บทที่ 1426 คิดดีแล้วหรือ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“ต้นกำเนิดแห่งปรารถนา…” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะยืนอยู่ในหอคอยเจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนาสัมผัส เจ้าปรารถนาสัมผัสข้างกายมองหวังเป่าเล่ออย่างสั่นกลัว ด้วยระยะใกล้เช่นนี้ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความผันผวนในร่างกายหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน

ความผันผวนนี้ให้ความรู้สึกรุนแรงราวกับว่าเมื่อมันแผ่ออกมาแล้วจะทำให้ตนสูญสิ้นสติปัญญาและจมดิ่งสู่ห้วงปรารถนาตลอดไป

“แล้ว…เหตุใดมหาเทพถึงเปลี่ยนที่นี่เป็นโลกแห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาหรือพูดให้ชัดเจนคือเหตุใดมหาเทพถึงนำความปรารถนาของตนมาไว้ที่นี่” หวังเป่าเล่อเงียบ เขาเงยหน้าขึ้นเป็นเวลานาน ดวงตาสีเข้มมองไปยังท้องฟ้า

ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ เขาก็นึกถึงคำถามที่จักรพรรดิเสวียนเฉินถามเขาถึงสองครั้งขึ้นมา

“เจ้า คิดดีแล้วหรือ”

แม้หวังเป่าเล่อในตอนนั้นจะใช้การกระทำเป็นการตอบ แต่เมื่อไตร่ตรองเขาไม่ได้กล่าวอะไร ไม่ได้เอ่ยคำตอบออกไปด้วยซ้ำ

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาก้มหน้าลงพร้อมยกมือขวาขึ้น พริบตาต่อมาหมอกสีดำก็มารวมตัวกันตรงกลางฝ่ามือกลายเป็นลูกบอลสีดำ ข้างในนั้นราวกับอัดแน่นไปด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่แผ่ความปรารถนาไม่รู้จบออกมา ขณะเดียวกันก็ราวกับกำลังดิ้นรนอยากหลุดพ้นจากฝ่ามือหวังเป่าเล่อ

เจ้าปรารถนาสัมผัสด้านข้างก็ยิ่งตัวสั่นเข้าไปอีก

หวังเป่าเล่อมองอยู่นานก่อนจะเก็บมันเข้าร่างกาย จากนั้นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า พริบตาต่อมาเขาก็ออกไปจากเมืองปรารถนาสัมผัสแล้ว

จนกระทั่งร่างของเขาหายไปจากเมือง เจ้าปรารถนาสัมผัสถึงได้ถอนหายใจโล่งอก แต่ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในดวงตายังคงอยู่

“พลังปราณในกายของเขาน่าสะพรึงกลัวจริงๆ…แล้วยังมีหมอกสีดำนั่น…” เจ้าปรารถนาสัมผัสพึมพำราวกับหวนนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ทำให้นางตัวสั่น

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อที่ออกมาจากเมืองปรารถนาสัมผัสก็สัมผัสได้ว่าสภาพของตนในปัจจุบันมาถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้แล้ว ด้วยร่างกายนี้หากเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเสวียนเฉินอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะสยบเขาและเปิดประตูได้

อาจกล่าวได้ว่าเป้าหมายในการมามิติเต๋าต้นกำเนิดครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะได้พบมหาเทพที่กำลังถือสันโดษ จากนั้นก็คือการตัดเหตุต้นผลกรรมและทำให้ตัวเองเป็นอิสระ

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาตอนนี้ถึงได้เกิดความลังเลใจอยู่ตลอด

ขณะใคร่ครวญถึงสาเหตุของความลังเลนั้น หวังเป่าเล่อก็เดินไปในโลกชั้นที่สองอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดเขาก็มาถึงทะเลทราย

“ไม่นึกว่าจะมาถึงนี่” หวังเป่าเล่อมึนงง เขาเงยหน้ามองไปรอบด้าน แววตาฉายความสับสน

ที่นี่คือสถานที่ที่ร่างต้นแบบของเขาอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณจากร่างใต้ผืนทราย ดูท่า…ร่างต้นแบบก็รับรู้ถึงการมาของเขาด้วยเช่นกัน

เขากับร่างต้นแบบ หนึ่งคนอยู่บนผืนทราย หนึ่งคนอยู่ใต้ผืนทราย หนึ่งคนก้มหน้า หนึ่งคนเงยหน้าราวกับดวงตาของพวกเขากำลังสบประสาน

ร่างต้นแบบและร่างแยกต่างนิ่งเงียบ

ไม่นานจู่ๆ หวังเป่าเล่อบนผืนทรายก็ยิ้มออกมา ก่อนจะวาบร่างเข้าไปในผืนทราย และ…มาปรากฏตัวยังสถานที่ถือสันโดษของร่างต้นแบบ

นี่คือครั้งแรกที่ร่างแยกหวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวต่อหน้าร่างต้นแบบอย่างแท้จริงหลังจากไป

เวลาไหลผ่าน…

ไม่นานก็ผ่านไปสามวัน

นอกจากตัวหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าในสามวันนี้ร่างแยกกับร่างต้นแบบคุยอะไรกัน

หลังจากสามวันร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวนอกทะเลทราย เขายืนก้มหน้ามองด้านล่างอยู่ตรงนั้นด้วยดวงตาซับซ้อน ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาแน่วแน่และมุ่งตรงสู่ท้องฟ้า!

ส่วนที่ใต้ผืนทรายนั้น ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ถอนหายใจเบาๆ การถอนหายใจนี้อัดแน่นไปด้วยความซับซ้อน คร่ำครวญ…และความสับสนที่ไม่อาจอธิบายได้

โลกาชั้นที่สองเปลี่ยนฟ้าแล้ว

เมื่อหวังเป่าเล่อก้าวสู่ท้องฟ้ามาปรากฏตัวตรงหน้าประตูอีกครั้ง เหล่าเจ็ดอารมณ์และทุกปรารถนาก็หันมามองทันที

นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณที่ไม่ได้เข้าร่วมกับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่ยังมีชีวิตอยู่ในเมืองโบราณต่างก็พากันลืมตามองไปยังท้องเช่นกัน

หวังเป่าเล่อก้าวเข้าหาประตูยักษ์ทีละก้าว ท่ามกลางความสนใจของทุกคน ครู่ต่อมา…จักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตามองหวังเป่าเล่ออย่างเย็นชา

ใบหน้าต้องสาปบนหน้าของเขายังคงอยู่ แต่เหลือแค่ใบหน้าเดียว อีกทั้งยังจางลงไปมากแล้ว

“หยุด!” จักรพรรดิเสวียนเฉินจ้องหน้าหวังเป่าเล่อที่เดินมา สีหน้าเย็นชาค่อยๆ เปลี่ยนไป ในที่สุดก็ปรากฏความเคร่งขรึมขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ

หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วเดินเข้าใกล้จุดที่จักรพรรดิเสวียนเฉินอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเข้าไปใกล้จนห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง จักรพรรดิเสวียนเฉินก็สะบัดมือชี้หวังเป่าเล่อ

ทันใดนั้นรอบข้างหวังเป่าเล่อพลันบิดเบี้ยว พลังอันยิ่งใหญ่ปรากฏ ก่อนจะกลายเป็นเงามายาของนกแก้วตัวหนึ่งบินรอบตัวเขาราวกับจะห่อหุ้มเขาไว้ข้างใน

สีหน้าหวังเป่าเล่อเรียบเฉยเพียงแค่สะบัดมือ ปราณหมอกสีดำพลันแผ่ขยายออกมาจากกลางฝ่ามือและแหวกว่ายไปรอบตัวเขาทันที เมื่อนกแก้วมายาสัมผัสมันก็กลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาที่ไร้แววอารมณ์ใดเริ่มฉายความรู้สึก

เพียงแต่…ที่มาของการมีชีวิตนี้คือความปรารถนา!

หลังจากกรีดร้องเสียงแหลม นกแก้วมายาตัวนี้ก็หันหน้าพุ่งไปทางจักรพรรดิเสวียนเฉินทันที

จักรพรรดิเสวียนเฉินยิ่งสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น สองมือทำผนึกมุทรา ก่อนจะชี้ไปข้างหน้า นกแก้วที่พุ่งเข้าหาเขาพลันมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี

แต่พลังเทพของจักรพรรดิเสวียนเฉินไม่อาจกำจัดหมอกสีดำได้ มันพุ่งเข้ามาเขาราวกับกระหายอยาก

แววตาของเสวียนเฉินเริ่มประหลาดใจ เขามองหมอกสีดำที่กำลังพุ่งมาอย่างเงียบเชียบ ด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่หลบ แต่กลับหลับตาลง

พริบตาต่อมาปราณมืดก็เข้ามาใกล้และกำลังจะแตะลงบนหว่างคิ้วจักรพรรดิเสวียนเฉิน ทว่าสุดท้ายแล้วกลับหยุดลงตรงหน้าเขา ห่างจากหว่างคิ้วเพียงสามชุ่นเท่านั้น

ดูเหมือนมันจะไม่ยินยอม ปราณมืดกำลังดิ้นรน แต่กลับถูกพลังอันแข็งแกร่งควบคุมอยู่ทำให้มันไม่สามารถแผ่ขยายต่อไปได้

สิ่งที่ควบคุมมันไม่ใช่จักรพรรดิเสวียนเฉิน แต่เป็นหวังเป่าเล่อ

สีหน้าหวังเป่าเล่อปราศจากอารมณ์ เดินมาหยุดตรงหน้าจักรพรรดิเสวียนเฉิน จักรพรรดิเสวียนเฉิยสังเกตเห็นบางอย่าง ดวงตาพลันเบิกกว้างจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก

หวังเป่าเล่อก็กำลังมองเขาเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“ผู้อาวุโสเสวียนเฉิน ข้าคิดดีแล้ว”

เสวียนเฉินได้ยินดังนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะหมุนตัวจากไปไกล…

ราวกับว่าอีกฝ่าย กำลังรอคอยประโยคนี้อยู่เช่นกัน

หวังเป่าเล่อมองแผ่นหลังของเสวียนเฉินอยู่เนิ่นนาน…ก่อนจะถอนสายตากลับมามองประตูสู่อาณาจักรด้านบนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ เดินไปถึงหน้าประตูด้วยสีหน้าแน่วแน่ แล้วยกมือกดที่บานประตูเบาๆ

หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบร้อนผลักมันออกไป แต่หันกลับมามองโลกใบนี้ กวาดสายตาไปทั่วทั้งแปดทิศ เขาเห็นใบหน้าคุ้นเคยมากมาย ก่อนจะเหลือบมองไปทางทะเลทรายเป็นอย่างสุดท้ายแล้วหลับตาลง

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็วาววับ มือขวายื่นไปข้างหน้าและผลักอย่างแรง!

ประตูสู่อาณาจักรบน…เปิดออก!