บทที่ 1127 รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,127 รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปถามเสียงแข็งกร้าว “ตอนแรกข้านึกว่าท่านเป็นตัวปลอม ที่ไหนได้ท่านกลับเป็นตัวจริง พฤติกรรมของท่านในครั้งนี้ ไม่คิดถึงจิตใจภรรยาของท่านบ้างหรืออย่างไร?”

“ว่าไงนะ?”

ติงซานฉือขมวดคิ้วนิ่วหน้า “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?”

“เหอเหอเหอ ยังปากแข็งอีกหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอกล่าวว่า “ที่หน้าประตูคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองเมื่อสักครู่ ข้าเห็นด้วยสองตาของตนเอง สตรีที่เดินออกมาส่งท่านคือลู่กวนไห่…”

สีหน้าของติงซานฉือแปรเปลี่ยนไปในทันที “เจ้าศิษย์สารเลว เจ้าจิตใจสกปรก… หากไม่มีหลักฐาน อย่าได้กล่าวหาผู้อื่นอย่างเลื่อนลอย”

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “หึหึ อาจารย์คงไม่ทราบ ข้าได้ใช้ศิลาบันทึกภาพทั้งหมดเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานแล้ว คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอาจารย์จะประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรม ยิ่งท่านกระทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งปวดใจเหลือเกิน”

ศิลาบันทึกภาพ?

เจ้าเด็กคนนี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?

ติงซานฉือพยายามสงบจิตใจ

“เจ้า… อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล”

แต่น้ำเสียงของชายวัยกลางคนก็อ่อนลงมากแล้ว

หลินเป่ยเฉินจ้องมองอาจารย์ของตนเองด้วยความมั่นใจ

แต่เขาก็ไม่ได้ต้อนติงซานฉือให้จนมุมมากเกินไป ก่อนที่อาจารย์จะตั้งสติได้ เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน “อาจารย์ขอรับ ก่อนหน้านี้เกิดเหตุประหลาด ศิษย์ได้รับจดหมายจากอาจารย์ ระหว่างทางไปสุสานกระบี่ ศิษย์ถูกลอบสังหาร…”

หลินเป่ยเฉินอธิบายรายละเอียดอย่างรวบรัด

“ข้าสามารถรับปากได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือคนของจวนท่านเจ้าเมืองแน่นอน”

ติงซานฉือรีบให้คำตอบออกมาอย่างเร็วไว “บัดนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในเมืองไป๋หยุน สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี… เอาเถอะ พวกเรากลับไปที่สำนักกระบี่อมตะกันก่อนดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ อาจารย์จำเป็นต้องปรึกษากับเจ้า”

แล้วอาจารย์กับลูกศิษย์ก็เดินทางกลับมาถึงสำนักกระบี่อมตะ

“เรื่องสำคัญหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามขณะเดินอ้อมพ้นหัวมุมทางเดิน “สำคัญขนาดไหน?”

“สำคัญในชนิดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนจำนวนมาก”

ติงซานฉือตอบ

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “นับว่าสำคัญมากจริง ๆ”

ระหว่างที่พูดกันอยู่นี้ พวกเขาก็เดินมาถึงลานฝึกวิชาด้านหน้าตึก

สือจงเซิ่งกับอิ๋นซานที่อยู่ในกลุ่มผู้ออกกำลังกายถูกเรียกตัวเข้าห้องประชุมเป็นการด่วน

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

ติงซานฉือบอกเล่าถึงเรื่องราวที่ผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ได้รับจดหมายปลอมและกล่าวว่า “สำนักใหญ่เหล่านั้นต่างก็ไปรวมตัวที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง เพื่อขอคำอธิบายจากเมืองไป๋หยุน”

“พวกเขาต้องการคำอธิบายอันใด?”

อิ๋นซานถาม “คนของพวกเขาหายตัวไปเมื่ออยู่นอกเมือง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเราสักหน่อย”

สือจงเซิ่งพูดว่า “พวกเขาคงไม่กล้าไปเรียกร้องกับกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางสินะ ถึงได้มาระบายความโกรธแค้นกับพวกเราแทน… เฮอะ ช่างไร้ยางอายกันเสียจริง ก็ตอนนั้นคนของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางบอกเองไม่ใช่หรือว่าเหล่ามือสังหารได้ตายหมดสิ้นแล้ว”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง”

ติงซานฉือกล่าว “ผู้คนหายตัวไปในจักรวรรดิเป่ยไห่ เมืองไป๋หยุนจึงต้องรับผิดชอบ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นตายที่ใด แต่ปัญหาคือตายเพราะเหตุใดต่างหาก เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนวางแผนการเหล่านี้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นอย่างใช้ความคิด ก่อนพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น กลุ่มคนที่พยายามลอบสังหารข้าคืนนี้ ก็น่าจะเป็นมือสังหารกลุ่มเดียวกับที่เคยออกอาละวาดก่อนหน้านี้สินะขอรับ? คิดไม่ถึงเลยว่าบัดนี้พวกมันจะกล้าเข้ามาลงมือในเมืองของเราแล้ว”

ก่อนหน้านี้ กลุ่มมือสังหารจะลงมือก็ต่อเมื่อผู้คนเดินทางออกไปจากเมืองไป๋หยุนแล้วเท่านั้น

บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันหวาดกลัวผู้อาวุโสฉี หรือไม่ก็เกรงกลัวบารมีของคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง…

แต่บัดนี้ พวกมันกล้ามาลงมือในตัวเมืองแล้ว

นี่ไม่ใช่ว่าฝ่ายศัตรูมั่นใจในชัยชนะของตนเองแล้วหรือ พวกมันถึงได้ลงมืออย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด?

ให้ตายสิ

คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใครกันนะ?

ทำไมถึงต้องอยากฆ่าเขาด้วย?

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น

ติงซานฉือพูดต่อ “ท่านเจ้าเมืองฉู่เสนอให้เลื่อนงานประลองกระบี่ออกไปก่อน รอจนสืบสวนเรื่องการหายตัวไปของกลุ่มคนจนทราบคำตอบแน่ชัด หลังจากนั้น ค่อยกลับมาจัดการประลองรอบชิงชนะเลิศ…”

“จริงหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันที

หากเลื่อนงานประลองออกไปได้สักหลายวันก็คงดีไม่น้อย

เพราะตามกำหนดการวันเดิม มันจะตรงกับวันเสร็จสิ้นภารกิจของแอปพลิเคชัน Keep ซึ่งจะเป็นวันที่ขอบเขตพลังของหลินเป่ยเฉินได้เลื่อนขั้นพอดี หากมีเวลาได้ปรับสมดุลร่างกายก่อนสักเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ประเสริฐนัก

“แต่คนของคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรปฏิเสธข้อเสนอนี้”

ติงซานฉือกล่าวต่อ “และไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสฉีก็ปฏิเสธเช่นกัน ดังนั้นวันมะรืนนี้ งานประลองกระบี่จะจัดขึ้นตามกำหนดเดิมต่อไป”

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ

อาจารย์นะอาจารย์ พูดให้จบรวดเดียวเลยไม่ได้หรือไง?

แต่จะว่าไป เรื่องนี้ก็ฟังดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย

ข้อเสนอของฉู่อวิ๋นซุนในครั้งนี้ฟังดูมีเหตุมีผลมากที่สุด ดังนั้น มันจึงน่าประหลาดใจมากที่ทั้งคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางและผู้อาวุโสฉีกลับแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย

เพราะเหตุใด?

“แล้วพวกที่มาตามหาลูกศิษย์ของพวกเขาเล่า?”

สือจงเซิ่งขมวดคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ “พวกเขาคงไม่ยอมเลิกล้มการเรียกร้องง่าย ๆ หรอกกระมัง?”

ติงซานฉือถอนหายใจก่อนตอบ “นี่แหละปัญหาใหญ่ที่สุด ท่านเจ้าเมืองฉู่ส่งคนออกไปสืบสวนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก ว่ากันว่าบัดนี้กลุ่มคนเหล่านั้นไปรวมตัวกันอยู่ที่หอเจ็ดดารา กำลังวางแผนจะไปชุมนุมกันที่หน้าจวนท่านเจ้าเมืองวันพรุ่งนี้เช้า หากเมืองไป๋หยุนไม่สามารถมอบคำอธิบายให้แก่พวกเขาได้ พวกเขาก็คงต้องร่วมมือกันถล่มเมืองของเราเป็นแน่แท้”

อิ๋นซานเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี?”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “ข้าน้อยมีวิธีแก้ปัญหาขอรับ”

“ว่ามา”

ติงซานฉือ สือจงเซิ่งและอิ๋นซานหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มเป็นตาเดียวกัน

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่า ๆๆ ก่อนจะยกมือเสยผมและกล่าวว่า “พวกเราก็ฆ่ากลุ่มผู้คนที่มาเรียกร้องให้หมดสิขอรับ เพียงเท่านี้ พวกเขาก็ไปรวมตัวที่หน้าจวนท่านเจ้าเมืองวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว หรือถ้าโชคดี เราอาจได้ทำบุญสร้างกุศลด้วยการส่งพวกเขาไปพบเจอศิษย์ของตนเองในปรโลกด้วยซ้ำ”

สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามท่านแสดงออกถึงความอ่อนอกอ่อนใจออกมาทันที

“เจ้าอยากให้เมืองไป๋หยุนเรากลายเป็นศัตรูกับผู้คนทั่วดินแดนหรืออย่างไร?”

ติงซานฉืออยากจะสบถคำหยาบออกมานัก

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ไม่แน่นะขอรับ หากพวกเราสามารถสังหารพวกเขาได้หมดสิ้น เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครล่วงรู้”

“ฝันไปเถอะ”

ติงซานฉือปฏิเสธโดยไม่ลังเล “อย่าได้เสนอความคิดบัดซบของเจ้าออกมาอีก”

หลินเป่ยเฉินอ้าปากหาวก่อนจะลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วขอรับ อย่างไรพวกท่านก็เป็นผู้อาวุโส หาวิธีแก้ปัญหากันเอาเองแล้วกัน ข้าน้อยขอตัวไปอาบน้ำก่อน”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็เดินออกจากโต๊ะประชุมไปหน้าตาเฉย

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าติงซานฉือปรึกษาหารือกับศิษย์น้องของตนเองได้ความว่าอย่างไรบ้าง

แต่รุ่งเช้าวันต่อมา คุณชายหลินที่กำลังนอนหลับฝันหวานก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นด้านนอก

“หลินเป่ยเฉิน รีบไสหัวออกมามอบคำอธิบายเดี๋ยวนี้”

“ผู้คนในสำนักกระบี่อมตะตายหมดแล้วหรืออย่างไร? ยังไม่รีบออกมามอบคำอธิบายอีก”

“หากยังไม่รีบออกมา พวกเราจะบุกเข้าไปแล้ว”

เสียงตะโกนเหล่านั้นดังมาจากหน้าทางเข้าสำนักกระบี่อมตะ

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย

บรรยากาศช่างคุ้นเคย

นี่มันเหมือนกับตอนที่เขาทะลุมิติมาอยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สามช่วงแรก ๆ เลยใช่ไหม?

หลินเป่ยเฉินบิดขี้เกียจด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะลุกขึ้นยืน ตะโกนถามว่า “ข้างนอกเอะอะอะไรกัน?”

เฉียนเจินเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถือผ้าขนหนูและอ่างน้ำอุ่นมาด้วย “นายท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ บัดนี้ผู้คนจากสำนักต่าง ๆ มารวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอก เพื่อเรียกร้องให้นายท่านออกไปมอบคำอธิบายเจ้าค่ะ”

“มอบคำอธิบายอะไร?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย “ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์สำนักกระบี่ธรรมดานะ ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสักหน่อย? ทำไมพวกเขาต้องมาเอาคำอธิบายจากข้าด้วย?”

เฉียนเจินตอบว่า “ก็เมื่อตอนเช้าน่ะสิเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองกับอาจารย์ติงได้ออกประกาศว่า นายท่านจะเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ที่มือกระบี่เหล่านั้นหายตัวไปแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงมาถามหาคำอธิบายจากนายท่านแล้วเจ้าค่ะ”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินตกใจจนสำลักน้ำบ้วนปาก

เขาเนี่ยนะจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว?

แบบนี้ตั้งใจโยนเผือกร้อนมาให้เลยนี่หว่า

ตื่นเช้ามายังไม่ทันล้างหน้าแปรงฟัน ก็หางานมาให้ทำแล้วหรือนี่?

ฉู่อวิ๋นซุน ติงซานฉือ พวกท่านยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่?