ตอนที่ 1327 เข้ามาพร้อม ๆ กันเถิด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้เริ่มเก็บตัวฝึกบำเพ็ญแล้ว ภารกิจในการเก็บตัวก็คือศึกษายาเม็ดตี้หลัว

ยาเม็ดนี้ของเป่ยกงจั๋วนั้นได้ใช้วิธีการเจ้าเล่ห์อย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย เกรงว่าทั่วทั้งโลกสี่ทิศนี้จะไม่มีนักปรุงยาผู้ใดที่สามารถมองออกได้ถึงปัญหาของยาเม็ดนี้

หากมิใช่เพราะนางได้รับมรดกสืบทอดของนิรันดร์มา คาดว่านางเองก็คงจะมองไม่ออกถึงปัญหานี้เช่นกัน

ยาเม็ดนี้ดูเหมือนว่าระดับความสามารถในการปรุงยาของเป่ยกังจั๋วนั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่าระดับขั้นนักปรุงยาของแดนเทียนซวนนั้นเป็นเช่นไรก็ตาม แต่สามารถมั่นใจได้ว่าระดับในการปรุงยาของเขานั้นสูงส่งมากกว่านางยิ่งนัก

แต่แล้วอย่างไรเล่า? นางมีวิธีที่จะทำลายหมากกระดานนี้ของเขา!

มู่เฉียนซีได้เก็บตัวไปอยู่เจ็ดวัน ในเจ็ดวันนี้ยาเม็ดตี้หลัวนั้นได้หายไป แล้ว แต่ว่าในมือของมู่เฉียนซีนั้นกลับมียาน้ำสีขาวเพิ่มขึ้นอีกขวดหนึ่ง

“ระยะเวลาที่พลังความสามารถไปถึงขั้นมหาจักพรรดิขั้นสูงสุดเต็มขั้นจากสามวันลดมาเหลือเพียงหนึ่งวันครึ่ง แต่ทว่ามันก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้น” มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย

มู่เฉียนซีออกจากการเก็บตัวแล้ว ถึงแม้ว่าในโลกแห่งการปรุงยานั้นจะมีข่าวลืองานประชุมปรุงยาครั้งใหญ่ของโลกทั้งสี่ทิศ แต่ว่ายังไม่ได้กำหนดวันจัดงานที่แน่นอนออกมา

ในตอนนี้เองผู้อาวุโสหกก็ได้มาเยี่ยมเยียนมู่เฉียนซี

กู้ไป๋อีกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีเรื่องอะไร?”

ผู้อาวุโสที่หกกล่าว “เนื่องด้วยประมุขน้อยเฉียนซีบอกว่ายินดีที่จะชี้แนะสั่งสอนคนรุ่นหนุ่มสาวของตำหนักเป่ยหาน ดังนั้นศิษย์จำนวนไม่น้อยจึงได้มาลงสมัครกันอย่างแข็งขัน ไม่ทราบว่าประมุขน้อยเฉียนซีจะรับคำท้าหรือไม่?”

หัวหน้าตำหนักล้วนแต่คอยปกป้องสาวน้อยผู้นี้ พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดกล่าวอะไรที่ไม่ควรไปมากนัก

แต่ทว่าเรื่องของการประลองนั้นเป็นเรื่องที่นางตอบรับเอาไว้เอง และมิใช่ว่าพวกเขาตั้งใจจะมาหาเรื่องให้ลำบาก หัวหน้าตำหนักรู้แล้วก็คงจะไม่กล่าวโทษอะไร

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ข้าเพิ่งออกมาจากการเก็บตัวฝึกบำเพ็ญก็ค่อนข้างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ให้พวกเขารอสักสองสามวันก็แล้วกัน! เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะไปรับใช้อย่างแน่นอน”

“ข้าผู้เฒ่าทราบแล้ว!”

อัจฉริยะแห่งตำหนักเป่ยหาน การคัดเลือกประมุขน้อยได้เริ่มขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เป็นคมในฝักนางเองก็มิจำเป็นที่จะต้องหวั่นกลัว

มู่เฉียนซีได้พักผ่อนไปแล้วสามวัน ผู้อาวุโสหกนึกว่านางไม่คิดที่จะลงประลองแล้ว แต่ปรากฏว่ามู่เฉียนซีกลับให้คนมาส่งข่าว

หลังจากการคัดเลือกประมุขน้อยแล้ว ตำหนักเป่ยหานก็มิได้มีการจัดประลองมานานมากแล้ว

อีกทั้งผู้ที่เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้นั้นเป็นถึงประมุขน้อยของพวกเขา ผู้ที่นับได้ว่าเป็นตำนานผู้หนึ่ง

อัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก เคยหนีรอดจากการล้อมฆ่าของตำหนักตงจี๋มาแล้ว อีกทั้งยังเป็นนายของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ จะต้องเป็นผู้ที่เป็นตำนานผู้หนึ่งอย่างแน่นอน

เมื่อเงาร่างสีม่วงนั้นได้มาถึง เหล่าผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “ประมุขน้อยมาแล้ว!”

“ประมุขน้อยเฉียนซี!”

“……”

ผู้อาวุโสแต่ละคนกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ตัดสิน ผู้อาวุโสห้าบ่นพึมพำขึ้น “เจ้าเด็กสาวนี่กล้ามาจริง”

“ในเมื่อนางได้ตอบรับแล้วก็แน่นอนว่าไม่อาจที่จะไม่รักษาคำมั่นสัญญาได้”

ผู้อาวุโสห้ากับผู้อาวุโสหกเองก็รู้สึกอึดอัด ศิษย์ที่ตนทุ่มเทแรงกายแรงใจฝึกฝนออกมาอย่างเต็มที่มิเพียงแต่ถูกมู่เฉียนซีอัดจนได้รับบาดเจ็บ ซ้ำยังถูกหัวหน้าตำหนักขังเอาไว้ในที่ต้องห้ามซึ่งมืดมิดไร้แสงเดือนแสงตะวันและไม่อาจจะออกมาได้อีก

“ขอให้ประมุขน้อยโปรดชี้แนะด้วย!”

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา โดยประมาณแล้วมีจำนวนสามสิบกว่าคน

แม้ว่าพลังความสามารถของแต่ละคนนั้นไม่อาจจะเทียบได้กับนายน้อยทั้งเจ็ดและอวี้ปิงชิงของตำหนักเป่ยหาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้แย่อย่างแน่นอน

ผู้อาวุโสหกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ประมุขน้อยเฉียนซี พวกลูกกระต่ายพวกนี้จะให้ข้าช่วยเลือกออกมาจำนวนหนึ่งเฉพาะคนที่มีพลังความสามารถพอใช้ได้ให้มาประลองกับท่านหรือไม่? ถ้าหากประลองเรียงตัวไปทีละคน ก็เกรงว่าจะทำให้ท่านเหนื่อยล้า นั่นคงจะไม่ดีนัก! ท่านหัวหน้าตำหนักจะต้องกล่าวโทษพวกเราอย่างแน่นอน”

มู่เฉียนซียิ้มอย่างเบาบางแล้วกล่าว “ใครบอกว่าข้าจะสู้กับพวกเขาเรียงตัวทีละคนเล่า?”

เหล่าผู้คนต่างตะลึงค้าง ไม่ประลองเรียงคนไปแล้วจะประลองเช่นไร?

มู่เฉียนซีมองไปยังพวกเขาแล้วกล่าวขึ้น “พวกเจ้าเข้ามาพร้อม ๆ กันเถอะ!”

เมื่อเหล่าผู้คนได้ยินเช่นนั้นแล้วต่างก็ส่งเสียงเอ็ดอึง “อะไรนะ? เข้าไปพร้อม ๆ กัน?”

“ประมุขน้อย นี่มันจะบ้าเกินไปแล้วกระมัง! พวกเขามีทั้งหมดเป็นสิบ ๆ คนเชียวนะ!”

“แม้ว่าประมุขน้อยจะสามารถต่อสู้ข้ามระดับขั้นได้ แต่ต่อสู้กับคนจำนวนมากในคราเดียวเช่นนี้มันก็เสี่ยงมากไปแล้ว!”

ผู้อาวุโสทุกคนก็ล้วนต่างตะลึงงันเช่นกัน “ประมุขน้อยเฉียนซี แน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้อาวุโสแต่ละท่านไม่ยินยอมหรือ?”

จะไปไม่ยินยอมตอบรับได้อย่างไร เผชิญกับคนจำนวนมากมายเช่นนี้นางจะต้องพ่ายแพ้โดยอนาถอย่างหนักเป็นแน่

“ในเมื่อเป็นความต้องการของประมุขน้อย แน่นอนว่าพวกเราก็ไม่ปฏิเสธที่จะตอบตกลง เพียงแต่ว่าถ้าหากชนะแล้ว เช่นนั้น…”

มู่เฉียนซีกล่าวตัดคำพูดของเขา “นั่นง่ายดายนัก พวกท่านผู้อาวุโสก็เลือกเอาตามสบายก็ได้แล้ว”

เมื่อผู้อาวุโสแต่ละคนได้ฟังคำพูดของนางแล้วก็ล้วนแต่หน้าดำครึ้ม เลือกเอาตามสบาย? นางคิดว่าการคัดเลือกประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานของพวกเขานั้นเป็นดั่งการเลือกผักเลือกปลาหรืออย่างไร?

แต่ว่าความหยิ่งทะนงเป็นใหญ่ของมู่เฉียนซีที่ต้องการจะรนหาที่ตายนั้น พวกเขาก็จึงตามน้ำไปกับนางก่อนก็แล้วกัน!

“ได้! เช่นนั้นก็เอาดังนี้”

เมื่อได้รับคำตอบนี้ เงาร่างของมู่เฉียนซีก็พุ่งผ่านไปในทันใดและขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างแผ่วเบา

นางมองไปยังคนพวกนั้นแล้วกล่าว “ยังช้าอยู่ใย? เข้ามาเถิด!”

เพียงตัวคนเดียวแต่กลับกล้าที่จะท้าพวกเขาที่เป็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเองก็อยากให้บทเรียนแก่ประมุขน้อยผู้นี้ดูสักหน่อย!

อย่างไรเสีย อีกไม่นานนักนางก็จะไม่ใช่ประมุขน้อยแล้ว

ว่าแล้วคนเหล่านี้ก็ได้ขึ้นไปบนเวทีประลองพร้อม ๆ กัน ผู้อาวุโสหกซึ่งเป็นผู้ตัดสินนั้นกล่าวประกาศอย่างรอไม่ไหว “เริ่มการประลองได้!”

เมื่อสิ้นเสียงของผู้อาวุโสหก พวกเขาก็คิดที่จะชิงโจมตีก่อนเพื่อความได้เปรียบ อย่างไรเสียพวกเขานั้นก็รู้ดีถึงพลังความสามารถของมู่เฉียนซี

แม้ว่าพวกเขาจะรวดเร็ว แต่ความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นเร็วยิ่งกว่า!

กระบี่สีแดงได้ถูกมู่เฉียนซีนำออกมาในชั่วพริบตา และดูเหมือนว่าทั้งตัวคนและกระบี่นั้นได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

“มังกรเพลิงสังหาร!”

ทันใดนั้นมังกรเพลิงสีแดงฉานก็ได้พุ่งออกไป

“ปัก ปัก ปัก!”

จากนั้น พลังอันหนาวเหน็บก็พลันปรากฏขึ้น มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มังกรวารีพิฆาต!”

ต่อจากนั้นก็เป็นอีกกระบวนกระบี่ระเบิดออกไป “บัวแดงพิฆาต!”

พลังวิญญาณธาตุน้ำได้ปะทุขึ้นมาถึงขีดสุด มังกรวารีที่มีพลังอันไพศาลได้ปรากฏขึ้น “มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”

“ผนึกมังกรวารี!”

“ทักษะโยวหลัว!”

คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้ลงมือ มู่เฉียนซีก็ได้ระเบิดทักษะวิญญาณอย่างบ้าคลั่งกวาดออกไปโดยไม่พักหายใจ

ต้องรู้เอาไว้ว่าทักษะวิญญาณเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ทักษะวิญญาณทั่วไปจะสามารถเทียบได้ มันสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเป็นที่สุด แต่ราวกับว่ามันมิได้ทำให้มู่เฉียนซีสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปเลยแม้แต่น้อย

“ปัก ปัก ปัก!”

การโจมตีที่เหมือนลมวายุสายฟ้ากระหน่ำของมู่เฉียนซีนี้ได้ทำให้คนจำนวนสิบกว่าคนหายไปจากบนเวทีประลองในเวลาเพียงชั่วพริบตา แม้แต่โอกาสที่พวกเขาจะได้ลงมือก็ยังไม่มี

“ร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง!”

“ประมุขน้อยเฉียนซีลงมือในครานี้ช่างสวยงามนัก”

“……”

“ลงมือ!” สีหน้าของคนบนเวทีประลองมืดครึ้มลงพลัน พวกเขาไม่กล้าที่จะประมาทและเริ่มล้อมโจมตีมู่เฉียนซีอย่างมีลำดับ

“มังกรเพลิงพิฆาต!”

เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของพวกเขา มู่เฉียนซีก็คงจะไม่สิ้นเปลืองแรงไปมากนัก

มิเพียงแต่ไม่ถูกพวกเขาโจมตีเท่านั้น กลับกันมู่เฉียนซียังสามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้และส่งคนเหล่านั้นลงไปจากเวทีประลอง

ปัก ปัก ปัก!

“มู่เฉียนซีนั้นเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปดแล้ว”

“ในตอนที่นางเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดก็สามารถที่จะสู้กับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปดได้ ตอนนี้คิดที่จะเอาชนะนาง อย่างน้อยก็ต้องมีมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าสักคนหนึ่งกระมัง! สามารถกวาดตามองไปได้ทั่วโลกทั้งสี่ทิศ คนรุ่นหนุ่มสาวคราวนี้จะมีผู้ใดมีพลังความสามารถเช่นนั้น! ถึงต่อให้เป็นนายน้อยอวิ๋นซิวก็เกรงว่าคงจะเป็นเพียงมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดเท่านั้น”

มีผู้กล่าวขึ้นมาอีก “นั่นมันก็ไม่แน่! หากเป็นหนึ่งต่อหนึ่งละก็ แน่นอนว่าต้องใช้ผู้ที่มีความสามารถมากเช่นนั้นจึงจะสามารถเอาชนะประมุขน้อยเฉียนซีได้ แต่ตอนนี้คู่ต่อสู้ของประมุขน้อยเฉียนซีมิได้มีเพียงผู้เดียว คนเยอะพลังก็เยอะตาม รอจนประมุขน้อยเฉียนซีใช้พลังจนหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้น…”