับพวกพ้องเกี่ยวกับเนื้อหาบนกระดาษสีเหลือง
มันอาศัยความนัยที่ซ่อนอยู่เพื่อปลอบประโลมมิให้ฟิลและพาชาตื่นตระหนก หากไม่นับไบลส์ที่เป็นชาวท้องถิ่น อีกสามคนที่เหลือก็ยังเป็นชาวโลเอ็น ไม่มีใครเป็นลูกผสมชาวทวีปใต้ ใบหน้าและรูปร่างแทบไม่แตกต่างกับคนพื้นเมือง
“ต…แต่นี่เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ…” พาชาตะกุกตะกัก
พวกตนไม่ควรใช้สามัญสำนึกปรกติในการวิเคราะห์!
หัวใจรอยแทบหยุดเต้น มันมองไปทางชาวเมืองที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็ตะโกนอย่างร้อนรน:
“วิ่ง!”
ทันทีที่สิ้นเสียง มันหันหลังและเร่งฝีเท้าไปยังถนนที่ใกล้ที่สุด พาชาและฟิลตามติดมาไม่ห่าง
ในฐานะคนท้องถิ่น ไบลส์อาสาอยู่ท้ายแถวพร้อมกับปกคลุมร่างกายตัวเองด้วยเกล็ดปลา
ปัง! ปัง! ปัง!
ชาวเมืองจำนวนหนึ่งยกปืนลูกซองแฝดออกมายิงใส่
รอย ฟิล และพาชาล้วนเป็นผู้วิเศษที่เก่งกาจด้านการต่อสู้ ระหว่างหนีก็คอยเปลี่ยนทิศทางการวิ่ง บ้างม้วนกลิ้งไปข้างหน้า หลบหลีกการโจมตีระลอกแรกได้ง่ายดาย
ถัดมา ภายใต้การแนะนำของพาชา พวกมันวิ่งผ่านถนนและตรอก หลบหนีจากการไล่ล่าของชาวเมืองและซ่อนตัวในมุมมืด
“พวกเราควรทำยังไงดี” ฟิลเสียมือไปหนึ่งข้างถามเสียงหอบ “พิจารณาจากเนื้อหาของประกาศ พวกเรายังออกจากเมืองนี้ไม่ได้”
“คงต้องวิเคราะห์กฎเกณฑ์ให้แตกฉานและหาช่องโหว่” แม่รอยจะกำลังหัวเสีย แต่ก็ฝืนตัวเองให้ขบคิดอย่างใจเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้บรรยากาศของทีมแย่ลง
พาชาชำเลืองไปทางไบลส์ที่คอยระวังหลัง ตามด้วยกล่าว
“กระดานข่าวสารนั่นมีมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”
ไบลส์พยักหน้า
“ใช่ แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยผ่านจัตุรัสเทศบาลบ่อยนัก แต่ตอนไปเกณฑ์ทหารต้องไปรวมตัวที่นั่น และฉันเคยเห็นกระดานข่าวสารมาก่อน”
“หมายความว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กระดานข่าวสาร แต่เป็นกระดาษสองแผ่นนั่น ใครบางคนทำให้กฎที่เขียนอยู่บนกระดาษมีพลังในเชิงศาสตร์เร้นลับ” พาชากล่าวสิ่งที่เธอคิด
รอยเห็นพ้องทันที
“ใช่… นอกจากนั้นฉันยังสงสัยว่า กฎเหล่านั้นต้องถูกประกาศสู่สาธารณะเสียก่อนจึงจะเกิดผล ถ้าเราหาโอกาสดึงกระดาษสองแผ่นนั้นออกมาได้ บางทีกฎที่เขียนไว้อาจหายไป”
หลังจากได้ยินคำพูดของรอย พาชา ฟิล และไบลส์ต่างพากันเงียบงัน
ผ่านไปไม่กี่วินาที ฟิลกล่าวใบหน้าที่สั่นกระตุก
“มาลองทำกันเถอะ! ถ้าเราต้องติดอยู่ในเมืองนี้ ต่อให้ไม่ถูกชาวเมืองจับตัว แต่ก็คงถูกลงโทษตามกฎหมายโดยไม่ได้ตั้งใจเข้าสักวัน”
แม้ทุกคนจะเป็นผู้วิเศษ แต่ลำดับของพวกมันไม่สูง จริงอยู่ที่การรับมือกับคนกลุ่มเล็กอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่มีทางต่อกรกับคนทั้งเมืองได้แน่
รอย ไบลส์ และพาชาต่างก็เคยเข้าร่วมสนามรบ ย่อมทราบว่าความลังเลเป็นผลเสียร้ายแรงในสถานการณ์ตรงหน้า จึงต่างเห็นด้วยกับความคิดของฟิลทันที
ภายใต้การนำของพาชาผู้เป็น ‘นักล่า’ มากประสบการณ์ กลุ่มคนทั้งสี่ย้อนกลับมายังจัตุรัสเทศบาลจากถนนอีกเส้นหนึ่ง
ปัจจุบันไม่มีชาวเมืองมายืนมุงดูประกาศเหมือนคราวก่อน คล้ายกันคนทั้งเมืองกำลังค้นหาคนนอกอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อมองไปยังกระดานข่าวสารที่ตั้งอย่างเงียบงันท่ามกลางแสงไฟ รอยและคนที่เหลือบรรจงย่างกรายเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง ทุกคนพร้อมที่จะหลบหนีหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
หลังจากมาถึงเป้าหมาย รอยผุดคำถามหนึ่ง จึงหรี่เสียงลงและถาม
“การทำลายใบประกาศ… ถือเป็นการทำผิดกฎหมายไหม?”
“ในทางทฤษฎีก็ใช่…” พาชากล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
พวกมันกวาดตาอ่านกระดานข่าวสารอีกครั้ง จากนั้นก็อ่านการกระทำผิดที่เข้าข่ายอาชญากรรมในหมวดที่สาม:
“…”
“8. ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ”
“…”
“มีเขียนไว้จริงๆ” ไบลส์โพล่งขึ้น
ฟิลที่หน้าซีดเป็นทุนเดิมเนื่องจากขาดเลือด ยิ่งหน้าซีดลงกว่าเก่า มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“ถ้าทำลายทรัพย์สินสาธารณะจะถูกลงโทษอย่างไร”
พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายที่ไม่ร้ายแรง มีแนวโน้มว่าบทลงโทษจะค่อนข้างเบา
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ฟิลก็ยอมเสี่ยงทำลายประกาศเพื่อยุติเหตุการณ์ประหลาดทั้งหมด
“ความผิดครั้งแรกจะถูกเฆี่ยน” ขณะรอย พาชา และไบลส์ครุ่นคิดหาคำตอบ เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
ทั้งสี่หันหลังกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็พบชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำและหมวกทรงสูง
ชายคนเดิมกล่าวต่อ
“ความผิดครั้งที่สองคือการตัดมือ… แต่ผมไม่ทราบว่าหลังจากนั้นจะโดนอะไร”
“คุณรู้ได้ยังไง?” รอยคิ้วถามพลางกำมีดสั้นที่ซ่อนไว้อย่างแนบแน่น
ชายหนุ่มยิ้มพลางตอบ
“ผมลองดึงประกาศออกแล้ว มันไม่ได้ผล ตัวประกาศกลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว”
“แล้วคุณก็ถูกเฆี่ยน?” พาชาถามด้วยสีหน้าฉงน
“ใช่” ชายหนุ่มผงกศีรษะผ่อนคลาย “แต่ผมทำผิดฐานหลอกลวงด้วย จึงถูกลงโทษต่อเนื่องเป็นการตัดข้อมือ”
“หลอกลวง?” ไบลส์ถามด้วยความประหลาดใจ
ชายหนุ่มคนเดิมตอบพลางยิ้ม
“สรุปให้เข้าใจง่าย ผมไม่ได้ทำลายประกาศเอง แต่สร้างหุ่นจำลองขึ้นมา และผู้ที่ถูกเฆี่ยนก็คือหุ่นจำลอง”
กล่าวจบ มันยกแขนขวาขึ้น
เฉกเช่นฟิล ข้อมือของมันถูกตัดขาดอย่างประณีต บาดแผลซีดและแดง คล้ายกับยังมีเลือดไหลซึม
ทันใดนั้น บาดแผลของมันเริ่มยุบพอง หนอนสีใสที่ดีดดิ้นตลอดเวลาชอนไชออกมาทีละหนึ่ง ถักสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นฝ่ามือใหม่
ในระหว่างนี้ รอยและคนที่เหลือมิได้รู้สึกสยองขวัญ เพราะทันทีที่พวกมันเห็นหนอนสีใสซึ่งยากจะเพ่งมองรายละเอียด ความคิดพลันสับสน ฟุ้งซ่าน และยากจะควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวน
เมื่อฝ่ามือที่ถูก ‘ปกคลุม’ ด้วยหนังมนุษย์กลับเป็นปรกติ บรรดาผู้วิเศษเริ่มได้สติกลับมา ต่างคนต่างก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัวและสงสัย
ฉากตรงหน้าอยู่นอกเหนือความเข้าใจของพวกมันโดยสิ้นเชิง!
“จริงสิ ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมคือนักมายากลพเนจร” บุรุษก่อคดีทำลายทรัพย์สินและหลอกลวงไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์
มันชำเลืองไปทางเหล่าผู้วิเศษพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มายากลของผมสามารถเติมเต็มความปรารถนาของผู้คน พวกคุณมีสิ่งใดที่ต้องการสมหวังหรือไม่”
ได้ยินคำถาม รอยเริ่มมีความหวัง:
“พาพวกเราออกจากเบลดันได้ไหม?”
“แน่นอน ผมจะพยายาม แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” ไคลน์ให้คำมั่นสัญญา
จากนั้น ชายหนุ่มจ้องข้อมือฟิล
“เขาเอ่ยความปรารถนาแล้ว ถึงตาคุณ”
“…ช่วยต่อมือให้หน่อย” ฟิลกล่าวหนักแน่น
“ตกลง” ไคลน์ชำเลืองไบลส์ “นำมือออกมา”
ไบลส์ลังเลสักพักก่อนจะในสิ่งที่ชายลึกลับบอก นำกล่องไม้ออกมาและคืนมือให้ฟิล
“เข้ามาสิ” ไคลน์ยิ้มขณะจ้องหน้าฟิล
ฟิลรวบรวมความกล้า หยิบมือที่ขาดและเดินไปหา
“ถอดผ้าพันแผล” ไคลน์ยังคงสั่ง “วางมือที่ขาดไว้ในตำแหน่งเดิม ขอเตือนว่าห้ามวางกลับด้าน ไม่อย่างนั้นคุณต้องตัดมันทิ้งแล้วต่อใหม่”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ฟิลเองก็เริ่มใจชื้น ขณะดึงผ้าพันแผลที่ติดกับแผลออก สีหน้าของมันเริ่มบิดเบี้ยว
หลังจากฟิลนำมือที่ขาดมาวางต่อกับข้อมือ ไคลน์หยิบกระดาษเปล่าออกมาพร้อมกับโน้มตัว
ทันทีหลังจากนั้น มันเหยียดแขนออกไปและใช้กระดาษ ‘เช็ด’ รอยต่อ
แผ่นกระดาษถูกตัดครึ่งอย่างเงียบงัน ขณะเดียวกัน ฟิลสัมผัสได้ว่าความเจ็บปวดของตนเลือนหายไป
มันรีบก้มหน้าและพบว่ามือซ้ายที่เคยขาด ตอนนี้กลับเป็นปรกติแล้ว ราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
ฟิลขยับนิ้วตามความเคยชินและพบว่าความคล่องแคล่วมิได้ลดลงแม้แต่น้อย
“ความปรารถนาของคุณถูกเติมเต็มแล้ว” ไคลน์ก้าวถอยหลังพลางยิ้ม
“ขอบคุณครับ…” ฟิลตอบรับด้วยสีหน้างุนงง
ไคลน์หันไปมองผู้วิเศษอีกสองคน
“ความปรารถนาของพวกคุณคือสิ่งใด”
ได้เห็นความปรารถนาของฟิลเป็นจริง ไบลส์ก้าวออกมาข้างหน้าและพูด
“ผมอยากทราบว่าตอนนี้ครอบครัวอยู่ที่ไหน”
ไคลน์สะบัดแขนซ้าย นำกระจกเงินที่มีลวดลายโบราณออกมาถือ ก้มหน้าลงและพูดด้วยรอยยิ้ม
“คำตอบของคำถามเมื่อครู่คืออะไร”
บนผิวกระจก คลื่นกระเพื่อมสว่างขึ้นพร้อมกับการเรียงตัวของอักษรสีเงิน
“สุสานเบลดันกลอริน…”
ไบลส์พลันขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพตรงหน้า หัวใจของมันดำดิ่งทันที ความโศกเศร้าและผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างมิอาจควบคุม
วินาทีถัดมา ถ้อยคำสีเงินเรียงเป็นประโยคใหม่
“…ในกระท่อมของสัปเหร่อ”
…หมายความว่า… ไบลส์เปลี่ยนจากความโศกเศร้าเป็นยินดี จากนั้นก็ตบท้ายอย่างจริงใจ
“ขอบคุณครับ”
ทันใดนั้น มันผุดคำถามใหม่สองข้อ
กระท่อมสัปเหร่อจะอาศัยได้สักกี่คนเชียว? แถวนั้นมีกระท่อมสัปเหร่อกี่หลัง?
ครอบครัวของมันมิได้มีสมาชิกแค่สองหรือสาม!
ใบหน้าของไบลส์สลับไปมาระหว่างโศกเศร้าและยินดี มันเงียบไปเป็นเวลานาน
นั่นทำให้มันมองไม่เห็นข้อความถัดไปบนกระจกสีเงิน
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าตอบได้ดีแล้วใช่ไหม”
“แน่นอน” ไคลน์พยักหน้ารับก่อนจะจ้องไปทางสตรีคนที่เหลือ
พาชาครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“ความปรารถนาของฉันก็คือ อยากให้คุณปกป้องเราจนกว่าจะออกไปจากเบลดันแบบมีชีวิต”
เธอพบว่าความปรารถนาของรอยยังมีช่องโหว่ เพราะนั่นไม่ได้รับประกันว่าพวกตนจะออกไปแบบมีชีวิต
“ฉลาดมาก” ไคลน์ยิ้มชมเชย “คุณได้รับสิ่งนั้น”
“แล้วพวกเราต้องจ่ายเท่าไร? หมายถึงค่าใช้จ่ายในการชมมายากล” พาชารีบถาม
“ความปรารถนาของพวกคุณคือราคา” ไคลน์ตอบห้วนก่อนจะถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด “หากมีบางสิ่งที่พวกคุณทราบว่าเป็นของปลอม แต่ก็ยังเลือกที่จะใช้งาน นั่นคงไม่เข้าข่ายการหลอกลวงใช่ไหม?”
รอยและคนที่เหลือต่างงุนงงเมื่อได้ยิน แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก พวกมันทยอยส่ายหน้า
“ไม่เข้าข่ายแน่นอน”
“ก็สมัครใจเองไม่ใช่หรือ”
“ในเมื่อสมัครใจทั้งที่ทราบ นั่นไม่ใช่การหลอกลวงอย่างแน่นอน”
“เป็นอื่นไปไม่ได้”
หลังได้ฟังคำตอบจากทั้งสี่ ไคลน์ยิ้ม
“ดีมาก นั่นคือกรอบความคิดของคนปรกติ”
กล่าวจบ มันใช้มือขวาจับอากาศสองสามหนก่อนจะดึงร่างสตรีในชุดคลุมเรียบง่ายเจ้าของผมยาวสีดำออกมา
เป็นภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของอาเรียนน่า หัวหน้าสำนักชีรัตติกาล
ไคลน์กวาดตาไปรอบตัว และเมื่อไม่พบความผิดปรกติ มันยิ้มให้ภาพฉายและพูด
“มาดาม เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ดวงตาอาเรียนน่ากลอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก มอบความรู้สึกสุขสงบจากก้นบึ้งแก่ผู้พบเห็น
เธอตอบเสียงเรียบ
“ลาร์เรี่ยน ราชาคณะแห่งโบสถ์เทพสงครามอยู่ระหว่างการหลบหนี ข้ากำลังไล่ตามจับกุม”
อาเรียนน่าเว้นวรรค
“หลังจากมาถึงเบลดัน ข้าได้รับข้อมูลใหม่… หน่วยข่าวกรองของเรายืนยันได้ว่าลาร์เรี่ยนหนีไปพร้อมสมบัติปิดผนึกหนึ่งชิ้น”
“รหัสของมันคือ 0-02”
…………………………