เซี่ยโห้วลิ่งที่ยืนตะเกียบออกมาครึ่งหนึ่งหยุดนิ่งกลางอากาศ ลูกกระเดือกขยับอีกครั้ง
ตอนที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ เขารู้สึกแค่ว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนทั่วทั้งร่างกาย รู้สึกถึงมันจนนขนลุก รู้สึกเลือดเดือดปุดๆ การที่ไม่สามารถรวบรวมกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วมาไว้ในมือเขาได้ เป็นเหมือนก้างที่ติดคอเขามาตลอด โอกาสที่โผล่มาอย่างกะทันหันในตอนนี้เหมือนจะไขว้คว้าได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ
ยังไม่ต้องคิดให้รอบคอบว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะเห็นได้ชัดเจนมาก ว่าถ้าเขาทำตามที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับนั้นมหาศาลมาก
เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วลิ่ง เขาแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว คำพูดของหนิวโหย่วเต๋อเรียกได้ว่าโจมตีจุดสำคัญเซี่ยโห้วลิ่งในรวดเดียว เป็นสิ่งที่เซี่ยโห้วลิ่งปรารถนาแต่ไม่เคยได้รับ เกรงว่านายท่านคงจะถูกหนิวโหย่วเต๋อปลุกปั่นให้หวั่นไหวแล้วจริงๆ จึงแอบถ่ายทอดเสียงเตือนทันที “นายท่าน ไอ้หนิวจัญไรมันฝีปากคมคาย อย่าถูกเขาปลุกปั่นเชียวนะขอรับ!”
คำเตือนนี้มาได้เหมาะเจาะพอดี เซี่ยโห้วลิ่งที่เลือดร้อนพุ่งพล่านได้สติกลับมาแล้ว แต่หัวใจยังกระเพื่อมอยู่กลางคลื่น ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่าเจ้าเด็กนี่มันกำลังใช้ฝีปากยั่วยุข้า แต่ที่เขาพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล ลองดูต่อไปสิ ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ตระกูลเซี่ยโห้วแค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ส่งผลเสียอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้ว”
ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เหมียวอี้ย่อมสังเกตได้ว่าทั้งสองแอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน เขาชำเลืองเว่ยซูแวบหนึ่ง คนคนนี้อยู่กับจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่ามาหลายปี ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้าง จู่ๆ มาถ่ายทอดเสียงกับเซี่ยโห้วลิ่งในเวลานี้ เหมียวอี้กังวลจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำให้งานใหญ่ของเขาพัง
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เหมียวอี้ไม่ได้กังวลเซี่ยโห้วลิ่ง หยางชิ่งศึกษานิสัยขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ประเมินเซี่ยโห้วลิ่งไว้ไม่สูง ก่อนที่เหมียวอี้จะมา หยางชิ่งกลับเตือนให้ระวังเว่ยซูไว้ ที่ให้ระวังก็เพราะหยางชิ่งไม่สามารถสืบให้ลึกถึงก้นบึ้งของเว่ยซูได้เลย คนที่สืบไม่เจอก้นบึ้งต่างหากที่อันตรายที่สุด ก็เหมือนกับตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลที่คลำไม่เจอก้นบึ้งนั่นทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ
สำหรับลักษณะการทำงานของเว่ยซู หยางชิ่งเองก็คลำไม่เจอเส้นสนกลในเช่นกัน จึงเตือนเกี่ยวกับเว่ยซูไว้นิดหน่อย หลังจากเซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัยไปแล้ว พ่อบ้านคนสนิทของเซี่ยโห้วลิ่งก็หายตัวไป พ่อบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วยังคงเป็นเว่ยซู สองพ่อลูกอยู่กับตระกูลเซี่ยโห้วมาสามรุ่น แต่ยังไม่เคยสูยเสียอำนาจ อาศัยแค่ข้อนี้ ระวังตัวไว้หน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร
หลังจากทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกันเสร็จ เซี่ยโห้วลิ่งก็ใช้ตะเกียบอีกครั้ง คีบอาหารเข้าปากแล้วบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่วางแผนใหญ่มาก พูดตามตรงนะ ขนาดข้ายังตกใจเลย ฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ในทางปฏิบัติ เกรงว่าอาจจะไม่เป็นไปตามใจ!”
นี่ต้องการจะสืบดูรายละเอียดแผนการของเหมียวอี้ ทว่าเหมียวอี้กลับจงใจเอียงหน้ามองเว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นคำพูดหยอกเล่น ข้าล้อเล่นเท่านั้น ถ้าคุยต่อไปกับข้าวอาจจะเย็นจริงๆ” เขาถือตะเกียบคีบอาหารกิน แล้วยกจอกสุราเชิญอีกครั้ง
เซี่ยโห้วลิ่งเฝ้ารอฟังรายละเอียดแผนการ รู้สึกเก็บกดจนแทบกระอักเลือด แต่ก็มองออกว่าเหมียวอี้ซ่อนความลับเอาไว้ ไม่สะดวกจะให้คนที่อยู่ข้างๆ รับรู้ เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เขายกจอกสุรารับ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พ่อบ้านเว่ยเป็นคนข้างกายข้าที่เชื่อถือได้แน่ใจ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เหมียวอี้ขานรับพร้อมรอยยิ้ม แล้วยกกาสุราขึ้นมารินให้ทั้งสองฝ่ายอีก จากนั้นก็กล่าวชมเรื่องรสชาติอาหาร ไม่เอ่ยถึงประเด็นหลักเลย
เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้าหัวเราะ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้เว่ยซู
เว่ยซูเรียกได้ว่ากลุ้มใจ ถึงขนาดให้ข้ารู้เรื่องแผนการใหญ่ขนาดนี้แล้ว จะให้ข้ารู้รายละเอียดสักหน่อยไม่ได้เหรอ? ถ้าข้าจะเปิดเผยความลับจริงๆ แค่เปิดโผงแผนการใหญ่ของเจ้าก็เพียงพอที่จะทำให้งานเจ้าพังแล้ว หมายความว่าอะไรกัน หรือว่ายังมีความลับอะไรที่เบี่ยงเบนจากแผนการอีก แล้วไม่ต้องการให้ข้ารู้งั้นเหรอ?
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยังโค้งตัวด้วยความเคารพนอบน้อม แล้วเดินออกไปอย่างใจเย็น
เพียงแต่ก่อนที่จะออกไป แววตาที่มองเหมียวอี้ค่อนข้างสื่อความหมายล้ำลึก ลองคิดดูว่าตอนที่นายท่านคนเก่ายังอยู่ เจ้าเด็กปากดีคนนี้จะได้มาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าหัวหน้าตระกูลเหรอ อีกทั้งดูจากความเคลื่อนไหวของคุณชายรอง ก็เหมือนจะถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกเดินแล้ว ความต่างระหว่างสองคนนี้ทำให้ความเศร้ารันทดพรั่งพรูขึ้นมาในใจเขา
เหมียวอี้เอียงหน้าสังเกตปฏิกิริยาของเขา เป็นอย่างที่เว่ยซูคิด บอกแผนการใหญ่คร่าวๆ ให้เขารู้แล้ว ถ้าปิดบังรายละเอียดอีกก็ไม่มีความหมายจริงๆ ทว่าเหมียวอี้แค่อยากจะสืบดูความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยซูกับเซี่ยโห้วลิ่งสักหน่อย หวังว่าจะมองอะไรออกจากรายละเอียดนี้ ในเมื่อมาถึงที่แล้ว สืบอะไรได้บ้างนิดหน่อยก็ย่อมดีกว่า
ทว่ามองไม่ออกเลยว่าเว่ยซูไม่เคารพเซี่ยโห้วลิ่งตรงไหน เขาเลยทำตัวต่ำทรามโดยไม่ได้อะไรกลับมา
รอจนเว่ยซูหายไปแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ถามว่า “ตอนนี้ผู้ตรวจการใหญ่พูดสิ่งที่อยากพูดได้หรือยัง?”
“เป็นหนิวเองที่เอาใจของคนทรามมาวัดใจสัตตบุรุษ” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เริ่มกดเสียงต่ำพึมพำ ไม่ได้ถ่ายทอดเสียง เพียงกล่าวเสียงต่ำเท่านั้น สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งเฝ้ารอเรื่องนี้ขนาดไหน
จกานั้นก็เห็นเซี่ยโห้วลิ่งโน้มตัวมาข้างหน้าเรื่อยๆ เพื่อฟัง ทั้งสองแทบจะหน้าผากชนกันแล้ว ส่วนหลังจากนี้เซี่ยโห้วลิ่งจะตัดสินใจอย่างไร เหมียวอี้ก็มีแผนการในใจแล้ว
เซี่ยโห้วลิ่งฟังอย่างละเอียดรอบคอบมาก เพราะสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ ไม่ได้สังเกตเห็นด้วยว่าเหมียวอี้ตาเป็นประกายในบางครั้ง พอฟังไปฟังมาเขาก็ทำสีหน้าครุ่นคิด บางครั้งก็ถามรายละเอียดแล้วคิดทบทวน
หลังจากผ่านไปนาน ทั้งสองก็นั่งตัวตรงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังขบคิดถือกาสุรา พอรินให้เหมียวอี้เต็มจอก ก็ยังถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?”
ที่จริงคำพูดนี้ก็เท่ากับแสดงท่าทีว่ารับปากเหมียวอี้แล้ว
“ก่อนจะลงมือ ข้าขอให้ท่านปู่สวรรค์ช่วยอะไรข้าสักอย่างก่อน” เหมียวอี้กล่าว
“อ้อ!” เซี่ยโห้วลิ่งเริ่มระแวดระวังในใจ กังวลว่าอีกฝ่ายจะเริ่มใช้แผนสำรอง “ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “หลายปีก่อนข้าออกมาจากสำนักลมปราณ ช่วงนี้มีเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเกิดขึ้นนิดหน่อย ตระกูลอิ๋งต้องการจะมอบอำนาจควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงให้ตระกูลก่วง ข้าคิดว่าจะให้ก็ให้ไปสิ ข้าไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว ถึงยังไงร้านขายของชำซื่อตรงก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว แต่ใครจะคิดล่ะ ทางตระกูลก่วงดันมีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเกาเหยียน ต้องการจะบังคับแต่งงานกับเป่าเหลียนหลานสาวเจ้าสำนักลมปราณให้ได้ เป่าเหลียนคนนี้เคยติดตามทำงานกับข้ามาหลายปี นางมาขอร้องข้าแล้ว ข้าเองก็ไม่สะดวกจะนิ่งดูดาย แล้วข้าเองก็ไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งด้วย เลยบอกไปแค่ว่า พวกเจ้าอยากจะควบคุมสำนักลมปราณยังไงข้าไม่สน แต่เรื่องของเป่าเหลียนต้องไว้หน้าข้า ปล่อยนางไปสักครั้ง เรื่องนี้ก็จะถือว่าผ่านไป เฮ้อ! ใครจะคิด ว่าเจ้าเกาเหยียนอะไรนั่นจะด่าลามมาถึงข้าแล้ว ข้าไม่เข้าใจว่าตระกูลก่วงทำแบบนี้หมายความว่าอะไร คิดว่าข้าไม่กล้าไปถล่มเขาหรือไง?”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ยังนึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร! เซี่ยโห้วลิ่งฟังแล้วรู้สึกขำ ยกจอกสุราขึ้นมาจิบแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ข้าก็รู้มาบ้างนิดหน่อย ตระกูลอิ๋งกับตระกูลก่วงบอกตระกูลอื่นแล้ว รับประกันว่าจะไม่ให้กระทบต่อผลประโยชน์ของทุกคน ส่วนอำนาจควบคุมอะไรนั่น จะอยู่ในมือตระกูลอิ๋งหรือในมือตระกูลก่วงก็ไม่ต่างอะไรกัน ดังนั้นตอนที่สำนักลมปราณขอร้องฝั่งนี้มา ข้าก็เลยไม่ได้เข้าไปยุ่ง เกาเหยียนอะไรนั่นคือหลานชายของเกาจื่อเซวียน อนุภรรยาคนแรกของก่วงลิ่งกง เป็นลูกพี่ลูกน้องของก่วงจวินอันด้วย เกาจื่อเซวียนเองก็เป็นมารดาของก่วงจวินอัน ทำไมล่ะ? เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าไปคุยกับก่วงลิ่งกงหรอกใช่มั้ย ถ้าเป็นแค่เรื่องแต่งงาน ก็จัดการง่าย ข้าจะให้เว่ยซูติดต่อไปบอกโกวเยว่พ่อบ้านตระกูลก่วง น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
สถานการณ์เป็นอย่างที่เจ้าคิดเสียที่ไหนกันล่ะ! เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดพร่ำถึงรายละเอียด หัวเราะเยาะแล้วบอกว่า “บอกอะไรกันล่ะ พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง ไว้หน้าแต่ก็ไม่รับ ข้าจะเด็ดหัวเขาเลยด้วยซ้ำ! ตอนนี้เกาเหยียนนั่นพาคนไปถกเถียงที่สำนักลมปราณ ฝืนยัดเยียดสินสอด เลวทรามจริงๆ…ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก รบกวนท่านปู่สวรรค์บอกพวกลูกน้องหน่อย ว่าเจ้าเกาเหยียนอะไรนั่น ข้าจะเอาชีวิตเขา!”
เซี่ยโห้วลิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เรื่องเล็กแค่นี้ต้องให้ข้าลงมือด้วยเหรอ? ในมือเจ้ามีอำนาจทางทหาร ในมือก็มีคน เป็นทหารเกรียงไกรทั้งนั้น ขนาดทัพตะวันออกห้าล้านยังแพ้ให้เจ้า ถ้าอยากจะจัดการเขาก็แค่เอ่ยคำเดียว”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เจ้านั่น รบกวนให้ท่านปู่สวรรค์บอกทางตึกศาลาสัตยพรตให้ด้วย บอกความลับของตระกูลก่วงให้ข้ารู้หน่อย ข้าจะนำทหารไปตรวจค้น!”
เซี่ยโห้วลิ่งฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นพอดี หรี่ตาถามว่า “กับเรื่องนี้ จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ท่านปู่สวรรค์ ขอพูดสิ่งที่ท่านอาจจะไม่ชอบฟัง เรื่องที่ราชินีสวรรค์ถูกหยามเกียรติ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่เริ่มสงสัย ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าท่านปู่สวรรค์มีแผนอีกอย่าง หรือว่าระดมกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ไหวกันแน่ ไม่สู้ลองทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ดูสักครั้งสิ ดูว่าท่านปู่สวรรค์จะมีอิทธิพลต่อตึกศาลาสัตยพรตขนาดไหน จะได้ทำให้ข้ามีความมั่นใจด้วย ข้าคงไม่ทนวาดลายขมเปี๊ยะอยู่ตั้งนาน แต่สุดท้ายตัวเองกลับไม่ได้กัดสักคำหรอก ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?”
พูดสงสัยในความสามารถโจ่งแจ้งขนาดนี้ ในใจเซี่ยโห้วลิ่งเริ่มเดือดดาลแล้ว
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก เหมียวอี้พูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ ยังต้องการให้ภายนอกรู้ด้วยว่า ตระกูลเซี่ยโห้วกับข้าร่วมมือกันแล้ว จะได้เป็นการเตือนฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทเริ่มสนใจ ในเมื่อเกาเหยียนเพิ่งจะมาชนดาบข้า ดังนั้นไม่สู้เริ่มลงมือจากเรื่องนี้ดีกว่ามั้ย เริ่มทำให้ตระกูลพวกนั้นสนใจ ข้าจะได้มั่นใจกับปฏิบัติการในตอนหลัง! เมื่อมีจังหวะเริ่มต้นแบบนี้ ถ้าข้าเริ่มลงมือเมื่อไร คนอื่นรวมทั้งตระกูลเซี่ยโห้วก็จะคิดว่าท่านปู่สวรรค์เป็นคนลงมือดำเนินการเรื่องนี้เอง เป็นท่านปู่สวรรค์ที่เริ่มลงมือกับตระกูลอิ๋งแล้ว ข้ากำจัดตระกูลอิ๋งก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ ส่วนผลงานเรื่องวางอุบายพลิกแพลงสถานการณ์ก็เป็นของท่านปู่สวรรค์ นี่ไม่ใช่คำพูดหลอกลวง ข้ากระดูกอ่อนแอ แบกรับชื่อเสียงนี้ไม่ไหวจริงๆ!”
เดิมทีไม่ได้คิดจะใช้วิธีการนี้ เหมียวอี้ยังไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลก่วง เตรียมจะหลีกทางให้แล้ว เรื่องใหญ่กำลังจะมาถึง เขายอมให้สำนักลมปราณได้รับความอยุติธรรม ขอเพียงรักษาความบริสุทธิ์ของเป่าเหลียนไว้ได้ จะได้ตอบแทนไมตรีในปีนั้น ใครจะคิดว่าตระกูลก่วงดึงดันจะตบหน้าเขาให้ได้ แค่ไว้หน้าแค่นี้ยังทำให้เขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงยืมดาบของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว มีตระกูลเซี่ยโห้วคุมอยู่ ตระกูลก่วงที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็จะไม่กล้าลงมือส่งเดช
เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้บอกว่าตอบตกลงหรือไม่ โยนประเด็นนี้ทิ้งไปก่อน แล้วก็ถามเรื่องการร่วมมือกันอีกนิดหน่อย
เหมียวอี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสำนักลมปราณอีก หลังจากปรึกษากันจบแล้วก็ปลอมตัวอีกครั้ง แล้วออกจากตระกูลเซี่ยโห้วไปท่ามกลางแสงแดดยามสายันห์
เว่ยซูกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าอีกครั้ง แล้วทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่สะดวกจะให้เซี่ยโห้วลิ่งเล่าว่าคุยอะไรกับเหมียวอี้ เพียงต้องเตือนอีกครั้งว่า “นายท่าน หวังว่าท่านยังจำเรื่องในงานเลี้ยงวันเกิดของนายท่านใหญ่ได้ ประเมินไอ้หนิวจัญไรต่ำไม่ได้เด็ดขาด ระวังจะมีอุบาย!”
“เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ หกลัทธิดันตัวละครแบบนี้ออกมา ควรค่าที่จะครุ่นคิด…” เซี่ยโห้วลิ่งครุ่นคิดพลางพยักหน้า พอยกจอกสุรามาจ่อปากก็เงยหน้าบอกว่า “ทางสำนักลมปราณมีเรื่องนิดหน่อย เจ้าเตรียมคนไปจัดการสักหน่อยเถอะ…”
…………………