ตอนที่ 1330 ก็แค่ผู้ฝึกสัตว์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ชิงอิ่งลงมือหนักมาก ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสสี่ซีดเผือดไป

คู่ต่อสู้ผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ชิงอิ่ง เบามือหน่อยสิ! ผู้อาวุโสแก่แล้วนะ เจ้าลงมือหนักไปเดี๋ยวจะซี้แหงแก๋เอาได้นะ”

แม้ว่าจะเห็นหน้าเจ้าเฒ่าเหล่านี้แล้วจะรู้สึกหงุดหงิด แต่หากทำลายกำลังในการต่อสู้ของตำหนักเป่ยหานไปจนสิ้น กลัวว่าจะมีกำลังที่จะต่อกรกับตำหนักตงจี๋ไม่พอ นางจึงต้องไว้ชีวิตพวกเขา

เตือนพวกเขาสักหน่อย หวังว่าพวกเขาจะสงบจิตสงบใจลงบ้าง

“อืม!” ชิงอิ่งพยักหน้าตอบรับเบา ๆ

ครั้นแล้วชิงอิ่งจึงลงมือเบาลงไม่น้อย และผู้อาวุโสสี่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

กระบี่ของกู้ไป๋อีเย็นยะเยือกไม่ต่างอะไรกับตัวเขาเลย น้อยมากที่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสจะมีโอกาสประลองกับท่านหัวหน้าตำหนัก เพราะท่านหัวหน้าตำหนักรังเกียจที่พวกเขามีฝีมืออ่อนด้อย

ตอนนี้มีโอกาสได้ประลองฝีมือกันแล้ว แต่พวกเขากลับหวาดกลัวหัวหด

พลังกระบี่ของท่านหัวหน้าตำหนักดูเหมือนว่าจะฟันพวกเขาออกเป็นหมื่นชิ้นก็มิปาน

ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกทึ่งมาก การต่อสู้ของยอดฝีมือเช่นนี้ยากนักที่จะได้เห็น

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!

การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เห็นได้ชัดว่าเหล่าบรรดาผู้อาวุโสไม่มีกำลังในการต่อสู้มากนักที่จะรับมือกับยอดฝีมือทั้งสองคนได้

ปัง ปัง ปัง! ผู้อาวุโสห้าถูกกระบี่โจมตีจนได้รับบาดเจ็บเลือดอาบไปทั้งตัว ร่างของเขากระเด็นลอยออกจากลานประลอง

ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บแทน แต่โชคดีที่ท่านหัวหน้าตำหนักรู้จักพอประมาณ ไม่โจมตีจนถึงขั้นเอาชีวิตเขา

ตุบ!

ส่วนผู้อาวุโสสี่ก็ถูกชิงอิ่งถีบกระเด็นลอยออกไปจากลานประลองเช่นกัน

แกร่ก! ในขณะที่ร่างกระแทกลงบนพื้น ก็ได้ยินเสียงกระดูกหักออกเป็นเสี่ยง ๆ

เหล่าบรรดาผู้อาวุโสในตอนนี้น่าสังเวชเข้าแล้ว แถมยังน่าสังเวชจนเกินไปอีกด้วย!

หากไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่พอใจที่มู่เฉียนซีได้เป็นประมุขน้อย พวกเขาจะน่าสังเวชเช่นนี้เหรอ

ผู้อาวุโสรองและพวกรู้สึกเสียใจทีหลังขึ้นมาแล้ว แถมยังเจ็บอกเจ็บใจมากด้วย พวกเขาถูกสาวน้อยมู่เฉียนซีนี่หลอกจนต้องมีสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้

ผู้อาวุโสหกคิดจะเข้าไปใกล้มู่เฉียนซี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกู้ไป๋อีกับชิงอิ่งไม่ให้พวกเขามีโอกาสนั้น

เขาแค่อยากดูว่าตกลงแล้วมู่เฉียนซีมีความสามารถอันใดที่ทำให้ศิษย์ของเขากลายเป็นคนบ้าโง่เขลาได้

แม้ว่าศิษย์ของเขาจะเอาชนะมู่เฉียนซีด้วยพลังจิตไม่ได้ แต่เขาในฐานะที่พลังใกล้จะถึงระดับสูงสุด และในฐานะที่เป็นผู้ฝึกสัตว์ เขาต้องทำได้อย่างแน่นอน

มู่เฉียนซีที่มองดูเหล่าบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ถูกโจมตีอย่างน่าสังเวชด้วยความชอบใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังจิตอันคุ้นเคยหนึ่งลอบโจมตีมาที่นาง

แสงสลัววาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี ศิษย์ของเขาผู้นั้นน่าสังเวชจนถึงขั้นนั้นแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสหกจะไม่ยอมเลิกรา ยังจะใช้พลังจิตมาโจมตีนางอีก!

มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ผู้อาวุโสหก พลังจิตของผู้อาวุโสหกที่โจมตีเข้ามา ไม่นานนักก็ถูกพัวพันจนปั่นป่วน

เขาได้พบกับพลังจิตอันทรงพลังมากอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทรงพลังจนทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวสั่น!

รูม่านตาของผู้อาวุโสหกหดตัวลง เป็นไปได้ยังไง?

เห็น ๆ กันอยู่ว่านางเป็นเพียงแค่สาวน้อยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เห็น ๆ กันอยู่ว่าพลังของนางเป็นเพียงแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปด แต่เหตุใดถึงได้มีพลังจิตที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ได้!

ผู้อาวุโสหกในตอนนี้ก็ตระหนักได้แล้วว่าการใช้พลังจิตโจมตีมู่เฉียนซีนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาไข่ไปกระทบหิน เขาจึงรีบคิดที่จะดึงพลังจิตกลับมา

ทว่า มู่เฉียนซีจะยอมให้เขาดึงพลังจิตกลับง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า!

พลังจิตอันทรงพลังและไร้ขอบเขตนั้นพัดกระโชกมา สีหน้าของผู้อาวุโสหกซีดเผือดขึ้นฉับพลัน พร้อมกันนั้นร่างในชุดม่วงก็เคลื่อนไหวเข้ามา

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหก ใช้พลังจิตลอบโจมตีข้า เจ้าลืมตัวตนอีกอย่างหนึ่งของข้าไปแล้วเหรอ”

ผู้อาวุโสหกเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ ตัวตนอีกอย่างหนึ่งของนางก็คือนักปรุงยา แถมยังเป็นนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออกอีกด้วย

พลังจิตของนักปรุงยานั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก แต่เขาก็เป็นผู้ฝึกสัตว์คนหนึ่งเหมือนกันนะ!

จะอ่อนแอไปกว่าสาวน้อยผู้นี้ได้อย่างไรกัน และนี่นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเลยจริง ๆ!

“เดิมทีถูกชิงอิ่งโจมตี เจ้าก็คงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่เจ้าดันทุรังรนหาที่ตายเอง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

“ขะ ข้า…ข้าไม่อยากเป็นคนบ้าโง่เขลา ประมุขน้อยเฉียนซี ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย…”

ตอนนี้มู่เฉียนซีใช้พลังจิตโจมตีเขาแล้ว การที่จะทำให้เขากลายเป็นคนบ้าโง่เขลาเหมือนศิษย์ของเขานั้นมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก!

มู่เฉียนซีกล่าว “ทำให้เจ้ากลายเป็นคนบ้า โง่เขลา ดูเหมือนว่าจะเป็นการดูถูกเจ้าเกินไป ข้ามอบของขวัญให้เจ้าสักชิ้นดีกว่านะ!”

เข็มยาเข็มหนึ่งแทงเข้าตรงคอของผู้อาวุโสหก

สีหน้าของผู้อาวุโสหกเขียวคล้ำขึ้น จากนั้นก็ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง

ปัง ปัง ปัง!

ชิงอิ่งกับกู้ไป๋อีก็รับรู้ได้ว่าผู้อาวุโสหกลงมือกับมู่เฉียนซี เดิมทีพวกเขาก็อยากจะใช้วิธีการที่อ่อนโยนสักหน่อย แต่ตอนนี้พลันลงมืออย่างโหดเหี้ยมขึ้น

ในตอนนี้ ภายใต้จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่บนลานประลองต่างก็รู้สึกอิจฉาผู้อาวุโสห้ากับผู้อาวุโสสี่แล้วที่ถูกโจมตีจนกระเด็นลอยออกไปจากลานประลองก่อนหน้านี้

ปัง ปัง ปัง!

กลุ่มของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสแห่งตำหนักเป่ยหานได้พ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ อีกทั้งยังพ่ายแพ้ไปอย่างน่าสังเวชมากอีกด้วย

กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ผู้อาวุโสหกลอบโจมตีประมุขน้อย เด็ก ๆ! พาตัวเขาไปขังไว้ในคุกใต้ดิน รอข้าไปจัดการ”

และในตอนนี้เอง ลูกน้องของผู้อาวุโสหกก็เข้ามาขอร้องอ้อนวอน “ท่านหัวหน้าตำหนักขอรับ ผู้อาวุโสหกเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักเป่ยหาน ท่านหัวหน้าตำหนักได้โปรดปรานีผู้อาวุโสหกด้วยขอรับ!”

มู่เฉียนซีมองไปที่คนผู้นั้นและยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็แค่ผู้ฝึกสัตว์”

“นับจากนี้ต่อไป ผู้ฝึกสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งตำหนักเป่ยหานไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าสามารถจัดการเขาได้อย่างตามใจเลยใช่หรือไม่?”

ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงขึ้น นี่ประมุขน้อยหมายความว่าอย่างไรกัน?

ผู้อาวุโสหกเป็นผู้ฝึกสัตว์อันดับหนึ่งแห่งตำหนักเป่ยหานมานานมากแล้ว และไม่มีผู้ใดเก่งกาจไปว่าเขาแล้ว ประมุขน้อยจะไปหาผู้ฝึกสัตว์ท่านใดมาแทนที่เขาได้ล่ะ!

มู่เฉียนซีมองไปที่พวกเขาและกล่าวว่า “แล้วข้าไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์อย่างนั้นเหรอ?”

ทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างก็เกิดความโกลาหลขึ้น “อะไรนะ ประมุขน้อยก็เป็นผู้ฝึกสัตว์ด้วยอย่างนั้นเหรอ นี่นางยังใช่มนุษย์หรือไม่?”

“……”

มู่เฉียนซีกล่าว “ทุกคนฟังคำสั่ง ไปหาซื้อหรือล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มา หามาได้ก็ส่งมาที่ตำหนักเป่ยหาน ข้ารับผิดชอบการฝึกสัตว์เอง!”

“และหากมีผู้ใดกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าอีก คนผู้นั้นจะมีจุดจบเหมือนผู้อาวุโสหก”

หลังจากสยบด้วยกำลัง และลงโทษแล้ว แน่นอนว่าต้องให้รางวัลปลอบใจสักหน่อย

“ประมุขน้อยเป็นผู้ฝึกสัตว์จริง ๆ ด้วย!”

“พระเจ้าช่วย! ประมุขน้อยยังรับปากว่าจะช่วยฝึกสัตว์ให้อีก!”

“……”

มู่เฉียนซีกล่าว “หากพวกเจ้ามีข้อสงสัย ข้ายินดีให้ทุกคนเอาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าฝึกให้ได้”

พลังของตำหนักเป่ยหานกับตำหนักตงจี๋นั้นสูสีกัน เพียงแต่พลังของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเอนเอียงไปทางตำหนักตงจี๋เล็กน้อย

แม้ว่าเป่ยกงจั๋วรับปากว่าจะช่วยสนับสนุน แต่ตัวเองก็ต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้เองด้วย

เตรียมสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพิ่มให้ตำหนักเป่ยหานมากขึ้นสักหน่อย การเพิ่มกำลังในการต่อสู้นั้นเป็นเรื่องจำเป็นมาก

ในวันนี้ ทุกคนในตำหนักเป่ยหานต่างก็ตื่นเต้นขึ้น

ต้องรู้เอาไว้เลยว่าเมื่อก่อนกว่าจะให้ผู้อาวุโสหกฝึกสัตว์ให้ได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แถมปี ๆ หนึ่งเขาก็ฝึกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่มากนัก แต่ประมุขน้อยเฉียนซีเก่งกาจและใจกว้างมาก

หลังจากที่กลับมาถึงตำหนักของหัวหน้าตำหนัก กู้ไป๋อีก็กล่าวถามว่า “ซีเอ๋อร์จะลำบากเกินไปหรือไม่?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ด้วยพลังจิตของข้าในตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย หลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดหนีไป ตำหนักเป่ยหานก็มีช่องโหว่มากมาย จำเป็นต้องเติมเต็ม มิเช่นนั้นหากตำหนักตงจี๋มีความเคลื่อนไหว เราจะลำบาก”

“มีข้าอยู่!” กู้ไป๋อีกล่าวเสียงขรึม

มู่เฉียนซียิ้มแล้ว “นั้นมันแน่นอนอยู่แล้วล่ะ มียอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศให้ข้าได้กอดขาพึ่งพาเช่นนี้ ข้าไม่กลัวตำหนักตงจี๋หรอก!”

เมื่อรู้ว่ามู่เฉียนซีอยู่ที่ตำหนักเป่ยหาน แถมยังมีชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือได้ใจทุกคน และดูเหมือนว่ากู้ไป๋อีจะปกป้องมู่เฉียนซีเป็นพิเศษเช่นนี้อีก ไป๋อู๋ห่ายก็กระวนกระวายใจขึ้น “ตำหนักเป่ยหานผิดสัญญา อวิ๋นซิว ข้าว่าเรื่องนี้เจ้ารีบรายงานให้พระนางรู้เถอะ!”

.

.