เวลานี้เซวียนหยวนผ้ออ่อนแอยิ่งนัก หรือแม้แต่จะบอกว่าอ่อนแอกว่ายามที่ล้างชามอยู่ที่เมืองหลวงมากโข แต่ว่าเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
และในตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยปราณแท้อันยิ่งใหญ่และลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์อันน่ากลัวหาใดเทียบ
สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากนิ้วนั้นของอู๋ฉยงปี้
ขอเพียงมีเวลาที่มากพอ เขาก็จะสามารถเปลี่ยนลมปราณนั้นมาเป็นของตน เรียนรู้และเข้าใจกฎของสวรรค์และโลกมนุษย์ผ่านลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์
ในตอนนั้นเขาก็จะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้
หากว่ากันในบางมุม เซวียนหยวนผ้อได้รับโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก เช่นเดียวกันกับประวัติศาสตร์ของโลกผู้บำเพ็ญเช่นกัน
แต่เขาก็ไม่ได้ดีอกดีใจเนื่องด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้ามอารมณ์ของเขาตอนนี้กลับมีความโศกเศร้า
“ก่อนหน้านี้สองวันท่านผู้อาวุโสได้สอนเรื่องบางเรื่องที่สำคัญมากให้กับข้า แต่ข้าเองกลับเรียนรู้แล้วไม่ได้ความ สุดท้ายก็พ่ายแพ้เสียแล้ว”
เซวียนหยวนผ้อก้มหน้าพลางเอ่ย “ข้าไม่เอาไหนใช่หรือไม่”
“พ่ายแพ้ให้กับคนอย่างราชามารนี้ ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย อีกอย่างเจ้าได้บังคับให้พวกเขานำเรื่องการต่อรองที่อยู่ใต้โต๊ะมาพูดบนโต๊ะได้ นี่ต่างหากเล่าที่สำคัญ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ในส่วนที่ท่านผู้อาวุโสสั่งสอนเจ้าในบางเรื่องนั้น ต่อไปในภายภาคหน้าเจ้ายังมีเวลาอีกมากในการเรียนรู้ หากมีเรื่องใดที่เจ้ายังไม่เข้าใจก็มาถามข้าตรงๆ”
เซวียนหยวนผ้อมึนงง เขาเอ่ย “ถามท่านหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ก่อนหน้าที่ท่านผู้อาวุโสจะจากไปได้ถ่ายทอดวิชาหมัดชุดหนึ่งให้กับข้า พูดชัดเจนว่านั่นมอบให้กับเจ้า”
เซวียนหยวนผ้อเสียใจ เขามองไปยังหลุมเล็กๆ กลางลานบ้านนั้นเงียบขรึมอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะตั้งใจเรียนรู้”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “มรดกของท่านผู้อาวุโสและภรรยาเขาบัดนี้ล้วนอยู่ที่ตัวเจ้า ในอนาคตหากมีโอกาส เจ้าควรจะลองไปที่หอวั่นโซ่วดู”
เซวียนหยวนผ้อเอ่ย “ข้าจะรีบไปให้เร็วที่สุด”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้น พร้อมกับยกมือขวาขึ้น
เซวียนหยวนผ้อค้อมเอวก้มศีรษะ
เฉินฉางเซิงตบเบาๆ ไปที่ไหล่เขา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตัวบ้านไป
เขาไม่ได้กลับไปพักที่อารามเต๋าซีหวง แต่ตรงกลับไปยังเมืองจักรพรรดิ หลังจากที่พูดคุยเรื่องราวน่าเศร้ากับลั่วลั่วแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปในเส้นทางอันยิ่งใหญ่และลึกลับ
เมื่อเดินออกมาจากทางนั้นแล้ว ภูเขาหิมะลูกนั้นก็ปรากฏออกมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง เพียงแต่เวลานี้ราตรียังคงมืดสนิท แสงแห่งอรุณรุ่งยังไม่ได้มาถึง เงาของภูเขาบดบังดวงดาวบนท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง ยามนี้รู้สึกราวกับตกอยู่ในดวงดาวจริงๆ
เมื่อดำเนินมาถึงเบื้องล่างของหน้าผาสีดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ จินอวี้ลวี่ก็เร่งรุดเข้ามาต้อนรับ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองไป๋ตี้มาก แต่พวกเขายังสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในยามรุ่งสางได้
เฉินฉางเซิงเล่าให้ฟังทั้งหมด
เบื้องล่างของหน้าผาสีดำบังเกิดความเงียบหาใดเปรียบ
แววตาที่เสี่ยวเต๋อมองไปยังเฉินฉางเซิงกลับเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ทั้งสองท่านล้วนเสียชีวิตในเมืองไป๋ตี้ นี่แน่นอนว่าจะต้องเกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเผ่าปีศาจแน่
เสี่ยงเต๋อไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงคิดอย่างไรต่อเหตุการณ์วุ่นวายที่จะตามมาภายหลัง เขามีความกังวลเล็กน้อย
หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงมีร่องรอยที่ดูออกถึงความเหนื่อยล้า แต่กลับมองไม่เห็นความโกรธที่อยู่ในนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมองไม่เห็นถึงความรู้สึกเศร้าเสียใจ ราวกับไม่เคยมีเรื่องนี้มาส่งผลกระทบต่อเขาเลย
เขาถามต่อไปว่า “มีอะไรคืบหน้าหรือไม่”
จินอวี้ลวี่ส่ายหน้าก่อนเอ่ย “กระบี่นั้นของท่านตัดไม่ขาด พวกเราเองก็จนปัญญา”
เสี่ยวเต๋อจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าคิดวิธีจะทำลายค่ายกลได้วิธีหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงและจินอวี้ลวี่มองไปทางเขา
ในฐานะยอดฝีมือที่แท้จริงอันดับสองของประกาศเซียวเหยา ยิ่งไปกว่านั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจ ความรอบรู้ของเสี่ยวเต๋อแน่นอนว่าต้องกว้างขวางเป็นแน่
ในเมื่อเป็นวิธีการทำลายค่ายกลที่เขาคิดค้นขึ้น แน่นอนว่าก็ต้องมีเหตุผล ดังนั้นเฉินฉางเซิงและจินอวี้ลวี่ จึงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อและจริงจัง
“ศิลาดวงดาวนั้นคือจุดศูนย์กลางค่ายกล ค่ายกลกักกันนี้ก็คือค่ายกลที่สมบูรณ์แบบอันหนึ่ง ในเมื่อเป็นค่ายกลก็คงยากจะใช้พลังในการจัดการ เหตุใดจึงไม่ลองใช้ค่ายกลทำลายค่ายกลเล่า”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ จินอวี้ลวี่ก็เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าพลางเอ่ย “ใช้ค่ายกลทำลายค่ายกล ดูเหมือนว่าจะเข้าที แต่ค่ายกลเดิมทีคือวิธีที่ใช้ปกป้องตนเอง มันขาดไปซึ่งความแหลมคม”
เฉินฉางเซิงก็กำลังคิดถึงวิธีการของเสี่ยวเต๋อ ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ค่ายกลกระบี่ได้นิดหน่อย คงไม่เพียงพอที่จะทำลายค่ายกลกักกันซึ่งกักขังจักรพรรดิขาวไว้ข้างในนั้นได้
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็ได้คำที่คุ้นเคยมาก
เสี่ยวเต๋อเอ่ยต่อ “หากเป็นค่ายกลกระบี่เล่า”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จินอวี้ลวี่ก็ตกตะลึงไปแล้ว เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ไม่ผิดแน่ ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีอย่างไรเล่า!”
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงก็เลยออกมาว่า “เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
เสี่ยวเต๋อก็มองไปที่เฉินฉางเซิง
ทั่วทั้งแผ่นดินล้วนทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง น่าจะเป็นเรื่องง่ายหากจะเชิญลูกศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีมาที่นี่
“ไม่ต้องยุ่งยากอย่างนั้นหรอก”
ปลายแขนเสื้อของเฉินฉางเซิงกระตุกเล็กน้อย กระบี่กว่าร้อยเล่มก็หลั่งไหลออกมาจากฝักราวกับสายน้ำ พวกมันคำรามแล้วพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ ต่างก็เข้าประจำตำแหน่ง ลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนนิ่งๆ
เมื่อเห็นภาพนี้เข้า สีหน้าของจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อก็เปลี่ยนไปในทันที
พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมพิธีคัดเลือกสวรรค์ ไม่ได้เห็นศึกระหว่างเฉินฉางเซิงและราชามารฉากนั้น ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะเห็นภาพเหล่านี้
กระบี่เหล่านี้กับเพลงกระบี่ในตำนานชุดนั้นไม่ได้เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แล้วมันก็ไม่เหมือนกับกระบี่เหล่านั้นที่เสี่ยวเต๋อเคยเห็นในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งในปีนั้น หากมองเห็นเพียงภาพกลุ่มกระบี่ลมฝนเหล่านี้ พวกเขาคงยากจะเดาออกว่าชื่อของเพลงกระบี่ชุดนี้คืออะไร แต่เมื่อเชื่อมโยงไปยังบทสนทนาก่อนหน้า ความคาดเดาอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองเขาโดยธรรมชาติ
เสี่ยวเต๋อถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “นี่คือ…ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีหรือ”
เฉินฉางเซิงรับคำในลำคอ
จินอวี้ลวี่ส่ายหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาทั้งซาบซึ้งและรู้สึกขอบคุณ รู้สึกว่าตนนั้นเป็นราวกับคลื่นลูกเก่าที่นอนแผ่อยู่หน้าชายหาดเพื่อพักผ่อนไม่ยอมแม้แต่จะลุกขึ้นอีกครั้ง
เสี่ยวเต๋อสีหน้าอึดอัด เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ราวกับต้นเถี่ยซู่ที่กำลังละอายแก่ใจไม่ยินยอมออกดอกอีก
ก่อนหน้านี้เขามักจะคิดเอาเองว่าตนนั้นบำเพ็ญวิชามาสูงล้ำยิ่งกว่าเฉินฉางเซิง พรสวรรค์และความสามารถไม่ได้ต่ำต้อยเลย เขาเอาชนะเฉินฉางเซิงไม่ได้ก็เพราะว่าซูหลีถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้กับอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นประสบการณ์ของอีกฝ่ายที่ประสบพบเจอในสวนโจวนั่นอีกเล่า หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นี่มันหาได้เป็นการเปิดฉากรบไม่ เป็นเพียงแค่ความโชคดีของเฉินฉางเซิงและโอกาสที่เขาได้รับมามากกว่าตนเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อมองไปยังกลุ่มกระบี่ลมฝนที่ลอยตัวอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน รับรู้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่แน่วแน่เหล่านั้นและความสัมพันธ์ระหว่างกระบี่ด้วยกันเอง หรือแม้กระทั่งเจตจำนงค่ายกลอันลึกลับซึ่งยังไม่ได้สำแดงอำนาจเหล่านั้นอีก เขาคงไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นได้อีก
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี มรรคากระบี่ของเฉินฉางเซิงกลับแข็งแกร่งขึ้นมาก เขาทำได้อย่างไรกันเล่า
เนื่องจากสังฆราชได้รับการสนับสนุนจากสำนักฝึกหลวงทั้งหมด หรือเป็นเพราะเนื่องจากเหตุผลที่แสนจะธรรมดาและหยาบคายนั้นกัน
เขาจะมีพรสวรรค์เยี่ยงนั้นเชียวหรือ
……
……
รู้ว่าควรทำอย่างนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ว่าควรทำอย่างไร
ทำอย่างไรจึงจะใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีทำลายค่ายกลกักกันในหน้าผาสีดำนั้นได้ ขอเพียงรู้วิธีการ เฉินฉางเซิงก็จะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
เจตจำนงกระบี่อันแน่วแน่นับไม่ถ้วน ผ่านพื้นผิวของทะเลสาบไปอย่างรวดเร็ว ปลิดเอาลมหายใจที่เยือกเย็นระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ลงมาเสีย และตวัดตัดเจตจำนงค่ายกลล่องหนที่อยู่รอบนอกของหน้าผาสีดำ
เมื่อได้รับการกดดันจากค่ายกลกระบี่ ค่ายกลกักกันที่หลบซ่อนอยู่ในภูเขาหิมะก็ค่อยๆ เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
ในมุมลึกของหมอกหิมะราวกับสามารถมองเห็นเงาของกำแพงศิลาดวงดาวผืนนั้นได้ มันบดบังหนทางที่อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป ขอบเขตของค่ายกลกักกันนี้ก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แท้จริงแล้วมันอยู่ไกลกว่าขอบเขตบนยอดของหน้าผาสีดำ มันปกคลุมพื้นที่กว้าง ยาวไปถึงสิบกว่าลี้
กระทั่งในค่ายกลกระบี่นั้นก็มีกระบี่หลายเล่มค่อยๆ ห่างจากพื้นดินขึ้นไปเรื่อยๆ พวกมันมุ่งหน้าขึ้นไปยังภูเขาหิมะที่อยู่สูงขึ้นไป ที่นี่ก็นับว่าอยู่ในค่ายกลกระบี่กักกันนี้หรือ