ท่าเรือพริสต์ ในโกดังที่กำลังสร้างใหม่
ไม่กี่วันหลังจากคราวก่อน ฟอร์สได้พบอาจารย์ของเธอ โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม
“คุณพร้อมหรือยัง?” โดเรียนถามเสียงแผ่ว
ในการพบกันคราวก่อน มันบอกฟอร์สเกี่ยวกับข้อกำหนดของพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็น ‘จอมเวทลึกลับ’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางผู้ฝึกหัด เพื่อให้เธอได้เตรียมตัวล่วงหน้า
“น่าจะ… น่าจะผ่านเงื่อนไขไปได้…” ฟอร์สตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
พิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นจอมเวทลึกลับนั้นค่อนข้างง่าย แต่คำว่าง่ายนั้นตรงข้ามกับคำว่า ‘ซับซ้อน’ ไม่ใช่ ‘ยาก’ สำหรับฟอร์ส เธออยากให้เป็นอย่างอื่นมากกว่า
พิธีกรรมกำหนดให้ผู้ที่ต้องการเลื่อนลำดับ ลงมือผนึกสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพที่มีเจตนามุ่งร้ายอย่างชัดเจน ยิ่งได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกน้อยเท่าไร พิธีกรรมก็ยิ่งมีประสิทธิภาพเท่านั้น สำหรับระดับตัวตนของเป้าหมาย ขอเพียงไม่ต่ำกว่าครึ่งเทพเป็นอันใช้ได้ ไม่ส่งผลกับพิธีกรรมมากนัก
ได้ยินเช่นนั้น โดเรียนพยักหน้า
“ไม่ต้องกังวล เดิมทีพิธีกรรมก็ยากเกินกว่าผู้วิเศษลำดับ 5 จะผ่านด้วยตัวเองอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือการขอความช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม แต่ต้องทำอย่างพอดี พยายามไม่เกินข้อกำหนด ไม่อย่างนั้นพิธีกรรมจะล้มเหลว”
คำแนะนำในตอนแรกของมันคือ ให้ฟอร์สยืมสมบัติปิดผนึกระดับ 1 มาใช้งาน และเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่ขอให้ตัวตนระดับนักบุญช่วยเหลือ
ฟอร์สตอบอย่างคลุมเครือ
“ดิฉันจะขอพรให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการเลื่อนลำดับหลังจากดื่มโอสถ การขอพรให้โชคดี น่าจะส่งผลดีกว่าการขอพรให้แข็งแกร่งและเอาชนะสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพได้… นอกจากนั้น ดิฉันจะใช้ภาพวาดที่อาจารย์พูดถึง”
ภาพวาดดังกล่าวไม่ใช่สมบัติปิดผนึกระดับ 0 อย่าง ‘ม้วนคัมภีร์แห่งเทพ’ แต่เป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ของตระกูลอับราฮัมซึ่งมีชื่อว่า ‘ภาพวาดสีน้ำมันปีศาจ’
ในยุคสมัยที่สี่ เสื่อสมาชิกจำนวนมากของตระกูลอับราฮัมเลื่อนลำดับเป็นลำดับ 4 อย่างจอมเวทลึกลับ พวกมันได้สร้างภาพวาดสีน้ำมันขึ้นมาเพื่อผนึกสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพ
อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกชุมนุมแสงเหนือโจมตีและสูญเสียเอกสารไปเป็นจำนวนมาก โดเรียน·เกรย์ไม่แน่ใจว่าภายในภาพวาดสีน้ำมันปีศาจยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงถูกผนึกอยู่มากแค่ไหน แค่มั่นใจว่ามีมากกว่าหนึ่ง
เดิมที โดเรียนคิดจะปล่อยสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพที่บ้าคลั่งและทำตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวออกจากภาพวาดสีน้ำมันปีศาจ นั่นจะเป็นเป้าหมายในพิธีกรรมของศิษย์รัก ซึ่งสามารถจัดการได้ง่ายกว่านักบุญที่มีสติปัญญาและเฉลียวฉลาดหลายเท่า แถมยังไม่ผิดจากข้อกำหนดของพิธีกรรม แต่สิ่งที่ผิดคาดก็คือ มันคิดไม่ถึงว่าฟอร์สเป็นฝ่ายขอยืมใช้งานภาพวาดสีน้ำมันปีศาจด้วยตัวเอง
โดเรียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ภาพวาดสีน้ำมันปีศาจนั้นมีแค่พลังจองจำและผนึก ไม่มีความสามารถด้านทำให้เป้าหมายอ่อนแอลง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อยัดสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพเข้าไปในภาพวาดสีน้ำมันปีศาจ”
ฟอร์สพยักหน้า เป็นนัยว่าทราบเรื่องนี้ดี
“อาจารย์ คุณบอกว่าพลัง ‘บันทึก’ ของนักบันทึกไม่ใช่ความช่วยเหลือจากภายนอก”
“ถูกต้อง” โดเรียน·เกรย์ยืนยันคำตอบอย่างมั่นใจ
หากพลังในการบันทึกของตัวเองถือเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก ก็คงแทบไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดเลื่อนลำดับสำเร็จ เพราะท้ายที่สุด พลังบันทึกคือไพ่ตายหลักของเส้นทางผู้ฝึกหัดในลำดับก่อนครึ่งเทพ หากตัดพลังบันทึกออกไป นักท่องเที่ยวอย่างฟอร์สคงทำได้แค่หนี ยากที่จะสร้างความเสียหายแก่ศัตรู
“ในทางทฤษฎีก็ใช่… แต่คุณสามารถบันทึกพลังระดับครึ่งเทพได้เพียงไม่เกินห้า…” โดเรียนกล่าวด้วยความกังวล
แต่ก่อนจะสิ้นสุดประโยค มันหวนนึกถึงเดอะฟูลและข้ารับใช้ที่ทรงพลัง นั่นช่วยให้จิตใจสงบลง
“ถ้าพลังสอดประสานกันได้ดี ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จสักหน่อย มันก็แค่สิ่งมีชีวิตที่บ้าคลั่งและทำตามสัญชาตญาณ” ฟอร์สปลอบใจอาจารย์และตัวเอง
โดเรียนผงกศีรษะโดยไม่กล่าวคำใด เพียงอัญเชิญมาลมอสผู้รักเสียงดนตรี จากนั้นก็นำวัตถุดิบหลักและเสริมออกมาปรุงโอสถให้ศิษย์
“ถ้าผนึกไม่สำเร็จ อย่าฝืนดื่มมัน ถึงโอสถจะผสมเข้ากับขวดแก้วจนกลายเป็นสมบัติปิดผนึก แต่เราสามารถสวดวิงวอนให้มิสเตอร์ฟูลช่วยเปลี่ยนมันกลับเป็นตะกอนพลังได้” โดเรียนยังคงไม่สบายใจ พยายามตักเตือนฟอร์สพลางยื่นโอสถให้
ภายในขวดแก้วมีชั้นของดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ ประหนึ่งทางช้างเผือกบนท้องฟ้าถูกดูดเข้าไปในขวดโอสถ
“ค่ะ” ฟอร์สพยักหน้าขึงขัง เป็นนัยว่าเธอไม่กังวลเรื่องที่โอสถจะเสียเปล่า
หญิงสาววางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว นั่นก็คือ หากเธอมั่นใจว่าไม่สามารถผนึกสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพที่ถูกปล่อยออกมาได้ เธอจะเทเลพอร์ตหนีไปและขอพรให้มิสเตอร์ช่วยแก้ไขปัญหา
โดเรียนหยิบภาพสีน้ำมันคู่หนึ่งออกจากกระเป๋าเดินทางในมือ เป็นภาพเชิงนามธรรมที่เข้าใจได้ยาก แค่จ้องมองก็มาพอที่จะทำให้ผู้คนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และจิตใจอ่อนแอ
นี่คือภาพวาดสีน้ำมันปีศาจที่ผนึกสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงไว้เป็นจำนวนมาก
“ถ้าคุณเลื่อนลำดับสำเร็จ ผมมีแค่เรื่องเดียวที่จะขอร้อง” โดเรียนถือภาพวาดสีน้ำมันปีศาจพลางกล่าวกับฟอร์สด้วยเสียงขรึม “นั่นก็คือ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ช่วยฟังสิ่งที่มิสเตอร์ประตูพูด และถามท่านว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้”
คนของตระกูลอับราฮัมยังไม่อยากยอมรับว่า คำสาปที่ทำให้พวกตนทุกข์ทรมานมาแสนนานจะมาจากความตั้งใจของบรรพบุรุษ และเข้าใจว่ามิสเตอร์ประตูอาจไม่ทราบถึงผลลัพธ์จากการ ‘ขอความช่วยเหลือ’ ของเขา
โดเรียนกระตือรือร้นที่จะสืบหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมด
“ตกลงค่ะ” ฟอร์สตกปากรับคำอาจารย์โดยปราศจากความลังเล
จากนั้น เธอนำภาพวาดสีน้ำมันปีศาจเทเลพอร์ตออกจากท่าเรือพริสต์ ไปยังทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่
ด้วยวิธีนี้ แม้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างประกอบพิธีกรรม เธอก็ยังมีเวลาแก้ไขสถานการณ์โดยไม่กระทบกับผู้บริสุทธิ์
หลังจากตรวจสอบสภาพแวดล้อมและเตรียมความพร้อมเบื้องต้น ฟอร์สสอดภาพวาดสีน้ำมันปีศาจลงไปในดิน
หญิงสาวประสานมือทันที ก้มหน้าลงและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ขอพรในการเพิ่มโอกาสเลื่อนลำดับสำเร็จหลังจากดื่มโอสถ
ฟอร์สเห็นสายหมอกมายาสีเทาในทันที และทราบว่ามิสเตอร์ฟูลตอบสนองแล้ว
หลังจากปล่อยเวลาผ่านไปเล็กน้อย ในที่สุดฟอร์สก็โน้มน้าวตัวเองสำเร็จ หยิบผงสมุนไพรที่เตรียมไว้ออกมาโรยลงบนภาพวาดสีน้ำมันปีศาจ
จากนั้นก็ท่องคาถาปลดผนึกเป็นภาษาคนยักษ์
นี่คือคาถาที่จะปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตออกมาแค่ตัวเดียว
ผงสมุนไพรลอยขึ้นและโปรยลงบนภาพวาดอย่างเงียบงัน จากนั้นก็หมุนวนรอบจุดหนึ่งด้วยความเร็วสูง
ขณะกำลังหมุน ผิวของภาพวาดสีน้ำมันพลันแปรเปลี่ยนเป็นมายา ประหนึ่งมีกระแสน้ำกำลังไหลเวียนอยู่ที่นี่
ทันใดนั้น ท่อนแขนสีน้ำเงินเข้มที่มีร่องรอยผุกร่อนโผล่ออกจาก ‘วังวน’ ดังกล่าว
ท่อนแขนกำลังเหยียดออกจากภาพวาดสีน้ำมันมายังโลกภายนอก!
เพียงพริบตา ร่างกายฟอร์สเย็นลงกะทันหันราวกับตกลงในทะเลสาบน้ำแข็ง
ความรู้สึกดังกล่าวทำให้เธอหัวโล่ง แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เธอค่อยๆ สูญเสียการควบคุมร่างกาย ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใดก็มิอาจขยับแขนขาได้ตามใจนึก
ในวินาทีนี้ คล้ายกับฟอร์สกลับไปเป็นนักเขียนยามวิกาลที่จะงีบหลับระหว่างวัน ในช่วงเวลาดังกล่าว มีหลายครั้งที่เธอรู้สึกตัวตอนนอนแต่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ ราวกับลำตัวถูกกดทับด้วยสิ่งมีชีวิตล่องหน
แม้สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงภายในภาพวาดสีน้ำมันปีศาจจะยังปรากฏตัวไม่สมบูรณ์ แต่ฟอร์สกลับมิอาจต้านทานออร่าเทพอันท่วมท้นนี้ได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่มันหลบหนีออกจากภาพวาดสีน้ำมันได้สำเร็จ ฟอร์สคงคลุ้มคลั่งคาที่เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่าย
ความแตกทางระดับตัวตนมีมากถึงเพียงนั้นเลย
สติของฟอร์สค่อยๆ จางลงทีละนิด แต่เนื่องจากยังรู้สึกตัว หญิงสาวจึงยกแขนขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าออกไปด้านหน้า แต่ทันใดนั้น ขณะกำลังใช้ความคิด ฟอร์สพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงจินตนาการของตัวเอง ส่วนร่างต้นของเธอยังเผชิญความหนาวเหน็บ ความรู้สึกถูกกดทับโดยสิ่งมีชีวิตล่องหนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่เธอมีครึ่งเทพจำนวนมากคอยให้คำปรึกษา หนึ่งในคำแนะนำคือการรีบหลับตาให้ทันและห้ามจ้องภาพวาดสีน้ำมันปีศาจโดยตรง ไม่อย่างนั้นสถานการณ์อาจยิ่งเลวร้าย
อาศัยการเข้าฌานเพื่อดึงสติให้ตื่น ฟอร์สรีบนับถอยหลังภายในใจ
ตามคำเตือนของมิสเตอร์เวิร์ล ฟอร์สได้ทราบว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงจะต้องใช้เวลาห้าวินาทีเพื่อหลบหนีออกจากภาพวาดโดยสมบูรณ์
สี่… สาม… สอง… เมื่อเหลือหนึ่งวินาที หนังสือมายาพลันปรากฏขึ้นในดวงตาฟอร์ส หน้ากระดาษถูกพลิกอย่างรวดเร็วและหยุดลงในจุดหนึ่ง
หนึ่ง! ทันทีที่ฟอร์สนับในใจเสร็จ เธอกางแขนออก
รอบตัวหญิงสาวมีดอกท้อโปรยปรายลงมาจากด้านบน เป็นภาพที่สดใสและมีชีวิตชีวา
ฝ่ามือสีน้ำเงินดำที่กำลังจะคว้าคอฟอร์ส มีอันต้องขยับออกห่างเนื่องจากถูกสวนท้อที่เต็มไปด้วยพืชพรรณดันกลับไป สวนท้อแห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยแนวภูเขาที่เป็นแหล่งน้ำป่า และเข้าออกได้โดยการผ่านประตูถ้ำเท่านั้น
นี่คือเวทมนตร์นิทานปรัมปราที่ฟอร์สบันทึกมาจากมาดามเฮอร์มิท:
“ต้นกำเนิดดอกท้อ!”
มีพลังในการสร้างบาเรียกีดขวางอิทธิพลจากโลกภายนอก เป็นการยากที่จะทะลวงผ่าน
ฉวยโอกาสดังกล่าว ฟอร์สที่ได้รับร่างกายกลับคืนมาอย่างยากลำบาก หยิบตัวหมากรุก ‘ควีน’ จากชุดหมากรุกโรซายล์ และโยนมันผ่านสวนดอกท้อ ผ่านปากถ้ำออกไปยังด้านนอก
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเวทมนตร์ปรัมปราที่เธอบันทึกมาจากอีกฝ่าย
“กระดานหมากรุกกาลเวลา!”
พลังของมันคือการทำให้เป้าหมายเคลื่อนไหวได้ช้าลง ประหนึ่งหลงเข้าไปในเขตที่มีกระแสการไหลของเวลาแตกต่างกัน
แกร่ก! ทันทีที่ตัวหมากรุก ‘ควีน’ ร่วงหล่น ฝ่ามือสีน้ำเงินเข้มที่พยายามเจาะผ่านบาเรียของสวนดอกท้อ เปลี่ยนท่าทีจากการใช้แขนกระแทก กลายเป็นลงไปคลานบนพื้นด้านนอกสวน
ฟอร์สไม่ได้สนใจผลลัพธ์ เธอใช้ฝ่ามือล่องหนหยิบภาพวาดสีน้ำมันปีศาจที่สอดอยู่ในทรายขึ้นมา จากนั้นรีบกางปิดหน้าปากถ้ำไว้
ไม่กี่วินาทีถัดมา เมื่อฝ่ามือสีน้ำเงินเข้มกลับสู่สภาพเดิม มันรีบพุ่งผ่านปากถ้ำเข้ามาในสวนดอกท้อด้วยความเร็วสูง กระแทกใส่ภาพวาดสีน้ำมันปีศาจเข้าอย่างจัง
ขณะภาพวาดสีน้ำมันสั่นเทาเล็กน้อย สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงได้ทะลวงผ่านผิวภาพวาดเข้าไป
ฟอร์สเผยสีหน้าโล่งใจ โดยไม่ลังเล เธอร่ายคาถาอีกครั้งเพื่อปิดผนึกด้านนอกของภาพวาดสีน้ำมันปีศาจ
โชคดีที่สิ่งมีชีวิตครึ่งเทพตัวนั่นคลุ้มคลั่ง ขาดสติปัญญาโดยสิ้นเชิง… เราเริ่มอยากรู้แล้วว่า หลังจากดื่มโอสถเข้าไป เราจะได้ยินเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูจริงหรือ… ด้วยความประหม่า ฟอร์สหยิบขวดโอสถจอมเวทลึกลับออกมาเทใส่ปากดื่ม
………………………