บทที่ 1887 เรื่องในครอบครัวของจวนท่านอ๋อง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ชีเจวี๋ยได้ยินแล้วเงียบไป ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เถ้าแก่ เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ ขอรับ  วิธีการนี้เจ้าบ้านเล่นได้ค่อนข้างล้ำลึกยากคาดเดา บ่าวก็มองไม่ออกเช่นกันว่าหมายความว่าอะไร”

“เจ้าบ้านไปผสมปนเปกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วหรือเปล่า?” หลังจากเฉาหม่านพึมพำ ก็ถอนหายใจอีก “หนิวโหย่วเต๋อนี่ยิ่งนับวันจะยิ่งใจกล้า ถ้าจะให้ข้าพูดนะ ไม่ควรจะให้เจ้าหมอนั่นมาที่ตลาดผีตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็ง อยากได้กำลังพลก็มีกำลังพล อยากได้อาณาเขตก็มีอาณาเขต ทั้งยังตั้งตัวเป็นอิสระมากด้วย ขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักไม่มีอำนาจที่จะควบคุมเขาเลย กลับเป็นเขาที่เดี๋ยวทำเรื่องนั้นเดี๋ยวทำเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าท่านนั้นที่อยู่ตำหนักสวรรค์นึกเสียใจทีหลังแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นถ้าจับไปวางใต้บังคับบัญชาของใครสักคน หนิวโหย่วเต๋อก็กระโดดขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเติบโตถึงขั้นนี้ด้วย เจ้าพวกนั้นทุ่มหินใส่เท้าตัวเองแท้ๆ”

ชีเจวี๋ยยิ้ม “ตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์โยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีก็แค่จะเนรเทศเท่านั้น คาดว่าคงนึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเหมือนทุกวันนี้”

เฉาหม่านถอนหายใจ “ใช่แล้ว! เดิมทีต้องการจะเนรเทศ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว กลับเป็นการมอบขีดกำจัดที่ใหญ่ที่สุดในการเลี่ยงอำนาจจากภายนอก จนเปิดโอกาสให้เขาผงาดขึ้นมาเร็วมาก จากเนรเทศกลายเป็นเลี้ยงลูกเสื้อลูกจระเข้ จากเดินสู่ทางตายกลายเป็นทางรอด จากสถานที่ตายกลายเป็นดินแดนล้ำค่า หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าหนุ่มช่างถนัดฉวยโอกาสพลิกกระดาน ช่างเถอะ ให้พวกขุนนางในราชสำนักปวดหัวไป ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าบ้านจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่…”

ฟ้าสว่างแล้ว สวนจิ้งเซวียน มารดาและลูกชายนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะอาหาร กำลังชิมรสอาหารเช้า แต่กลับไม่รู้สึกถึงรสชาติเท่าไร เพราะจิตใจค่อนข้างเหม่อลอย

สองแม่ลูกต่างก็เข้าใจดี ว่าปิดบังเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว กำลังปรึกษากันว่าจะไปขอรับโทษต่อท่านอ๋องอย่างไร

“ท่านแม่ ให้ข้าไปขอรับโทษต่อท่านพ่อเถอะ”

“ไม่ได้!”

“ท่านแม่…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าไปไม่เหมาะสม พ่อเจ้าอารมณ์ไม่ปกติ บางครั้งเรื่องเล็กก็ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ เจ้าจำไว้นะ ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไร แม่ได้รับความลำบากนิดหน่อยแต่ก็ยังมีโอกาสกลับตัวได้ แต่ถ้าเจ้าเสียอำนาจเมื่อไร แม่คงจะไม่มีทางออกแล้วจริงๆ นางตัวดีพวกนั้นไม่ปล่อยแม่ไปแน่”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ข้ารับไหว เกาเหยียนเป็นหลานชายข้า ข้าเป็นป้าเขา จะมีใจเห็นแก่ตัวบ้างก็ยังพอฟังขึ้น”

ขณะที่ทางนี้กำลังคุยกัน ก่วงจวินอันก็หยิบระฆังดาราขึ้นมารับข่าวจากใครบางคน จากนั้นทั้งเหม่อค้างไปทั้งตัว

เมื่อเห็นเขามีสีหน้าแย่มาก เกาจื่อเซวียนก็เริ่มเครียดทันที วางช้อนในมือลง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”

ปั้ง! ก่วงจวินอันกำหมัดทุบโต๊ะ แล้วตอบด้วยสีหน้าพยับเมฆ “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! ทางตลาดผี ทัพใหญ่แดนรัตติกาลล้างเลือดฐานลับของตระกูลก่วง พังฐานะลับของตระกูลก่วงหมดแล้ว!”

“หา!” เกาจื่อเซวียนอุทานตกใจ ต่อให้อยู่ในลานบ้านที่มีกำแพงล้อมรอบ นางก็เดาออกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร คนที่สามารถระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลให้ทำเรื่องนี้ได้ นอกจากหนิวโหย่วเต๋อแล้วยังจะมีใครได้อีก ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่มีทางเลยที่เบื้องล่างจะใจกล้าทำเรื่องนี้ จึงรีบถามซักไซ้ “มีเป้าหมายทั่วไป หรือพุ่งเป้ามาแค่ตระกูลเรา?”

“ท่านแม่ เลิกคิดได้แล้วว่าจะโชคดี พวกนั้นพุ่งเป้ามาที่ตระกูลพวกเรา ไม่แตะต้องร้านค้าอื่นๆ แม้แต่น้อย พุ่งเป้ามาที่ร้านค้าของพวกเราตระกูลเดียว” ก่วงจวินอันกล่าว

“หนิวโหย่วเต๋อเป็นสุนัขบ้าจริงๆ ด้วย ขนาดเกาเหยียนยอมถอยแล้ว ทำไมเขายังบีบคั้นอีก?” เกาจื่อเซวียนแค้นจนกัดฟันกรอด แต่กลับจนปัญญา ถ้าพวกแม่ทัพใหญ่ข้างนอกที่มีอำนาจทางทหารเกิดอาละวาดขาดสติขึ้นมา สตรีฐานะสูงส่งอย่างนางก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี ที่สำคัญคืออีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในการควบคุมของนาง ต่อให้ใช้เส้นสายก็ปกครองอีกฝ่ายไม่ได้ หลังจากด่าไปสองสามคำ นางก็พลันลุกขึ้นยืน “ชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว เรื่องนี้กำลังจะถึงหูท่านพ่อเจ้าแล้ว ถ้ารอให้เรื่องจบแล้วค่อยขอรับโทษก็จะสายไป ข้าจะไปหาพ่อเจ้าเดี๋ยวนี้”

“ท่านแม่!” ก่วงจวินอันยื่นมือขวาง กดมือบอกใบ้ให้นั่งลง แล้วส่ายหน้า “เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องไปรับโทษอีกแล้ว”

เกาจื่อเซวียนนั่งลงช้าๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหวาดระแวง “เรื่องนี้ปิดบังพ่อเจ้าไม่ได้เลย”

ก่วงจวินอันจึงบอกว่า “ก็เพราะเรื่องลุกลามใหญ่โตแล้ว ถ้าท่านพ่อจะลงโทษก็ต้องลงโทษสถานหนัก ถ้าท่านแม่ไปขอรับโทษ กลับจะทำให้ท่านพ่อลำบากใจด้วยซ้ำ ท่านแม่จะให้ท่านพ่อลงโทษท่านยังไงล่ะ? ถ้าไม่ลงโทษก็มีคนคอยมองอยู่มากมาย ดังนั้นเรื่องนี้พวกเราต้องแสร้งเลอะเลือนไปเสียเลย ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา ก็ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ลูกผู้น้อง มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะโดนฆ่าตายไปแล้ว ไม่มีความยุติธรธรรมหรืออยุติธรรมอะไรอีกแล้ว อย่างมากท่านน้าก็ลำบากนิดหน่อย ในภายหลังถ้ามีโอกาส พวกเราค่อยชดเชยให้ท่านน้าก็ได้”

“ทำแบบนี้ได้เหรอ?” เกาจื่อเซวียนลังเล

ก่วงจวินอันพยักหน้า “เรื่องลุกลามใหญ่โตแล้ว ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยให้คนนอกหัวเราะเยาะ เขาเองก็ต้องแสร้งเลอะเลือนปิดตาข้างเดียวเหมือนกัน”

ในเรือนหลักของฮูหยินเอก สาวใช้คนหนึ่งเข้ามาหยุดอยู่ในห้อง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเม่ยเหนียงที่กำลังนั่งดื่มน้ำชา

เม่ยเหนียงพลันเงยหน้า ถามด้วยแววตาประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าฐานลับทั้งหมดของตระกูลก่วงที่ตลาดผีถูกทัพใหญ่แดนรัตติกาลถล่มเหรอ?”

สาวใช้พยักหน้า “ไม่ใช่แค่ถล่มค่ะ แต่ถูกล้างเลือด ได้ยินว่าทางทัพใหญ่แดนรัตติกาลลงมือได้เหี้ยมโหดมาก พอบุกเข้าไปก็ไม่สนว่าเป็นคนงานหรือแขกในร้านค้า พวกนั้นไม่ไว้ชีวิตสักคน ถูกพวกเขาฆ่าหมดแล้ว คนที่โชคดีกำลังทำงานอยู่ข้างนอกก็ซ่อนตัว ไม่กล้ากลับไปอีกเลยค่ะ”

เม่ยเหนียงทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน นางพบว่าแม่ทัพที่มีอำนาจทางทหารอยู่ข้างนอกช่างแตกต่างกับผู้หญิงที่ต่อสู้อยู่ในบ้านอย่างนางจริงๆ เอะอะก็ล้างเลือดปล้นของ ฟังแล้วรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด น่าตระหนกตกใจ

ดวงตางามวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ รีบลุกขึ้นเดินออกจากศาลา แล้วเดินตรงมาที่ห้องนอนของลูกสาว

นางผลักประตูเข้ามาแล้วปิดประตู เห็นเพียงก่วงเม่ยเอ๋อร์กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเบื่อหน่าย

เมื่อเห็นท่านแม่มาแล้ว ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็พลิกตัวเหมือนอารมณ์เสีย หันหลังให้มารดา

เม่ยเหนียงนั่งลงข้างเตียง คว้าแขนลูกสาวฉุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่เห็นท่าทางของมารดาผู้มีเมตตาเหมือนในอดีตสักนิด ถ่ายทอดเสียงด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าฟังให้ดีนะ เรื่องที่อวิ๋นจือชิวติดต่อเจ้ามา ห้ามเอ่ยให้ใครฟังเด็ดขาด…”

รอจนกระทั่งนางออกไปอีกครั้ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นั่งบนเตียงเตี้ยก็เริ่มหน้าซีดนิดหน่อย มารดาให้อิสระนางแล้ว แต่ในดวงตานางกลับฉายแววหวาดกลัว

สวนสีคราม เจ้าของคือหนึ่งในอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ก่วง ชื่อว่าเยี่ยนฉินหลัน มีลูกชายหนึ่งคนชื่อว่าก่วงจวินอี้ เป็นลูกชายคนรองของก่วงลิ่งกง

ในศาลาเย็นที่มีดอกไม้บานสะพรั่งราวกับลายผ้าไหม ยอดหญิงงามอีกคนกำลังดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนเยี่ยนฉินหลัน นางชื่อกัวอวี้เอ๋อร์ เป็นอนุภรรยาของก่วงลิ่งกงเช่นกัน เป็นมารดาของก่วงจวินเหยา ลูกชายคนที่สามของก่วงลิ่งกง

สองคนที่นั่งอยู่ในศาลากำลังพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดผี พอเกิดเรื่องขึ้นแล้ว กัวอวี้เอ๋อร์ที่ได้ยินข่าวก็มาที่นี่

ในเรือนใหญ่ตระกูลสูงแบบนี้ ขอเพียงเป็นคนที่เรืองอำนาจ มีใครบ้างที่ไร้สายลับสอดแนม ต่างคนต่างก็มีความจำเป็น คนที่เรืองอำนาจจำเป็นต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ต้องตบรางวัลสายลับบ้าง ที่สำคัญก็คือมีใครบ้างที่ไม่เคยทำพลาดกับเรื่องเล็กน้อย เมื่อมีผู้มีฐานะสูงช่วยพูดให้สองสามคำ ก็สามารถลดความยุ่งยากได้ไม่น้อยแล้ว แอบส่งพวกสายลับไปเดิมพันไว้ที่ฝ่ายอื่น ในอนาคตไม่ว่าใครจะได้กุมอำนาจ ตัวเองก็ล้วนไม่เสียเปรียบ

ในขณะนี้เอง สาวใช้ก็มารายงานว่า “ฮูหยิน หวังเฟยมาแล้วค่ะ”

ผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในศาลาสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ต้องบอกเลย อีกฝ่ายจะต้องมาคุยเรื่องที่ตลาดผีแน่นอน

ผู้หญิงทั้งสองรีบลุกขึ้น รีบเดินออกไปต้อนรับทำความเคารพข้างนอก

จนกระทั่งเดินขนาบซ้ายขวาหวังเฟยเม่ยเหนียงกลับเข้ามานั่งในศาลาอีกครั้ง พวกนางก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยถึงเรื่องตลาดผี พวกผู้หญิงไปแทรกแซงเรื่องภายนอกไม่ได้ อย่างมากก็แค่ขยับปากพูด ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อลูกชายตัวเองก็ได้ คนที่มีลูกชายคนไหนบ้างที่ไม่หวังให้ลูกตัวเองกลายเป็นเจ้านายของจวนท่านอ๋อง ถึงตอนนั้นมารดาก็จะได้อาศัยบารมีลูกชายไปด้วย เมื่ออยู่ในจวนท่านอ๋องก็จะไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่นอีกแล้ว

“เรื่องนี้ไม่พ้นความเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไปกินยาอะไรผิดมา เพิ่งจะมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์อิ๋ง ตอนนี้กลับมายั่วโมโหท่านอ๋องของพวกเราแล้ว ไม่กลัวตายหรือยังไง?” กัวอวี้เอ๋อร์บ่น

เม่ยเหนียงขยับคิ้วเล็กน้อย ยกน้ำชาขึ้นมาจ่อปาก แล้วพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “พวกเจ้าก็รู้ เม่ยเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตอนเช้าพอข้าได้ข่าวก็รีบให้เม่ยเอ๋อร์ถามให้เลย เหมือนอีกฝ่ายจะบอกว่าพวกเราไปยั่วโมโหพวกเขาก่อน เหมือนว่าเกาเหยียน หลานชายของฝั่งสวนจิ้งเซวียนจะบังคับแต่งงานกับหลานสาวสำนักลมปราณ…ฝั่งนั้นไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้แล้ว แต่ข้าเดาว่าเป่าเหลียนเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ อยู่ด้วยกันมานานขนาดนั้น เรื่องระหว่างชายหญิงไง ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น มีใครบ้างล่ะที่ได้ยินเรื่องนี้แล้วจะไม่โมโห”

มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เยี่ยนฉินหลันกับกัวอวี้เอ๋อร์ได้ยินแล้วตาเป็นประกายเล็กน้อย เหมือนจับประเด็นอะไรบางอย่างได้แล้ว

จากนั้นในศาลาก็ค่อนข้างเงียบ กัวอวี้เอ๋อร์ที่ดื่มน้ำชาไปสองคำพลันวางถ้วยลง แล้วลุกขึ้นขออภัย “หวังเฟย พี่สาว ข้ามีเรื่องนิดหน่อย อยู่เป็นเพื่อนพวกท่านไม่ได้แล้ว ข้าขอตัวก่อน”

จากนั้นเม่ยเหนียงก็หาข้ออ้างขอตัวออกไป

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว เยี่ยนฉินหลันก็รีบเรียกก่วงจวินอี้ลูกชายตัวเองให้มาหา

เม่ยเหนียงที่ออกจากสวนสีครามทำสีหน้าปกติ เงยหน้ายืดอก ไหลสองข้างยืดตรง แววตาเยือกเย็นสุขุม เดินกลับมาอย่างผึ่งผายภูมิฐาน

ก่อนที่ผู้หญิงพวกนี้จะไปพบกัน ก่วงลิ่งกงก็ออกจากห้องสมาธิแล้วเช่นกัน มานั่งอยู่ในห้องหนังสือ ฟังรายงานของโกวเยว่

“หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร?” ก่วงลิ่งกงถามเสียงเย็น หายใจแรงนิดหน่อย

“เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณขอรับ” โกวเยว่ตอบ

ก่วงลิ่งกงเหลือสายตาขึ้น “สำนักลมปราณ? เขายังมีความสัมพันธ์กับสำนักลมปราณอยู่อีกเหรอ?”

โกวเยว่ตอบว่า “จู่ๆ จ้าวจ้งก็ขาดการติดต่อไป บ่าวกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ พอเชื่องโยงกับเรื่องที่ตลาดผี บ่าวก็สงสัยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะสำนักลมปราณ ปัญหาคงอยู่ที่เกาเหยียนนั่นคิดจะแต่งงานกับเป่าเหลียน พอมาดูตอนนี้ เป่าเหลียนกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นอาจจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้”

เรื่องที่เกาเหยียนจะแต่งงาน ทางก่วงลิ่งกงก็รู้เช่นกัน รู้ถึงเจตนาไม่ซื่อของก่วงจวินอันด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้าม ตั้งใจจะช่วยให้สมปรารถนา

“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันหรือไม่ เจ้าคิดหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนโง่เหรอ? เขาเพิ่งจะมีเรื่องกับอิ๋งจิ่วกวง ตอนนี้ก็มาสู้กับข้าอีก เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? ใช่ว่าเขาจะไม่มีช่องทางติดต่อกับฝั่งนี้ เม่ยเอ๋อร์ไปที่นั่นบ่อยไม่ใช่เหรอ?บอกได้ตลอดเวลา…” พอพูดถึงตรงนี้ ก่วงลิ่งกงก็ชะงัก แล้วหรี่ตาถามว่า “เจ้าไปสืบมาหน่อย ดูว่าหวังเฟยเริ่มกักบริเวณเม่ยเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไร สืบด้วยว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นทิ้งระยะห่างเวลาเท่าไร”

โกวเยว่แววตาวูบไหวเล็กน้อย เอ่ยรับว่า “รับทราบ!”

…………………