บนโลกในยุคปัจจุบัน ความศรัทธาในเรื่องเทพถือเป็นสามัญสำนึก จุดแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือเทพที่นับถือ ดังนั้นแม้รอย พาชา และคนที่เหลือจะไม่เข้าใจความหมายของเทวทูตในเชิงศาสตร์เร้นลับ แต่มันก็เคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเทวทูตจากปากนักบวช บิชอป และผู้อาวุโสรอบตัว พวกมันจึงทราบว่าเทวทูตคือบริวารของทวยเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่ควรค่าแก่การถูกเรียกขานว่า ‘ท่าน’ ทุกการเคลื่อนไหวของเทวทูตสามารถสร้างปาฏิหาริย์ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบเคียงได้
ภายในใจของผู้วิเศษทั้งสี่ เทวทูตเปรียบดังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากอีกระดับหรืออีกโลกหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ปรกติ พวกท่านจะอาศัยอยู่บนอาณาจักรเทพโดยไม่เสด็จเยือนโลกความจริงพร่ำเพรื่อ ถือเป็นตำนานอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลงานที่เคยสร้างไว้บนโลก ย้อนกลับไปในการต่อสู้ที่พวกมันเคยเผชิญ แม้จะมีผู้วิเศษไม่น้อยที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัวจวบจนปัจจุบัน แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเทวทูต
ทั้งสองสิ่งแตกต่างกันราวกับอยู่คนละมิติ!
แต่ในวันนี้ นักมายากลพเนจรกลับบอกพวกมันว่า ราชาคณะของโบสถ์เทพสงครามคือเทวทูตเดินดิน
สำหรับสุภาพบุรุษที่แสดงปาฏิหาริย์มากมายให้ได้เห็น ฟิลและพวกพ้องต่างเชื่อใจจากก้นบึ้ง เหตุผลข้อแรก อีกฝ่ายยอมเติมเต็มความปรารถนาด้วยท่าทีเป็นมิตร และข้อที่สอง พวกมันคิดหาเหตุผลไม่ได้ว่าบุคคลระดับนี้จะหลอกลวงตนไปเพื่ออะไร ดังนั้นในการรับรู้ของทุกคน ราชาคณะแห่งโบสถ์เทพสงครามคือเทวทูตตัวจริง หรือไม่ก็ผู้วิเศษที่ทรงพลังเหนือจินตนาการ โดยทั้งสองความหมายนั้นแทบไม่ต่างกัน
ความเป็นจริงของโลกอยู่เหนือจินตนาการพวกเราไปมาก… ถ้อยคำที่พาชามักเปรย ดังสะท้อนเข้ามาในใจเธออีกครั้ง
รอยรีบปะติดปะต่อ
มันยังไม่ลืมว่าสตรีที่นักมายากลอัญเชิญออกมาจากอากาศ บอกว่าเธอกำลังไล่ล่าราชาคณะของโบสถ์เทพสงคราม นอกจากนั้นยังดูเหมือนว่า เธอมีสิทธิ์ได้รับวิวรณ์จากเทพธิดารัตติกาลโดยตรง
บุคคลที่สามารถไล่ล่าเทวทูตย่อมต้องเป็นเทวทูตเหมือนกัน… และพิจารณาจากท่าทีของนักมายากลต่อสตรีคนดังกล่าว ระดับของเขาก็ไม่น่าจะต่ำกว่าอีกฝ่าย หรือต่อให้ต่ำกว่าก็ไม่มาก… รอยรีบถอนสายตาออกจากไคลน์โดยไม่กล้าจ้องอีกฝ่ายตรงๆ
มันเหลียวซ้ายแลขวาและพบว่าฟิลเองก็กำลังคิดแบบเดียวกัน อารมณ์มากมายกำลังปรากฏบนใบหน้าขาวซีดที่เกิดจากการเสียเลือดของฟิล
ไบลส์ลืมหายใจไปหลายวินาที จากนั้นก็พูดขึ้น
“เข้าใจแล้วว่าทำไมเบลดันถึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดที่เข้าใจได้ยากนี้…”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาตัดพ้อ รีบไปจากที่นี่กันก่อน กฎเคอร์ฟิวกำลังจะมีผลบังคับใช้” ไคลน์เตือนด้วยรอยยิ้มโดยไม่ประหม่า
พาชาชำเลืองไปทางป้ายประกาศพร้อมกับบันทึกเนื้อหาทั้งหมดของกฎเคอร์ฟิวไว้ในใจ:
“…ตั้งแต่สองทุ่มถึงแปดโมงเช้า ห้ามออกมาเคลื่อนไหวและชุมนุมกลางแจ้งโดยเด็ดขาด…”
“พวกเราควรไปไหนดี” หญิงสาวโพล่งถาม
ภายใต้กฎสองข้ออย่างเคอร์ฟิวและห้ามบุกรุกเคหสถาน ดูเหมือนว่าทางเลือกเดียวของพวกมันคือการรอรับโทษ
ไคลน์ยิ้มพลางกล่าว:
“ห้ามเคลื่อนไหวหรือชุมนุมกลางแจ้ง”
ขณะกล่าว มันใช้เท้าเคาะฝาท่อระบายน้ำทิ้ง
ดวงตาไบลส์พลันส่องประกาย
“ใช่แล้ว กฎไม่ได้ห้ามลงท่อระบายน้ำ! ย้อนกลับไปในตอนที่มีกฎเคอร์ฟิวระหว่างสงคราม คนเร่ร่อนมักซ่อนตัวในท่อระบายน้ำหรือไม่ก็อาคารร้าง”
รอยและคนที่เหลือเลิกลังเล รีบก้าวไปข้างหน้าและออกแรงเปิดฝาท่อ จากนั้นก็ปีนลงไป
ท่ามกลางความมืดมิด แสงสลัวสว่างขึ้นจากตะเกียงในมือไคลน์
ขณะเดินตามนักมายากลผู้เก่งกาจ ฟิลกล่าวพลางครุ่นคิด
“พวกเราควรไปที่โรงแรม… ไบลส์เป็นคนท้องถิ่น เขาสามารถเปิดห้องได้โดยไม่ถูกโจมตี จากนั้นเราจะปีนเข้าไปทางหน้าต่าง และเนื่องจากได้รับอนุญาตจากเจ้าของโรงแรมแล้ว พฤติกรรมของเราจึงไม่ถือเป็นการบุกรุกเคหสถาน… ด้วยวิธีนี้ เราจะรอดตัวจนกระทั่งหมดเคอร์ฟิวในตอนรุ่งเช้า”
“เป็นความที่น่าสนใจ แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่การเอาตัวรอดจนถึงรุ่งเช้า” ไคลน์ที่ถือตะเกียงเดินหน้าสุดตอบด้วยรอยยิ้ม
รอยพยักหน้า
“ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยและเอาแต่หลบอยู่ในโรงแรม กฎใหม่จะถูกเพิ่มเข้าไปทีละนิด จนถึงขั้นที่คนต่างถิ่นไม่สามารถเข้าพักในโรงแรมได้อีก”
“อันที่จริง จุดที่น่าสนใจของแนวคิดเมื่อครู่ไม่ใช่การมองหาช่องโหว่ของข้อบังคับ แต่เป็นการทำให้ผมตระหนักถึงบางสิ่ง” ไคลน์หันไปมองไบลส์ “ทั้งที่เป็นคนท้องถิ่นของเบลดัน แต่เขากลับไม่พยายามจับกุมเราที่เป็นคนต่างถิ่น”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไบลส์ไม่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งในกระดาษสีเหลือง
นี่มัน… พาชาและคนที่เหลือต่างหันไปมองไบลส์ด้วยสายตาระแวงเล็กๆ ภายในใจสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจมีเจตนาซ่อนเร้น
เหตุการณ์ที่ได้เห็นก่อนหน้าทำให้พวกมันมั่นใจว่า ชาวเมืองเบลดันจะไล่ล่าจับกุมคนนอกด้วยความขาดสติ
“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม…” ไบลส์กระซิบอย่างสับสน
“คุณยังเป็นพลเมืองของเบลดันจริงหรือ” ไคลน์ถามโดยไม่มองหน้าขณะเดินไปตามท่อระบายน้ำที่ชื้นและมีกลิ่นเหม็น
ไบลส์ที่ตามหลังตอบอย่างมั่นใจ
“แน่นอน”
ไคลน์ถามด้วยสีหน้าไตร่ตรอง
“ในเชิงหลักการ คุณยังเป็นพลเมืองเบลดัน แต่อีกแง่หนึ่งคุณก็ถูกจำแนกให้เป็นคนนอก คุณสมบัติทั้งสองทับซ้อนกันจนเกิดความขัดแย้ง ภายใต้กฎดังกล่าว คุณจึงทั้งไม่ถูกโจมตีและไม่ถูกล้างสมอง”
“ถ้าเราสามารถสร้างความ ‘ขัดแย้ง’ แบบเดียวกันได้ พวกเราก็จะเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์?” ฟิลถามอย่างมีความหวัง
พาชาส่ายหน้า
“แต่ความขัดแย้งแบบนั้นสร้างขึ้นไม่ง่าย อย่างน้อยฉันก็คิดไม่ออกแม้แต่เรื่องเดียว…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ เธอเผยสีหน้าลังเลและพูดต่อ
“ประเด็นสำคัญในตอนนี้คือการที่เราอยู่ห่างจากกระดานข่าวสาร ไม่มีทางทราบได้ว่ากฎใหม่คืออะไร ยากที่จะหลบเลี่ยงได้ถูก”
เมื่อถึงตอนนั้น พวกมันก็คงไม่กล้าทำอะไรเลย!
ไคลน์ยิ้ม
“ไม่ต้องกังวล กระจกบานนี้จะช่วยให้เราเห็นเนื้อหาใหม่ๆ บนกระดานข่าวสาร”
มันเผยกระจกวิเศษที่ถูกเลื่อนออกจากแขนเสื้อมายังฝ่ามือซ้าย
พาชาถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“นี่ไม่เข้าข่ายทำผิดกฎการแอบมองหรือ?”
บนผิวกระจกสีเงิน ถ้อยคำที่มีสีเดียวกับเลือดสดปรากฏขึ้น
“ข้ามองป้ายประกาศแบบเดียวกับที่มองดวงอาทิตย์ นั่นไม่ใช่การแอบมอง”
ไคลน์เก็บกระจกวิเศษและเสริมด้วยรอยยิ้ม
“นอกจากนั้น สิ่งนี้เป็นแค่วัตถุ มันจะทำผิดกฎได้อย่างไร”
สมเหตุสมผล… ไบลส์และฟิลพยักหน้าพร้อมกัน
หลังจากรอยเข้าใจภาพรวม มันถอนหายใจและถาม
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการตามหาสิ่งของ แต่เราไม่มีเบาะแสเลยสักอย่างเดียว… ในเมื่อเป้าหมายเป็นหนังสือ มันจะอยู่ตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น วิธีเดียวคือการค้นหาแบบปูพรมไปทั่วเมือง แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่อำนวย”
“ใช่แล้ว พวกเรายังไม่ทราบว่า 0-02 อยู่ที่ใด แถมยังไม่มีเบาะแส แต่มีตัวตนหนึ่งที่ทราบข้อมูลดังกล่าวอย่างชัดเจน” ไคลน์ตอบด้วยท่าทีผ่อนคลายขณะฟังเสียงฝีเท้าสะท้อนในท่อระบายน้ำ
หัวใจพาชาพลันเต้นระรัว
“คุณหมายถึงราชาคณะ?”
ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า
“0-02 อาจอยู่ในมือของเขา หรือไม่ก็ซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งโดยฝีมือของเขา และหนังสือไม่มีทางย้ายตำแหน่งได้เอง หรืออย่างน้อยกฎในตอนนี้ก็ยังไม่เอื้อให้มันทำแบบนั้น”
“แล้วเราจะหาราชาคณะพบได้ยังไง?” ไบลส์โพล่งขึ้น
คงเป็นเพราะมีมิสเตอร์นักมายากลอยู่ด้านข้าง มันจึงไม่กลัวการตามหาเทวทูตเดินดิน
ไคลน์ที่ถือตะเกียงตอบอย่างใจเย็น
“ตราบใดที่ 0-02 ไม่ได้มอบความคุ้มครองเป็นพิเศษกับราชาคณะ เขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎบนป้ายประกาศเช่นกัน… และเนื่องจากเขาเป็นชาวฟุซัค ย่อมไม่มีทางถูกจำแนกให้เป็นชาวเบลดัน จึงไม่ได้รับอภิสิทธิ์แบบเดียวกับชาวเมือง… ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเป็นเทวทูต ไม่ใช่มนุษย์ในเชิงชีววิทยา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกจำแนกให้เป็นคนต่างถิ่น ผมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้”
“สรุปโดยสั้น ราชาคณะคนนั้นต้องทำตามกฎเคอร์ฟิวโดยมิอาจบุกรุกเคหสถาน และไม่สามารถซ่อนในสถานที่สาธารณะซึ่งไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปผ่านเข้าออกในยามวิกาล นอกจากนั้น คนต่างถิ่นอย่างท่านก็ไม่มีทางถือครองคุณสมบัติสองชนิดเหมือนกับไบลส์… ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าตอนนี้ท่านกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใด?”
รอยกลอกตาไปรอบๆ พลางมอบตัวเลือกหลายข้อ
“ท่อนระบายน้ำ สุสาน วิหารก่อนเที่ยงคืน อาคารร้าง…”
“ตอนกลางคืนห้ามเข้าสุสาน และอาคารร้างก็เป็นทรัพย์สินของใครสักคนหรือไม่ก็นิติบุคคล” พาชารีบเตือน
“ถูกต้อง หากเมื่อใดที่ท่อระบายน้ำกลายเป็นข้อห้าม เราจะมุ่งหน้าไปยังวิหารเพื่อตามหาราชาคณะ หรือถ้าไม่พบก็ดักรออยู่ที่นั่น” ไคลน์กล่าวอย่างผ่อนคลายประหนึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย
รอย ฟิล และคนที่เหลือต่างพากันตกตะลึง พวกมันคาดไม่ถึงว่าจะระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้ด้วยวิธีง่ายๆ เช่นนี้
แค่สนทนาเพียงไม่กี่คำก็สามารถระบุตำแหน่งของเทวทูต!
“แต่ในเบลดันมีวิหารหลายแห่ง พวกเราต้องร่วมมือกันเพื่อย่นเวลาลง และอย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่ว่า ราชาคณะอาจใช้ระดับตัวตนและพลังของตัวเองในการต่อต้านบทลงโทษจากกฎหมาย” กล่าวจบ ไคลน์ก้มหน้าลงพลางพูดกับกระจกวิเศษในมือ “อาโรเดส คอยจับตามองทั้งเมืองและให้ความสนใจกับสถานการณ์ผิดปรกติ”
หลังจากออกคำสั่ง ไคลน์ลากอาเรียนน่าออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์อีกครั้ง และขอให้อีกฝ่ายคอยจับตาวิหารของโบสถ์รัตติกาล
จัดการเสร็จ มันหันไปพูดกับรอย พาชา และอีกสองคน
“หากทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่พบตัวราชาคณะ แสดงว่าเขาอาจออกจากเบลดันไปแล้วโดยทิ้งให้ 0-02 คอยสกัดกั้นศัตรูแทน หรือไม่ก็สามารถควบคุม 0-02 ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราต้องกลับไปใช้วิธีตัดตัวเลือกเหมือนเดิม”
รอยและคนที่เหลือพยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียง จากนั้นก็เดินตามไคลน์ไปตามแนวท่อระบายน้ำ
ผ่านไปหลายนาที กระจกสีเงินโบราณส่องแสงคลื่นน้ำกระเพื่อม ฉายให้เห็นภาพหนึ่ง:
บนป้ายประกาศ มีกระดาษขาวแผ่นใหม่ถูกเขียนไว้ด้วยกฎใหม่
“…เนื่องจากทางเทศบาลมีความจำเป็นต้องปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก หลังจากนี้ห้ามทุกสิ่งมีชีวิตเข้าไปในท่อระบายน้ำ”
“ความถี่ในการเพิ่มกฎสูงขึ้น…” ไคลน์พึมพำพลางขมวดคิ้วจนเกือบมองไม่เห็น จากนั้นก็หยิบถุงมือหนังมนุษย์ออกจากอากาศ
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้พาชาและคนที่เหลือมาจับมือกัน
ถัดมา ไคลน์จับไหล่หนึ่งในพวกมัน จากนั้นก็พาเทเลพอร์ตออกจากท่อระบายน้ำไปยังวิหารวายุสลาตันที่ใกล้ที่สุด
ระหว่างนี้ ผู้วิเศษทั้งสี่มองเห็นหนูและแมลงสาบในท่อระบายน้ำทยอยล้มตายไปทีละตัว ก่อนที่จะถูกฉากภายในโลกวิญญาณดึงดูดสายตาจนเกิดความวิงเวียนทางจิต
…………………………………