หยวนซิ่งผิงสวมชุดดำลวดลายสีทอง หากสังเกตให้ดีจะพบว่าลวดลายบนชุดนั้นส่องประกายแสงอยู่เป็นระยะ
ชุดที่เขาสวมใส่ชื่อเกราะสมบัติที่ไม่รู้ว่ามีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังโจมตีหรือพลังป้องกัน
เขาเป็นชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาและมีผมที่ดำสลวย เพียงแค่ถูกสายตาของเขาจดจ้องก็อาจจะทำให้ผู้คนหัวใจสั่นไหวได้
หยวนซิ่งผิงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แม้จะมีสายตานับพันจ้องมองมาเขาก็ยังมีท่าทีสงบนิ่ง
เขาก้าวเดินมาถึงหน้าแท่งเสาและหยุดฝีเท้าในที่สุด
ต่อหน้าราชารุ่นเยาว์ที่กำลังเฉิดฉาย แม้แต่ชายหนุ่มผมแดงก็ยังมีท่าทียำเกรงและเป็นฝ่ายกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้พบพี่ชายหยวน”
หยวนซิ่งผิงพยักหน้าตอบ ที่จริงตัวเขาไม่เห็นชายหนุ่มผมแดงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของจ่างซุนเหลียงเขาจึงต้องยอมไว้หน้า สายตาของหยวนซิ่งผิงกวาดมองไปที่แท่งเสาก่อนจะปล่อยหมัดออกไป
‘ตูม’ แท่งเสาสั่นสะท้านพร้อมกับแสงที่ส่องสว่างออกมาเกินแปดสิบรู
แปดสิบสองแต้ม!
“สมกับเป็นหยวนซิ่งผิง ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
“ในที่สุดก็มีคนทำคะแนนได้เกินแปดสิบแต้ม”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมหยวนซิ่งผิงถึงนำพาเมืองสองมหาภพคว้าชัยชนะได้ ที่แท้เขาก็ทรงพลังถึงเพียงนี้”
ใครหลายคนเอ่ยชม ถึงแม้ทุกคนจะเป็นคู่แข่งกันในการประลองที่จะเริ่มขึ้น แต่ในโลกแห่งวรยุทธนั้นผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเป็นใหญ่ หยวนซิ่งผิงคู่ควรแล้วที่จะได้รับการชมเชยจากพวกเขา
หยวนซิ่งผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้โจมตีต่อ
การที่เขาลังเลทำให้ผู้เริ่มคิดไปต่างๆนาๆว่าหยวนซิ่งผิงนั้นจงใจเก็บซ่อนพลังเพื่อให้ดูลึกลับ
หลังจากหยวนซิ่งผิงก็มีอัจฉริยะอีกหลายคนที่ลองทดสอบดู แต่พวกเขาทุกคนต่างทำคะแนนได้เพียงเจ็ดสิบกว่าๆเท่านั้น ณ เวลานี้มีเพียงหยวนซิ่งผิงคนเดียวที่ทำให้แสงของแท่งเสาส่องประกายได้เกินแปดสิบแต้ม
“หลิงฮัน เจ้ารีบไปทดสอบเร็ว!” พวกเม่าซูอวี่เซ้าซี้หลิงฮัน แต่ก็ช่างบังเอิญอีกแล้วที่จู่ๆฝูงชนก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมาอีกครั้ง
ตันอวี่จิงเองก็มาที่นี่ด้วย!
ในระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ นางเป็นอัจฉริยะอีกคนที่กำลังเฉิดฉาย ไม่รู้ว่าจอมยุทธระดับราชาเซียนที่ทรงพลังพ่ายแพ้ต่อนางไปมากมายเพียงใดแล้ว ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าในการประลองครั้งนี้ นางเป็นเพียงคนเดียวที่จะต่อสู้กับหยวนซิ่งผิงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ตันอวี่จิงสวมชุดคลุม ผมสีดำยาวของนางพลิ้วไหวราวกับน้ำตกที่งดงาม มีบุรุษมากมายหลายคนตกหลุมรักนางเพียงแรกพบ
“ธิดาตัน” ชายหนุ่มสมแดงเป็นฝ่ายทักทายอีกครั้ง ในหมู่จอมยุทธที่ปรากฏตัวในตอนนี้ มีเพียงนางกับหยวนซิ่งผิงแค่สองคนเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของเขา เนื่องจากจ่างซุนเหลียงเป็นคนกล่าวเองว่า “ทั้งสองคนนี้น่าสนใจ”
ในเมื่อเจ้านายของเขากล่าวเช่นนั้น เขาย่อมไม่กล้าดูแคลนทั้งสอง
ตันอวี่จิงเองก็ไว้หน้าอีกฝ่ายโดยการพยักหน้าตอบเล็กน้อย สายตาของนางจดจ้องไปยังแท่งเสาและปล่อยการโจมตีออกไป
‘ตูม’ รูบนแท่งเสาส่องประกายแสงทันทีที่การโจมตีเข้าปะทะ
แปดสิบสี่แต้ม!
แม้นี่จะยังไม่ใช่การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของนาง แต่ก็ไม่อาจตัดสินได้ว่านางนั้นเหนือกว่าหยวนซิ่งผิง
“หลิงฮัน เจ้ารีบทดสอบเร็วๆเข้า!” พวกเม่าซูอวี่โน้มน้าวหลิงฮันเป็นครั้งที่สามและภาวนาขอให้อย่ามีเหตุการณ์ใดเข้ามาแทรกอีก
ครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดแทรกเข้ามาก็จริง แต่ที่คาดไม่ถึงคือจักรพรรดินีเป็นฝ่ายก้าวเดินออกไปแทน ก่อนหน้านี้นางอยู่ในอ้อมกอดหลิงฮันจึงไม่มีใครสังเกต แต่นางเมื่อก้าวเท้าเดินออกมา เลือนร่างอันผอมบางทรงเสน่ห์ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
เพียงแค่จักรพรรดินีก้าวเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผมแดงก็เผลอลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสุภาพโดยไม่รู้ตัว แม้จะได้สติกลับคืนมาแล้วเขาก็ยังยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับสตรีที่อยู่ตรงหน้ามีสถานะทัดเทียมกับทายาทอย่างจ่างซุนเหลียง
แน่นอนว่าจักรพรรดินีย่อมไม่แยแสอีกฝ่าย นางยื่นมืออันเรียวบางออกมาและผลักเข้าใส่แท่งเสาเบาๆ
‘ตูม’ เมื่อถูกฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ แท่งเสาก็สั่นไหวเล็กน้อยพร้อมกับส่องประกายแสงออกมาจากรู
เก้าสิบสองแต้ม!
ผู้คนโดยรอบกลายเป็นแน่นิ่งไร้คำพูดทันที พวกเขาทุกคนค่อยๆหันหน้ามองหากันด้วยอาการหายใจติดขัด
เพียงแค่ผลักฝ่ามือเบาๆก็ทำให้แท่งเสาส่องประกายแสงได้ถึงเก้าสิบสองแต้ม!
เมื่อครู่เป็นเพียงแค่การผลักฝ่ามือธรรมดาไม่ผิดแน่ เพราะหากใช้พลังเต็มที่ล่ะก็ ตราประทับแห่งเต๋าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์คงปรากฏให้เห็นแล้ว
แต่แค่โจมตีลวกๆยังทำให้แท่งเสาส่องประกายได้ถึงเก้าสิบสองรู หากนางเอาจริงล่ะจะเป็นอย่างไร?
เก้าสิบเก้า… หรืออาจจะหนึ่งร้อย?
พระเจ้า สตรีผู้นี้คือราชาแห่งยุคที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจ่างซุนเหลียงแน่นอน!
จักรพรรดินีไม่ได้ลงมือต่อ นางเพียงแค่อยากรู้พลังของตนเองเท่านั้น
หลิงฮันยิ้ม หลังจากจักรพรรดินีทะลวงผ่านเป็นราชาเซียน พลังต่อสู้ของนางก็ได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น ไม่เช่นนั้นต่อให้นางเอาจริงก็อาจจะทำให้แท่งเสาส่องแสงได้เพียงราวๆเก้าสิบแต้ม แต่ด้วยระดับพลังในตอนนี้ เกรงว่าเก้าสิบเก้าแต้มก็ยังไม่ได้ขีดจำกัดของนาง
“ข้าขอเอ่ยถามชื่อของแม่นางได้หรือไม่?” ชายหนุ่มผมแดงมีท่าทีสุภาพยิ่งกว่าเดิม
“หล่วนซิง” จักรพรรดินีกล่าวอย่างไม่แยแสพร้อมกับเดินเข้าหาหลิงฮัน
ชายหนุ่มผมแดงยังอยากรู้ข้อมูลของจักรพรรดินีมากกว่านี้ แต่ในขณะที่เขาก้าวเท้าและพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง จักรพรรดิก็ถลึงตาหันมองเขาทำให้ต้องล่าถอยกลับมาอย่างช่วยไม่ได้
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอถามได้รึไม่ว่า เกาะเมฆาเซียนสามารถพาคนใกล้ตัวไปด้วยได้รึเปล่า?”
ชายหนุ่มผมแดงแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพยักหน้าและกล่าว “แน่นอน แต่ว่าสามารถพาไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
หลิงฮันยิ้มให้กับจักรพรรดินีและกล่าว “ภรรยาข้า ครั้งนี้ข้าคงต้องขอพึ่งพาบุญบารของเจ้าแล้ว”
จักรพรรดินียิ้มตอบ น่าเสียดายที่คนอื่นๆไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของนาง
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ผู้คนโดยรอยก็อยากจะทุบตีหลิงฮันขึ้นมาทันที
บุรุษที่กินข้าวนิ่มเช่นเจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!
หลิงฮันโอบกอดเอวของจักรพรรดินีโดยไม่สนใจสายตาผู้คน
“ช้าก่อนแม่นาง!” หยวนซิ่งผิง เดินพรวดเข้ามาและกล่าว “ข้าเพิ่งได้รับทักษะนิรันดร์ทักษะหนึ่งมาไม่นานนี้ คาดว่ามันอาจเป็นทักษะของนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ ไม่ทราบว่าแม่นางสนใจจะมาศึกษาทักษะนี้ด้วยกันกับข้ารึไม่?”
พรวด ทักษะนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ!
ทุกคนตกตะลึงและถอนหายใจอิจฉา หยวนซิ่งผิง ช่างโชคดียิ่งนักที่ได้ทักษะระดับนั้นมาครอบครอง แต่การที่เขาเสนอมันออกมาโดยยอมให้ใครก็ไม่รู้มาศึกษาด้วยกันนั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นหลงรักจักรพรรดินีเพียงแค่แรกเห็น
ขนาดยังไม่เปิดเผยใบหน้าก็ยังทำให้อัจฉริยะขนาดหยวนซิ่งผิง หวั่นไหวได้?
ไม่มีใครแปลกใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ หากพวกเขามีทักษะนิรันดร์ที่สุดยอดเช่นนั้นพวกเขาก็ยินดีจะแบ่งปันให้กับจักรพรรดินีเช่นกัน
หากจะได้ใกล้ชิดกับจักรพรรดินี ไม่ว่าต้องใช้อะไรแลกก็ถือว่าคุ้มค่า
* 吃软饭กินข้าวนิ่ม = ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน *