บทที่ 1136 จุดไฟเผาเมืองไป๋หยุน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,136 จุดไฟเผาเมืองไป๋หยุน

“ตกใจหมด เจ้าตัวบัด…”

เดิมที สือจงเซิ่งต้องการจะด่าทอเกาเถียนเหลียงว่าเป็นตัวบัดซบ แต่ก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดอัจฉริยะประจำสำนัก จึงกล้ำกลืนคำด่าทอกลับลงคอและพูดว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เกาเถียนเหลียงมีสีหน้าตื่นตระหนกขณะตอบว่า “ข้างนอกเกิดเหตุฆ่าฟันกันโกลาหลเลยขอรับ บัดนี้ เมืองไป๋หยุนเราถูกจุดไฟเผา เกิดความเสียหายในวงกว้าง ผู้คนของเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดง รวมไปถึงสำนักกระบี่หางขาวผกผัน และอีกหลายสำนักต่างก็มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง เกิดการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังขั้นเซียนขึ้นแล้วขอรับ!”

“ว่าอย่างไรนะ?”

“กลุ่มผู้ประท้วงเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”

“ฆ่าคนวางเพลิง? พวกมันกล้าทำเชียวหรือ?”

ทันใดนั้น ไม่แม้แต่สือจงเซิ่งกับอิ๋นซานที่ตกตะลึง กระทั่งศิษย์คนอื่น ๆ ในลานฝึกวิชาเมื่อได้รับฟังดังนั้นก็โกรธแค้นขึ้นมาทันที

และตอนนั้นเอง สือจงเซิ่งก็มีสีหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ”

“ศิษย์พี่เจ้าคะ นอกจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองแล้ว ในเมืองไป๋หยุนเราบัดนี้ก็เหลือเพียงสำนักกระบี่อมตะเท่านั้นที่พอจะหยิบจับอาวุธต่อสู้ได้” ศิษย์น้องสาวสวยอิ๋นซานพูดออกมาเสียงดัง “เราจะนั่งอยู่เฉย ๆ ทำเป็นเมินเฉยไม่ได้เด็ดขาด”

สือจงเซิ่งมีสีหน้าลังเลขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ พวกเขากับติงซานฉือวางแผนนำเคล็ดวิชาในคัมภีร์ลับประจำสำนักมาถ่ายทอดให้แก่ศิษย์จำนวนมาก โดยหวังว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทุกคนจะสามารถใช้วิชาเหล่านั้นหลบหนีเอาตัวรอดไปได้

แต่บัดนี้…

ชายวัยกลางคนจ้องมองกลุ่มมือกระบี่ชุดขาวที่มีแววตามุ่งมั่น

“อาจารย์ขอรับ พวกเราไปช่วยทุกคนกันเถอะ”

“อาจารย์ขอรับ พวกเราไม่ได้อ่อนแอเหมือนในอดีตอีกแล้ว”

“ใช่แล้วขอรับท่านผู้อาวุโส บัดนี้พวกเราไม่กลัวการต่อสู้อีกแล้ว”

บรรดาศิษย์สำนักกระบี่อมตะต่างก็เรียกร้องขอออกไปต่อสู้

สือจงเซิ่งนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็กล่าวว่า “เผิงอี้เหลียง เจ้าอยู่ที่นี่ฝึกวิชาต่อไป ห้ามไปไหนเด็ดขาดจนกว่าจะเลื่อนสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้สำเร็จ น้องอิ๋น เจ้าเองก็อยู่ที่นี่คอยดูแลทุกคน แม้ข้าจะทราบดีว่าศิษย์หลานหลินสั่งไว้ไม่ให้พวกเราออกไปไหน แต่นี่คือเหตุการณ์สำคัญ พวกเราไม่อาจปล่อยปละละเลยได้เด็ดขาด…”

“ศิษย์พี่ ข้า…”

อิ๋นซานมีระดับพลังแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว นางจึงไม่อยากอยู่ที่นี่

สือจงเซิ่งพูดออกมาอีกครั้ง “เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ไม่เพียงคอยดูแลเผิงอี้เหลียง แต่ยังต้องคอยคุ้มครองผู้ที่ต่อสู้ไม่ได้ เปิดการใช้งานค่ายอาคมรอบสำนักในระดับสูงสุด นี่คือหน้าที่ของเจ้า ศิษย์น้องอิ๋น เราไม่มีเวลามาพูดคุยกันอีกแล้ว”

ดังนั้นอิ๋นซานจึงต้องยอมทำตามคำสั่งของสือจงเซิ่ง

สือจงเซิ่งหันกลับไปมองที่เฉียนเหมย เฉียนเจิน เซียวปิง และอากวง

“พวกเราไปกำราบกลุ่มผู้ประท้วงกันเถอะ”

เมื่อได้ยินว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นในตัวเมือง ยังไม่ทันที่สือจงเซิ่งจะร้องขอความช่วยเหลือ เฉียนเหมยก็พับแขนเสื้อขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

สือจงเซิ่งชักกระบี่ยาวออกมาจากข้างเอวและกล่าวว่า “วันนี้สำนักกระบี่อมตะจะหลั่งเลือดเพื่อปกป้องเมืองไป๋หยุนเอาไว้ให้ได้!”

“ปกป้องเมืองไป๋หยุน!”

“ปกป้องเมืองไป๋หยุน!”

กลุ่มมือกระบี่ชุดขาวร้องตะโกนด้วยความมุ่งมั่น

ทันใดนั้น…

“อ้าว กระบี่ของข้าหายไปไหน?”

“จริงด้วย กระบี่ของข้าก็หายไปเช่นกัน?”

“ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่หลินเป่ยเฉินควบคุมพวกมันลอยขึ้นไปในอากาศ… ดูเหมือนว่าพวกมัน… คงจะตกอยู่แถวนี้กระมัง?”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบวิ่งไปเก็บมาสิ”

“นี่ไงกระบี่ของข้า ไปกันเถอะ”

“เดี๋ยวนะ… ด้ามจับกระบี่ของข้าไม่ได้เป็นเช่นนี้”

“เฮ้ย กระบี่ในมือเจ้าคือกระบี่ของข้าต่างหาก”

เกิดความชุลมุนวุ่นวายในการหยิบจับกระบี่ขึ้นมาจากพื้นดิน

สือจงเซิ่งพูดอะไรไม่ออก

สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไป

บรรยากาศที่ร้อนระอุเต็มไปด้วยจิตสังหารเมื่อสักครู่ ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศแห่งความชุลมุนวุ่นวายน่าปวดหัว

แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

การต่อสู้ที่อันตรายจำเป็นต้องอาศัยจิตใจที่เยือกเย็นและผ่อนคลาย

หากกลุ่มมือกระบี่ชุดขาวเหล่านี้วิตกกังวลมากเกินไป ยามเผชิญหน้ากับศัตรู อาจเกิดความแตกตื่นลนลาน แต่ถ้าจิตใจของพวกเขาสงบนิ่งมากพอ ก็จะสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังจากนั้น พวกเขาก็เดินออกมาจากสำนักกระบี่อมตะ

สือจงเซิ่งมองตรงไปข้างหน้า

ทั่วเมืองไป๋หยุนมีแต่หมอกควันไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากทิศทางที่ตั้งของสำนักกระบี่พิฆาตมาร

“พวกเราไปช่วยเหลือสำนักกระบี่พิฆาตมารกันก่อนดีกว่า”

สือจงเซิ่งลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและนำทางไป

หลังจากนั้น กลุ่มมือกระบี่ชุดขาวก็ลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าจับกลุ่มบินตรงไปยังทิศทางของสำนักกระบี่พิฆาตมารราวกับเป็นห่านป่าฝูงหนึ่ง

ใช้ระยะทางเพียงไม่ถึงหนึ่งลี้ พวกเขาก็พบเห็นฉากแห่งการฆ่าฟัน

สำนักกระบี่พิฆาตมารมีจำนวนคนเพียงหยิบมือเดียว บัดนี้ พวกเขาเหลือกันอยู่ไม่ถึงยี่สิบคนแล้ว และภายใต้การนำขบวนของชายชราผมขาวที่สวมใส่ชุดเกราะที่เป็นรูพรุนผู้หนึ่ง พวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มผู้บุกรุกอย่างสุดความสามารถ

บัดนี้ คนของสำนักกระบี่พิฆาตมารถูกล้อมอยู่กลางลานกว้าง สถานการณ์ตกอยู่ในความคับขันอันตราย

“ฮ่า ๆ ๆ ฆ่ามัน ฆ่าพวกมันให้หมด”

ยอดฝีมือตนหนึ่งของเผ่ามนุษย์ปักษาเปลี่ยนแขนของตนเองเป็นกระบี่เล่มใหญ่ มันใช้กระบี่ของตนเองแทงทะลวงร่างกายผู้อาวุโสหัวหน้ากลุ่มของสำนักกระบี่พิฆาตมารครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้อีกฝ่ายหนึ่งกระอักเลือดออกมาจากปากตลอดเวลา

“ท่านอาจารย์”

“คุ้มครองท่านผู้อาวุโสใหญ่”

เหล่าลูกศิษย์ของสำนักกระบี่พิฆาตมารร่ำร้องออกมาด้วยความเศร้า แต่พวกเขาก็ถูกศัตรูขวางกั้น ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือผู้อาวุโสใหญ่ได้อย่างทันท่วงที

กลุ่มมนุษย์ปักษาที่เข้ามาขัดขวางเหล่านั้นล้มลงกลายเป็นซากศพ โลหิตไหลนองเต็มพื้นดิน

“ทิ้งข้าไว้ที่นี่ พวกเจ้ารีบหลบหนีไปเถอะ”

ผู้อาวุโสใหญ่มีเลือดไหลย้อมหนวดเคราสีขาวกลายเป็นสีแดงฉาน พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงคำรามออกมาว่า “รีบหนีไปขอความช่วยเหลือ”

เดิมที สำนักกระบี่พิฆาตมารก็มีจำนวนสมาชิกน้อยอยู่แล้ว แต่การที่ผู้อาวุโสใหญ่ประจำสำนักต้องมาตกตายอยู่ที่นี่เพียงลำพัง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจมากเกินไป

“ฮ่า ๆ ๆ หลบหนีอย่างนั้นหรือ? ไปขอความช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ?”

ยอดฝีมือจากเผ่ามนุษย์ปักษาเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “วันนี้ เมืองไป๋หยุนจะต้องถูกลบออกไปจากโลกใบนี้ ไม่มีทางที่พวกเจ้าจะหลบหนีได้สำเร็จ ใครก็ตามที่กล้าช่วยเหลือพวกเจ้า…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

เปรี้ยง!

เสียงที่แปลกประหลาดก็ดังขึ้น

ในอากาศ รังสีกระบี่พุ่งผ่านเข้ามา

แล้วศีรษะของหัวหน้ากลุ่มมนุษย์ปักษาตนนั้นก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

ศพไร้ศีรษะกระตุกเฮือกก่อนจะล้มลงไปเสียงดังตุบ

“ฉินหยวนแห่งสำนักกระบี่อมตะมาช่วยพวกท่านแล้ว”

“หลี่ซือแห่งสำนักกระบี่อมตะมาช่วยพวกท่านแล้ว”

“ฉู่หยางกงแห่งสำนักกระบี่อมตะมาแล้ว”

“สำนักกระบี่อมตะ…”

เสียงคำรามดังขึ้นต่อเนื่อง

แล้วกลุ่มคนหนุ่มในชุดสีขาวก็ทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้าไม่ต่างไปจากเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์

“ฆ่าพวกมันให้หมด”

“ใครก็ตามที่ทำร้ายคนของเมืองไป๋หยุน พวกมันจะต้องตาย”

แว่วเสียงกระบี่กรีดตัวผ่านอากาศ

รังสีกระบี่วูบวาบ

“สหายสำนักกระบี่พิฆาตมาร อดทนไว้ก่อน พวกเรามาแล้ว”

สือจงเซิ่งควงกระบี่ด้วยสองมือราวกับพยัคฆ์คลุ้มคลั่งพุ่งเข้าไปในกลุ่มคน กระบี่ของเขาคมกริบ สามารถสังหารมนุษย์ปักษาได้ตนแล้วตนเล่า

โลหิตพุ่งกระฉูด

มนุษย์ปักษาล้มลงตายทีละตนสองตน