บทที่ 1129 จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นองเลือด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,129 จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นองเลือด

“ไสหัวกลับไปซะ อย่ามารบกวนเวลาพักผ่อนของข้า”

หลินเป่ยเฉินโบกมือไล่ด้วยความรำคาญใจ

เขาพบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่หน้าสำนักกระบี่อมตะในขณะนี้ ไม่มีขั้นเซียนเลยสักคน ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ทั้งสิ้น

มิหนำซ้ำ ยังเป็นขั้นยอดปรมาจารย์ที่โง่เขลา ถูกผู้อื่นชักจูงได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับมนุษย์คนหนึ่งก็คือนอกจากไม่เก่งแล้วยังโง่เขลาอีกต่างหาก

เมื่อมีผู้ที่สามารถชักจูงคนในกลุ่มได้สำเร็จ คนอื่น ๆ ที่เหลือก็จะพลอยเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปด้วยโดยไม่รู้ตัว…

เหตุการณ์นี้ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงตอนที่ตนเองยังอยู่ที่โลกใบเก่า ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในลานจอดรถของโรงเรียน

เรื่องของเรื่องในวันนั้นก็คือเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดร้านอยู่แถวนั้นได้ขับรถชนเด็กนักเรียนหญิงที่ขี่จักรยานผ่านมา โชคดีที่ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บ และอุบัติเหตุครั้งนี้ก็เป็นการประมาทร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

แต่ภายหลัง เจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตกลับพยายามจะเอาเรื่องเด็กนักเรียนหญิงคนนั้น ส่งผลให้บรรดาเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่เกิดความไม่พอใจไปรวมตัวกันที่ลานจอดรถ ซึ่งหลินเป่ยเฉินก็คือหนึ่งในเด็กนักเรียนเหล่านั้น เดิมทีเขาตั้งใจไปรับชมการชุมนุมด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อบรรยากาศพาไป เด็กหนุ่มก็รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มผู้ประท้วง ไม่ว่าถูกบอกให้ทำอะไรเขาก็ทำตามโดยไม่รู้ตัว และเมื่อได้สติอีกที หลินเป่ยเฉินก็พบว่าตนเองกำลังร่วมมือกับเด็กนักเรียนอีกหลายสิบชีวิตใช้ก้อนหินทุบรถเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตคันนั้นเสียแล้ว…

นับตั้งแต่นั้นมา หลินเป่ยเฉินก็รู้ซึ้งถึงการปลุกระดมมวลชนที่แท้จริง

ดังนั้น กลุ่มมือกระบี่ที่มารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้ก็คงไม่ต่างกัน

ปัญหาก็คือใครเป็นผู้ที่ปลุกระดมมือกระบี่เหล่านี้?

พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังถูกหลอกใช้เพื่อสร้างความวุ่นวายเท่านั้น

นี่แสดงว่าผู้ปลุกระดมต้องมีแผนการแยบยลไม่น้อย

“เจ้า… เจ้ามันโอหังเกินไปแล้ว”

“ก็ในเมื่อท่านเจ้าเมืองบอกให้เรามาที่นี่ เราก็มาที่นี่… เราจะกลับไปฟ้องท่านเจ้าเมือง”

“เราเพียงต้องการมาพูดคุยด้วยดี ๆ แต่เจ้ากลับฆ่าคนเชียวหรือ?”

กลุ่มผู้ชุมนุมส่งเสียงตะโกนโวยวาย

พวกเขาล้วนรู้สึกโกรธแค้น การมาที่สำนักกระบี่อมตะในเช้าวันนี้ นอกจากจะไม่ได้รับคำอธิบายจากหลินเป่ยเฉินแล้ว ทันทีที่เด็กหนุ่มปรากฏตัวออกมา เขาก็เริ่มฆ่าคนอีกต่างหาก

แทบจะไม่ถามไม่ไถ่กันสักคำ

แต่กลุ่มผู้ชุมนุมล้วนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ หลายคนเป็นผู้อาวุโสในสำนักของตนเอง แล้วพวกเขาจะยอมเสียหน้าได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ยังไม่ไปกันอีก ข้าจะได้กลับไปพักผ่อนต่อสักที”

เด็กหนุ่มโบกมือไล่อีกครั้ง

ในกลุ่มผู้ชุมนุม ปรากฏชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเกราะสีแดงคนหนึ่งทนไม่ไหวกับความไร้มารยาทของหลินเป่ยเฉิน

เขากัดฟันกรอด ตะโกนออกมาด้วยความเคียดแค้นว่า “เฮอะ หากวันนี้เจ้าไม่มอบคำอธิบาย ข้ากระบี่ยมโลกเหวินจ้าวหลุนจะไม่ไปไหนเด็ดขาด พวกเราหาใช่มดปลวกที่จะตายด้วยมือเจ้าหมดสิ้นไม่ พวกเราจะฆ่าเจ้า… อุ๊บ…”

ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของเขาก็ถูกมือของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังยื่นมาปิดสนิทแน่น

บัดนี้ บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังกระบี่ยมโลกเหวินจ้าวหลุนล้วนแต่มีใบหน้าซีดเซียวกันหมดสิ้น

พวกเขากำลังตกตะลึงและสาปแช่งเหวินจ้าวหลุนอยู่ในใจ

หากอยากตายคนเดียวไม่มีใครว่า เหตุไฉนถึงต้องลากผู้อื่นไปเกี่ยวข้องด้วย?

ไม่เห็นหรือไรว่าผู้นำการชุมนุมในครั้งนี้ร่างกายระเบิดกระจาย แม้แต่เศษกระดูกก็แทบไม่มีเหลือ?

“ตกลงว่าพวกเจ้าจะไปหรือไม่ไป?”

หลินเป่ยเฉินคำราม “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากพวกเจ้ายังออกไปไม่พ้นรัศมีหนึ่งลี้ของสำนักกระบี่อมตะ พวกเจ้าก็จะต้องพบกับ…”

อากวงโบกสะบัดสายแส้เป็นการขู่ขวัญ

พลังลมปราณจากสายแส้พุ่งกระจายไปรอบทิศทาง

นี่คือการข่มขู่ที่น่าหวาดกลัว

เหวินจ้าวหลุนดึงมือที่ปิดปากตนเองออกไป เขากำลังจะพูดอะไรออกมาอีกครั้ง แต่ก็ถูกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังชักกระบี่แทงใส่บริเวณชายโครง…

“โอ๊ย!”

เหวินจ้าวหลุนร้องด้วยความเจ็บปวด

หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นนับถอยหลัง “หนึ่ง…”

หลังจากนั้น เขาก็กระโจนเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมทันที

ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!

เด็กหนุ่มทั้งต่อยทั้งเตะ กลุ่มผู้ชุมนุมแตกฮือไปคนละทิศละทาง บรรดาผู้คนที่ถูกหลินเป่ยเฉินเล่นงาน ต่างก็ล้มลงสลบเหมือดบนพื้นดิน

“นี่มันอะไรกัน…”

“ไหนว่าจะนับถึงสามไงล่ะ?”

“คนโกหก เจ้ายังนับไม่ถึงสามเลยด้วยซ้ำ!”

ท่ามกลางการวิ่งหนีอย่างกระเจิดกระเจิงของกลุ่มผู้ชุมนุม ยังคงมีมือกระบี่จำนวนมากลอยละลิ่วปลิวออกไปด้วยใบหน้าที่บวมช้ำ

ฟันหลุดออกมาจากปาก

เลือดกำเดาไหลออกจากจมูก

เหรียญทองคำปลิวว่อนในอากาศ…

ไม่กี่ลมหายใจหลังจากนั้น บรรดาผู้ที่มาชุมนุมอยู่หน้าสำนักกระบี่อมตะก็มีสภาพกลายเป็นกระสอบทรายปลิวกลับไปทางใจกลางตัวเมืองไป๋หยุน…

แต่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินใช้เพียงพลังในร่างกายของตนเองเท่านั้น

เขาไม่ได้ใช้พลังลมปราณ

แค่ใช้เรี่ยวแรงที่มี

เด็กหนุ่มไม่ได้อยากฆ่าใคร

ผู้คนส่วนใหญ่จึงบาดเจ็บสาหัส

ไม่มีใครเสียชีวิต

แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นเจตนาของเขา

เด็กหนุ่มชี้มือไปที่ถุงเก็บสมบัติซึ่งตกเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดิน ก่อนออกคำสั่งกับอากวงว่า “เก็บกวาดให้หมด พบเจอสิ่งใดที่ถูกใจเจ้าก็เก็บเอาไว้ ของไม่มีค่าก็ทิ้งไป ชิ้นไหนมีค่าก็ส่งมาให้ข้าด้วยแล้วกัน”

อากวงส่งเสียงรับคำด้วยความตื่นเต้น

ก่อนจะวิ่งไปยังถุงเก็บสมบัติเหล่านั้นอย่างเบิกบานใจ

มันชอบความรู้สึกนี้จริง ๆ

แม้แต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในสำนักกระบี่อมตะอีกครั้ง

“ทั้งที่น่าจะได้ของมามากกว่านี้แล้วแท้ ๆ เผลอใจอ่อนเอาตอนสุดท้ายซะได้หนอเรา…”

เด็กหนุ่มถอนหายใจกับตัวเอง

มีสิ่งของอีกจำนวนมากที่เขาไม่ได้ขโมยมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม

เฮ้อ

ดูเหมือนช่วงหลังจิตใจของเขาจะอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดอย่างสะทกสะท้านใจว่าผู้อื่นกล่าวหาเขาเป็นคนดุร้าย ทั้ง ๆ ที่เขากระทำต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตาที่สุดแล้ว

นอกจากไว้ชีวิตผู้คน เขายังคิดค่าปรับเพียงเล็กน้อยอีกด้วย

ห่างไกลออกมา

ในซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง

กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนมารวมตัวกันด้วยใบหน้าบวมปูด

“ข้านึกว่าจะต้องตายซะแล้ว…”

“นั่นสิ คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

“หลินเป่ยเฉินผู้นี้ร้ายกาจเกินไป… ช่างเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลยิ่งนัก”

“เอาเถอะ รอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าบุญแล้ว เด็กคนนี้น่ากลัวมากเกินไป เพียงกำปั้นและสองเท้าของเขาก็ทำให้พวกเรากระเด็นกระดอนอย่างสู้ไม่ได้ หากเขาอยากฆ่าพวกเราจริง ๆ พวกเราก็คงตายไปตั้งนานแล้ว”

“สรุปว่าพวกเราโดนหลอกใช้สินะ”

“คนของสำนักมหากระบี่หลอกลวงพวกเรา ไหนเขาบอกว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมืออยู่ในขั้นธรรมดาไงล่ะ?”

“เดี๋ยวก่อนนะ ถุงเก็บสมบัติของข้าหายไปไหน?”

“จริงด้วย ของข้าก็หายไปเช่นกัน”

“ของข้าก็เช่นกัน… คงไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินขโมยไปหรอกกระมัง? ได้ยินมาว่าเด็กคนนี้ชอบค้นซากศพปลดของมีค่าที่สุด ขนาดศพคนตายเขายังไม่ละเว้น แล้วพวกเราล่ะ?”

“กลับไปทวงคืนกันดีกว่า”

“เจ้ากล้ากลับไปหรือไง? ลืมแล้วหรือว่าเขาพูดอะไรไว้บ้าง? หากกลับไปตอนนี้ มีหวังได้ตายกันหมดพอดี”

“ถูกแล้ว มีข่าวลือว่าเด็กคนนี้สมองเสื่อม หากเราไปกระตุ้นโทสะเขา หลินเป่ยเฉินอาจกระทำได้ทุกอย่าง”

กลุ่มคนเริ่มลังเล สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้ากลับไป พวกเขาได้แต่เก็บความโกรธแค้นและความเกลียดชังเอาไว้ ต่อให้ทนไม่ไหวก็ต้องทนให้ได้

“พวกท่านจะกลัวอันใด? เขาสามารถฆ่าพวกเราได้หมดเลยหรือ? ไปเถอะ กลับไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ…”

กระบี่ยมโลกเหวินจ้าวหลุนเดินกะเผลกออกมาจากมุมหนึ่งของซากปรักหักพัง บาดแผลที่ชายโครงยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด “ตอนนั้นไม่รู้เป็นตัวบัดซบผู้ใดแอบแทงข้า มิเช่นนั้น ป่านนี้ข้าคงสังหารหลินเป่ยเฉินตายไปนานแล้ว เฮ้อ นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง”

หลายคนจ้องมองไปที่ชายหนุ่มด้วยแววตาเย้ยหยัน

หากไม่ได้มีคนเอากระบี่แทงไว้ ป่านนี้เหวินจ้าวหลุนก็คงกลายเป็นซากศพไปแล้ว

บุคคลโง่งมเช่นนี้ สมควรอยู่ให้ห่างที่สุด

มิเช่นนั้น คนที่อยู่ใกล้เคียงจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย

วูบ! วูบ! วูบ!

กลุ่มผู้ชุมนุมพุ่งตัวเป็นลำแสง แยกย้ายทางใครทางมัน

“เฮอะ มีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวทั้งนั้น”

กระบี่ยมโลกเหวินจ้าวหลุนยืนใช้ความคิดอยู่เพียงลำพัง หลังจากนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปทวงคืนสิ่งของจากหลินเป่ยเฉินและใช้เวลาทั้งหมดนั้นรักษาบาดแผลของตนเอง

สำนักกระบี่อมตะ

เข้าสู่ยามบ่ายแล้ว

หลินเป่ยเฉินนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะหินข้างลานฝึกด้านหน้าตึกด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ

อีกไม่ถึงหกชั่วยาม เวลาในการทำภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep ก็จะหมดลง

แต่ยังมีปัญหาที่เขาแก้ไขไม่ได้

ปรากฏว่าเฉียนเหมยที่น่าจะเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้ไม่ยาก กลับยังเลื่อนขั้นไม่สำเร็จ

และเด็กหนุ่มนามเผิงอี้เหลียง ซึ่งเป็นศิษย์ขนานแท้ของสำนักกระบี่อมตะก็ติดค้างอยู่ที่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับแปดมาหลายวันแล้ว ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้สักที

หลายครั้งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับการเลื่อนขั้นพลัง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ

ภารกิจจึงไม่คืบหน้าไปไหนเลย

“ดูเหมือนคงต้องหาตัวช่วยพิเศษแล้วสิ”

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจขั้นเด็ดขาด

การส่งผู้คนมารวมตัวประท้วงหน้าสำนักกระบี่อมตะก่อนหน้านี้คือเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

เด็กหนุ่มหยิบรายชื่อผู้อาวุโสต่างสำนักที่อิ๋นซานเคยแนะนำก่อนหน้านี้ออกมาดู และในที่สุด สายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่มนตรานามว่าหวังฉีกง

คนผู้นี้เคยมีระดับพลังสูงล้ำ

แต่ในภายหลังขั้นพลังได้เสื่อมถอยลง

สำหรับกับบุคคลประเภทนี้ หากได้สิ่งกระตุ้นสักเล็กน้อย ระดับพลังก็จะกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

น่าจะเป็นคนที่หลินเป่ยเฉินมองหาอยู่พอดี…

“มานี่ซิ”

หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกเผิงอี้เหลียงและโยนผลกวนเจี๋ยไปให้ พร้อมกับพูดว่า “เอาไปกินซะ หลังจากนั้นก็พยายามเลื่อนขั้นพลังให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หากเจ้าทำไม่สำเร็จ ข้าจะเผาเจ้าทั้งเป็น…”

เด็กหนุ่มรับผลกวนเจี๋ยไปด้วยมือที่สั่นเทา

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนแล้วออกคำสั่งต่อ “ก่อนข้ากลับมา ห้ามไม่ให้ใครออกจากสำนักกระบี่อมตะทั้งนั้น จงฝึกฝนกันต่อไปอย่าได้หยุดพัก… อากวง น้องเซียว ช่วยดูแลที่นี่แทนข้าด้วย หากใครไม่เชื่อฟัง ถือว่าไม่เห็นแก่หน้าหลินเป่ยเฉิน”

เมื่อเห็นสีหน้าขึงขังของเด็กหนุ่ม แม้แต่เฉียนเหมยก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว

เมื่อหลินเป่ยเฉินสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็ออกจากสำนักกระบี่อมตะ มุ่งหน้าตรงไปที่สำนักกระบี่มนตรา

และในเวลาเดียวกันนี้

มือกระบี่หลายร้อยคนก็ได้ไปรวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองอีกครั้ง

คราวนี้ ไม่ใช่การรวมตัวด้วยความสงบ

เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด

“โอ๊ย…”

“ขัดขวางพวกเขาให้ได้”

“เร็วเข้า รีบไปแจ้งท่านเจ้าเมือง”

บรรดามือกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนนอนจมกองเลือด

กลุ่มผู้ประท้วงได้บุกเข้าไปในเขตจวนท่านเจ้าเมืองแล้ว